บทที่ 3
บทที่ 3
"ทำไม กลัวเหรอ" เขายักคิ้วให้ ภายใต้ใบหน้าดุดันนั่น ตาคมสีน้ำตาลที่จ้องมาพาให้ใจดวงน้อยไหวหวั่น ให้ตายสิ หมอนี่จะหล่อไปไหนกันนะ อย่ามาจ้องแบบนี้สิ เธอใจสั่นนะเว้ย!
"ใครกลัว ไม่อยากรบกวนต่างหาก" พระพายเชิดหน้าขึ้น คนอย่างพระพายน่ะเหรอจะกลัว ไม่มีทางกลัวเขาหรอก
"งั้นก็ไปด้วยกันสิ ยังไงผมก็เข้าเมืองอยู่แล้ว ไม่ต้องเอารถไปอีกคันให้เปลืองน้ำมันหรอก" เขาเลิกคิ้วมอง สีหน้าท่าทางเหมือนกำลังกวนประสาทอีกฝ่าย
พระพายมองอย่างชั่งใจ แน่ล่ะ เขาไม่ชอบเธอ นี่คงไม่ได้หาเรื่องแกล้งเธออีกหรอกใช่ไหม
ขุนพลมองน้องสาวสลับกับเพื่อนสนิท คิดๆแล้วพานให้สงสัย นักรบน่ะดูไม่ชอบพระพายเอามากๆ เคยถามเหตุผลแต่คนตัวใหญ่ก็ไม่เคยปริปากพูด แถมยังปฏิเสธว่าไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่ไม่อยากจะเถียงด้วย ส่วนน้องสาวเขาน่ะ มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าชอบนักรบมาก ชอบมาแต่ไหนแต่ไร แต่ที่ทำปากกล้าขาแข็งตีฝีปากใส่กันทุกครั้งที่เจอก็แค่กลบเกลื่อนความเขินล่ะมั้ง
"ไปกับรบเถอะนะ เฮียจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงไง แล้วเฮียรบเขาเป็นพี่ก็เรียกเฮียสิ บอกกี่ครั้งแล้ว...หื้ม" ขุนพลลูบหัวน้องสาว แต่อีกคนยู่ปากใส่ทันที
เมื่อก่อนก็เรียกได้ เฮียรบอย่างนั้น เฮียรบอย่างนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่คนตัวเล็กเปลี่ยนสรรพนามไปถาวร
"ก็เจ้าตัวเขาไม่ได้อยากให้เรียกนี่คะ จะไปดันทุรังเรียกทำไม เก็บไว้ให้คนอื่นเรียกเหอะ ชิ!" พระพายสะบัดหน้าใส่ น้ำเสียงแสนประชดประชันนั่นทำนักรบนิ่งไปนิด ก็เขาเคยบอกเองว่าอย่าทำตัวสนิท เธอก็เลยไม่เรียกเขาว่าเฮียอีกตั้งแต่ตอนนั้น ไม่อยากให้เรียกก็จะไม่เรียก ไม่เห็นจะสนใจเลย ฮึ!
"..." นักรบเพียงยักไหล่ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเพื่อนส่งสายตากลับมาเป็นเชิงตั้งคำถามกับสิ่งที่น้องพูด เขาไม่มีคำตอบให้หรอกได้แต่นิ่งไว้ดีกว่า แต่พระพายก็ตั้งท่าจะท้ารบท่าเดียว
ขุนพลถึงกับก้มหน้าขำเบาๆอย่างเก็บอาการ คนปากไม่ตรงกับใจ ดูก็รู้ที่ปั่นจักรยานมาถึงรีสอร์ทก็เพราะอยากมาเจอนักรบ นี่คงรู้อยู่แล้วว่านักรบอยู่ที่นี่อย่างนั้นสินะ เจ้าแผนการจริงๆ แล้วดูทำท่าทางเข้า ดูไม่ออกเลยมั้งว่าเขินอยู่น่ะ
"เอาล่ะๆ ไปส่งน้องฉันรับเพื่อนๆเขากลับมาด้วยนะรบ ยังไงก็ฝากด้วยฉันเป็นห่วง" ขุนพลยุติพายุที่กำลังก่อตัว บอกกับนักรบเสียงเรียบ เป็นคำสั่งที่นักรบเองก็ไม่ขัดข้องอะไร
"อื้อ" ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ปรายตามองคนที่กำลังทำหน้ายุ่งแล้วยกมุมปากขึ้น เวลาเห็นพระพายทำหน้าเหมือนหาทางสู้ไม่ได้นี่มันก็สนุกดีเหมือนกัน
"ถ้าอย่างนั้น จะกับไปรอที่บ้าน สี่โมงไปรับด้วย ไปนะคะเฮีย จุ๊บ" บอกคนตัวใหญ่ที่กำลังตีหน้ายักษ์ใส่เสียงห้วน แล้วหันมาอ้อนพี่ชายเสียงใส จุ๊บแก้มหนึ่งทีแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
นักรบได้แต่มองตามแล้วส่ายหัวไปมา คนอะไรเปลี่ยนได้ปุ๊บปั๊บขนาดนั้นเลยเหรอ เพี้ยนชะมัด!
"คิดมั่งไหม ว่าตามใจจนเคยตัว" นักรบเท้าเอวถามเพื่อน เมื่อคนตัวเล็กสะบัดบ็อบหนีไปเรียบร้อยแล้ว
"เอาน่า พระพายยังเด็ก น้องขาดแม่เลยดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แต่ที่จริงก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก นายคิดว่าผู้ชายอย่างฉันจะเลี้ยงน้องให้อ่อนหวานขนาดไหนกันวะ" ขุนพลมองเพื่อนแล้วตอบตามความจริง ตั้งแต่เล็กจนโต พระพายอยากได้อะไร ทุกคนก็หามาให้เพราะไม่อยากให้น้องรู้สึกว่าขาดอะไร ทั้งพ่อทั้งพี่ชายก็มอบความรักให้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะขุนพล รักน้องหวงน้อง ตามใจน้องเป็นที่หนึ่ง จนตอนนี้จะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้ว
"ห้ามกันบ้าง บางเรื่องก็เกินไป" ถึงจะเลี้ยงให้อ่อนหวานไม่ได้ก็ไม่ได้ว่า แต่ไม่ใช่จะมาหาเรื่องละลานเขาแบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"เช่น?"
"..." นักรบไม่ตอบ เรื่องมันเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายจนพูดออกมาไม่หมด หรือที่จริงมันไม่มีอะไรเลยกันแน่เขาเองก็ไม่แน่ใจกับคำถามที่เพื่อนยิงมา
"ถ้านายกลัวน้องจะเอาแต่ใจ หรือทำอะไรที่มากเกินไป นายก็ห้ามเองสิ เป็นเฮียเหมือนกัน เลี้ยงมาด้วยกัน จะบ่นทำไมวะ" ขุนพลเอนตัวลงกับพนักเก้าอี้ เมื่อเพื่อนไม่ตอบก็พูดจี้จุด นักรบเสียอีกที่ตอนเด็กตามใจพระพายมากกว่าใครน่ะ หรือจะลืมไป ตอนเด็กๆ คนที่เลี้ยงพระพายมาไม่น้อยกว่าขุนพลก็นักรบเองไม่ใช่หรือยังไงแล้วทีอย่างนี้ทำมาบ่นเสียเอง
นักรบชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินแบบนั้น นั่นสิก็จริงอย่างที่เพื่อนพูดทุกอย่าง เลี้ยงมาด้วยกันเพราะงั้นจะพูดอะไรมากก็คงไม่ได้เพราะจริงๆที่เอาแต่ใจแบบนั้นก็อาจจะเป็นความผิดของเขาเหมือนกัน
"ถ้าดุจนร้องไห้ก็อย่ามาว่าแล้วกัน" นักรบปรายตามองเพื่อน ขณะที่ขุนพลพยักหน้ารับหงึก ๆ อย่างไม่คิดว่าเพื่อนจะกล้าทำแบบนั้นจริงๆหรอก ก็ดีแต่ขู่ไปแบบนั้นแหละ สุดท้ายคนที่ห่วงพระพายมากกว่าใครไม่แพ้ใครก็นักรับนั่นแหละ ทำมาปากดี
"กล้าๆหน่อย" คนเป็นเจ้านายยักคิ้วให้แล้วยิ้มมุมปาก พร้อมเหล่ตามองอย่างรู้ทัน
นักรบโครงศีรษะไปมาแล้วหมุนตัวเดินออกไป สงสัยคงต้องจัดการอะไรบ้างบ้างแล้ว นับวันยิ่งแก่แดดเข้าไปทุกที