ตอนที่ 2: พระอาทิตย์สีเทา
“แกดูนี่ดิ!” ไอซ์ยื่นแก้วกาแฟเย็นเฉียบมาตรงหน้าขิม “วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วกว่าที่คิด แวะเติมคาเฟอีนหน่อยไหม”
ขิมส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไร ฉันจะไปดูห้องสมุด”
อาทิตย์แรกของการเรียนมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับขิม ทุกวันยังคงเป็นเฉดสีเทาจางๆ เหมือนเดิม กิจกรรมต่างๆ ที่คณะจัดขึ้นเพื่อให้น้องใหม่ได้ทำความรู้จักกันนั้น เธอเข้าร่วมเพียงเท่าที่จำเป็น ไม่มากไปกว่านั้น ความรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มีไอซ์ที่คอยอยู่ข้างๆ ทำให้เธอไม่รู้สึกเคว้งคว้างจนเกินไป
“โห ห้องสมุดอีกแล้วเหรอแก” ไอซ์ทำเสียงงอแง “นี่มันเพิ่งเปิดเทอมนะ!”
ขิมยิ้มจางๆ ให้เพื่อน “ฉันแค่อยากหาหนังสือศิลปะมาอ่านเพิ่ม”
ความจริงคือขิมแค่ต้องการสถานที่เงียบๆ ที่เธอสามารถหลบไปอยู่ในโลกของตัวเองได้โดยไม่ต้องปะทะกับผู้คนมากนัก ห้องสมุดคือที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
“งั้นฉันไปหาเพื่อนก่อนนะแก” ไอซ์ยู่หน้า “เจอกันที่หอเย็นนี้”
หลังจากแยกกับไอซ์ ขิมก็เดินตรงไปยังห้องสมุดของคณะตามความตั้งใจ ระหว่างทาง เธอเห็นรุ่นพี่หลายคนกำลังง่วนอยู่กับโปรเจกต์ของตัวเอง บางคนขีดเขียนลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ บางคนกำลังตัดโมเดลอย่างตั้งใจ ทุกคนดูมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ ราวกับว่างานเหล่านี้คือชีวิตของพวกเขา
ขิมหยุดยืนอยู่หน้าภาพวาดขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังทางเดิน ภาพนั้นเป็นผลงานของนักศึกษาปีที่แล้ว เป็นภาพตึกรามบ้านช่องที่ดูสลับซับซ้อน แต่กลับมีชีวิตชีวาด้วยเส้นสายและสีสันที่จัดจ้าน
เธอเข้าใจถึงความหลงใหลในศิลปะ แต่สำหรับเธอ ศิลปะคือการระบายออก การปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้น ไม่ใช่การสร้างสรรค์ความสวยงามเพื่อคนอื่น โลกในภาพของเธอจึงมักจะสะท้อนความรู้สึกภายในมากกว่าความเป็นจริง
“ฉันมองทุกอย่างเป็นสีเทานะไอซ์” ขิมเคยพูดกับไอซ์ในคืนหนึ่งขณะที่นั่งวาดรูปอยู่บนเตียง “ฉันไม่เคยเห็นอะไร ‘อุ่น’ เลย”
ไอซ์เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “แต่ฉันว่าภาพแกมีอะไรบางอย่างที่ ‘อุ่น’ นะขิม ถึงแม้จะดูเศร้าก็ตาม”
ขิมไม่เคยเชื่อคำพูดของไอซ์ เธอไม่คิดว่าภาพวาดที่ออกมาจากใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลจะสามารถสื่อถึงความอบอุ่นได้เลย
เมื่อมาถึงห้องสมุด ขิมเลือกมุมสงบๆ ริมหน้าต่าง หยิบหนังสือศิลปะเล่มหนาออกมาจากชั้นวาง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า เธอเปิดหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องไปที่ลายเส้นและเทคนิคต่างๆ แต่ความคิดของเธอกลับลอยไปไกล
ในหัวของเธอ ยังคงมีภาพของพี่ภามวนเวียนอยู่ ภาพแผ่นหลังกว้างๆ ของเขา เสียงทุ้มที่พูดเพียงคำว่า “ปล่อย” และแววตาที่มองตรงมาที่ภาพวาดของเธอพร้อมกับคำว่า “ภาพมันเศร้า”
ขิมไม่เคยคิดว่าใครจะมองเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในภาพวาดของเธอได้ชัดเจนขนาดนั้น เธอมักจะวาดภาพที่สื่อถึงความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวเสมอ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอคุ้นเคย
เธอหยิบสมุดร่างภาพเล่มเล็กออกมาอีกครั้ง เริ่มวาดภาพของห้องสมุดที่อยู่ตรงหน้า แต่เพียงไม่นาน ปลายปากกาก็เริ่มเลื่อนไปวาดภาพโครงหน้าของใครบางคน ภาพใบหน้าของพี่ภามที่เธอยังจดจำได้ดีจากวันรับน้อง แสงและเงาที่ตกกระทบบนใบหน้าของเขาดูซับซ้อนและน่าค้นหา
ขณะที่ขิมกำลังวาดอย่างเพลิดเพลิน เธอรู้สึกเหมือนมีเงาหนึ่งทาบทับลงมาบนหน้ากระดาษ ขิมเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ หัวใจเต้นรัวอีกครั้ง
พี่ภามยืนอยู่ตรงหน้าเธออีกแล้ว ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบ แต่สายตาจับจ้องไปที่ภาพวาดของเธออย่างตั้งใจ
“ยังวาดรูปอยู่เหรอ” เขาถามเสียงเรียบ
ขิมพยักหน้าเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดอะไรดี
พี่ภามไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองภาพวาดในสมุดของขิมอีกครั้ง คราวนี้เขาจ้องมองนานกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย ดวงตาของเขากวาดไล่ไปตามเส้นดินสอที่ขิมบรรจงวาดโครงหน้าของเขา ไม่ใช่ภาพที่ชัดเจนนัก เป็นเพียงโครงร่างที่เน้นแสงและเงา
“มองออกว่าภาพมันเศร้า” พี่ภามพูดขึ้นมาอีกครั้ง ประโยคเดิมที่เคยทำให้เธอตกใจในวันนั้น “แต่...”
ขิมเงยหน้ามองเขา รอคอยประโยคต่อไปที่เขาจะพูด
“แต่ครั้งนี้มันมีแสง” เขาพูดจบ ดวงตาของเขากวาดมองไปที่ขิมเล็กน้อย ก่อนจะเบนกลับไปที่สมุดร่างภาพ “แสงสีขาว...จางๆ”
หัวใจของขิมกระตุกวูบ เธอแทบจะหยุดหายใจกับคำพูดนั้น
ขิมมองหน้าภามอย่างไม่เข้าใจ แสงสีขาวจาง ๆ? เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะวาดแสงอะไรลงไปเลย ภาพที่เธอวาดเป็นเพียงเส้นดินสอสีดำเทาบนกระดาษขาว ไม่มีสีสันใด ๆ
“พี่...เห็นได้ยังไงคะ” ขิมถามเสียงแผ่ว ไม่รู้ว่าควรจะตกใจหรือแปลกใจดี
ภามเลื่อนสายตาจากสมุดร่างภาพมาสบกับดวงตาของขิม แววตาที่เคยนิ่งเรียบนั้นดูมีประกายบางอย่างที่ขิมไม่สามารถอธิบายได้ เขาไม่ได้ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนที่ใครๆ บอก
“มันอยู่ในเส้นของเธอ” เขาตอบสั้นๆ “เหมือนกับว่า...ในความเศร้าของเธอ ยังมีบางอย่างที่กำลังเปล่งประกายออกมา”
คำพูดของภามทำให้ขิมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ วิ่งแล่นไปทั่วร่าง ไม่มีใครเคยพูดกับเธอแบบนี้มาก่อน ไม่มีใครเคยมองเห็น "แสง" ในภาพที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองของเธอ
ขิมไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตา แต่ในวินาทีนั้น เธอรู้สึกราวกับว่าการที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ การที่เขาเห็นภาพวาดที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครเห็น และคำพูดที่ออกมาจากปากของเขา...มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ฉันต้องไปแล้ว” ภามพูดขึ้น ทำให้ขิมหลุดออกจากภวังค์ เขาไม่ได้รอคำตอบ เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้ขิมนั่งอยู่คนเดียวกับสมุดร่างภาพและความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ในใจ
ขิมจ้องมองภาพวาดในสมุดอีกครั้ง ภาพโครงหน้าของภามที่เธอบรรจงวาดขึ้นมา... เธอพยายามมองหา "แสงสีขาวจางๆ" ที่เขาพูดถึง แต่ก็ไม่เห็นมันเลย
หรือว่าแสงนั้น...มันไม่ได้อยู่บนกระดาษ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเธอเอง? หรือเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งนำเข้ามาในโลกของเธอ?
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ขิมหยิบปากกาขึ้นมาร่างภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพตึกรามบ้านช่อง หรือผู้คนรอบตัว เธอก็จะพยายามมองหา "แสง" ในภาพนั้นเสมอ แสงที่ภามพูดถึง แสงที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
เธอเริ่มตระหนักว่า โลกของเธออาจจะไม่ได้เป็นสีเทาไปเสียทั้งหมด บางทีอาจจะมีเฉดสีอื่น ๆ ซ่อนอยู่ เพียงแต่เธอไม่เคยมองเห็นมัน หรือไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองได้เห็นมัน
วันหนึ่ง ขณะที่ขิมกำลังนั่งวาดภาพกลุ่มนักศึกษาที่กำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในคณะ เธอเผลอวาดภาพบางอย่างลงไปโดยไม่รู้ตัว
เป็นภาพของ "ดวงอาทิตย์" ดวงเล็กๆ ที่กำลังจะขึ้นจากขอบฟ้า มีแสงสีเหลืองอ่อนๆ แผ่ออกมาอย่างอบอุ่น
เธอรู้สึกประหลาดใจที่ตัวเองวาดภาพนี้ออกมา ไม่เคยมีภาพดวงอาทิตย์ในสมุดของเธอมาก่อน ภาพของเธอมีแต่ความมืดมิด ความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว... แต่ตอนนี้มันมีพระอาทิตย์ดวงเล็กๆ ที่กำลังเปล่งแสงจางๆ
ขิมมองภาพดวงอาทิตย์ในสมุดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงวาดมันออกมา แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดใจ
ในวันนั้นเอง ขณะที่เธอกำลังจะเก็บของกลับหอ ขิมเดินผ่านโถงทางเดินของคณะ และบังเอิญได้ยินเสียงรุ่นพี่สองคนคุยกัน
“แกได้ยินเรื่องพี่ภามไหมวะ” รุ่นพี่คนหนึ่งกระซิบ “เขาดูแลแฟนเก่าที่ป่วยมานานมากนะ”
“จริงดิ! โห เขาดูเป็นคนเย็นชาจะตาย” อีกคนตอบ
“นั่นแหละ แล้วสุดท้ายแฟนเขาก็เสียไปเมื่อกลางปีที่แล้วเอง”
เสียงสนทนานั้นค่อย ๆ เบาลงและจางหายไปตามทางเดิน แต่คำพูดเหล่านั้นกลับดังก้องอยู่ในหัวของขิมราวกับเสียงระฆัง
“แฟนเก่าที่เสียชีวิต”
หัวใจของขิมจุกไปหมด ภาพของพี่ภามที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ คำพูดของเขาที่ว่า “ภาพมันเศร้า...แต่ครั้งนี้มันมีแสง” ความรู้สึกของความว่างเปล่าที่เธอเคยสัมผัสได้จากเขาในวันแรก...ทุกอย่างประดังเข้ามาในความคิดของเธอ
จู่ๆ เธอก็เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพี่ภาม
ความเย็นชาของเขาอาจไม่ใช่ความเย็นชาโดยธรรมชาติ แต่มันคือกำแพงที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวด
ขิมมองภาพดวงอาทิตย์ที่เธอยังวาดไม่เสร็จในสมุดร่างภาพ แสงสีเหลืองอ่อนๆ ที่เคยรู้สึกอบอุ่นพลันดูจางหายไปในความมืดมิด
โลกของเธอที่เริ่มจะมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย...ดูเหมือนจะกลับมาเป็นสีเทาอีกครั้ง และคราวนี้ มันเป็นสีเทาที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะมันมีเงาของความเศร้าที่เธอเพิ่งได้รับรู้เพิ่มเข้ามา
เธอเริ่มรู้สึกว่า...บางที โลกของพี่ภามอาจจะเศร้ากว่าโลกของเธอเสียอีก"
