บทที่ 7
เจินกุ้ยเฟยยื่นศีรษะออกมาจากในหน้าต่างเพื่อมองด้านหลัง
มองเห็นภาพคนผู้หนึ่งขี่บนหลังม้าตามคาด กะพริบตาทีก็ผ่านสี่แยกหายลับไปแล้ว
นางโมโหจนจับหมอนอิงข้างมือไว้ ขว้างอย่างแรง “กำเริบเสิบสานยิ่งนัก! หญิงชั้นต่ำเยี่ยงนี้ ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม หยาบคายสุดจะทน เหลวไหลเสียจริง!”
แม่นมก้มศีรษะปลอบใจ “เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองเช่นนี้เพคะ เพื่อคนเยี่ยงนี้แล้วไม่คู่ควร นางแต่งเข้าจวนอ๋อง ยังต้องเชื่อฟังท่านอยู่ดีไม่ใช่หรือเพคะ? อย่างไรก็หนีเงื้อมมือของท่านไม่พ้น”
เจินกุ้ยเฟยอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว “พูดมาก็ถูก อีกสามวันเป็นวันเข้าวังมาขอบคุณ ข้าจะตั้งใจสอนกฎระเบียบให้นางดีๆ”
“เพคะ”
หนานจาวเสวี่ยไม่รู้เรื่องนี้สักนิดเดียว ควบม้ามาถึงหน้าประตูตระกูลหนาน โคมไฟสีแดงสองดวงที่แขวนไว้บนประตูโยกไปมาอยู่ท่ามกลางลมยามค่ำ
นางวาดริมฝีปากยิ้มเยาะ พอยกมือ ฟาดแส้ไปจนโคมไฟสองดวงกลิ้งลงมา กลิ้งเสียงดัง “ปึง” ทีหนึ่ง ลุกไหม้เป็นไฟกองหนึ่ง
คนรับใช้ที่หน้าประตูได้ยินเสียงดังจึงออกมาดู ตวาดใส่ “ผู้ใดกัน? พาลเช่นนี้ กล้ามากำเริบเสิบสานที่นี่!”
หนานจาวเสวี่ยกระโดดลงจากม้า ไม่มองพวกเขาแม้แต่แวบหนึ่ง เดินตรงไปยังด้านใน
คนรับใช้ทั้งสองม้วนแขนเสื้อ ด่าทอ “เจ้าคนไม่รู้จักชั่วดีที่ไหนกัน คาดไม่ถึงว่ากล้ามาทำตัวอันธพาลที่นี่ ไม่ถามดูว่า......”
“เพียะ! เพียะ!” เสียงแส้ดังกังวานสองที ตบบนหน้าทั้งสองคน พวกเขาร้องโหยหวนจับหน้าเอาไว้ เบิกตาโตมองอย่างละเอียด ลูกตาเกือบจะหลุดออกมา
“เจ้า......คุณหนูใหญ่?”
“ไปให้พ้น!” หนานจาวเสวี่ยกวาดสายตามาทีหนึ่ง สายตาอันอึมครึมราวกับอสูร มองมาจนพวกเขาหัวใจสั่น
ช่วงเวลาที่ตกตะลึง หนานจาวเสวี่ยเดินก้าวใหญ่เข้าไปข้างใน ไม่เห็นร่องรอยแล้ว
นางคิดจะไปหาหนานยุ่นเฉิง บิดาของเจ้าของร่างเดิมก่อน
ตอกไว้ในโลงศพ ฝังทั้งเป็น ทำให้ในใจเจ้าของร่างเดิมสะสมความขุ่นเคืองไว้มากเหลือเกิน ถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจน ไม่แก้แค้นคืน ย่อมยากจะปล่อยวาง
นางก้าวใหญ่ๆ มาถึงห้องหนังสือของหนานยุ่นเฉิง ในห้องหนังสือไม่ได้จุดตะเกียง และไม่มีคน
นางผลักประตูเข้าไป ถือตะบันไฟไว้ในมือมองไปรอบด้าน หาป้ายอันหนึ่งออกมาได้จากในช่องลับ ใส่เข้าไปในแหวนหลิวหลีทันที และหาตั๋วเงินและจดหมายหลายแผ่นอะไรพวกนี้ออกมาได้ด้วย ขอเพียงรู้สึกว่ามีประโยชน์ และคุ้มค่า ล้วนยัดเข้าไปทั้งหมด
ทันใดนั้นพอยกมือ ลากตะบันไฟเป็นเส้นโค้ง ตกอยู่บนชั้นตำรา เปลวไฟลุกขึ้นรอบด้าน
นางหมุนตัวออกไป ไปหาหนานรั่วฉิง
ไม่นานนักด้านหลังมีเสียงร้องตกใจลอยมา ตะโกนเสียงดังว่าไฟไหม้แล้ว
หนานจาวเสวี่ยไม่หันหน้ากลับไป ยังไม่ทันถึงเรือนของหนานรั่วฉิง ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนระลอกหนึ่ง
“ตี ตีให้ตาย!”
“นางชั้นต่ำ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง กล้าเสียมารยาทกับคุณหนูรอง กล้าดีเสียจริง!”
“บ่าวไม่ได้เสียมารยาทกับคุณหนูรอง เพียงแค่อยากถามคุณหนูรองหน่อยว่า คุณหนูของพวกเราอยู่ที่ใดกัน บ่าวจะได้ตามไปปรนนิบัติ......”
“ป้าบ!” เสียงตบหน้าดังกังวาน “สารเลว! เจ้ายังกล้าเถียงอีก เจ้ายังอยากมาถามคุณหนูรอง เจ้าไม่คู่ควร! ตีต่อไป ตีจนนางใจขาดตายถึงหยุด!
ซู่หยุน เจ้าฟังข้าให้ดีๆ คุณหนูรองถึงเป็นเจ้านายของจวน!”
“อ๊า!” เสียงร้องตะโกนที่เจ็บปวดรวดร้าวดังขึ้น “คุณหนูของพวกเราถึงเป็น......บุตรสาวคนโตจากภรรยาเอก แม่นมหลิว ท่านห้าม......ไม่เคารพต่อคุณหนูใหญ่ อ๊า!”
หนานจาวเสวี่ยจำได้ว่า นางมีสาวใช้ประจำตัวสองคน ซู่หยุนและปี้เยว่
หัวใจนางบีบตัวอย่างแรง รีบเดินเข้าไปในลาน
ในลานจุดตะเกียงไว้ แสงไฟพลิ้วไหว ส่องคนที่อยู่ในเงามืดใต้ต้นไม้ หน้าตาบิดเบี้ยว ราวกับภูตผี
ในมือคนรับใช้สองคนถือแส้ไว้ กำลังตีสาวใช้คนหนึ่งที่ถูกมัดติดบนต้นไม้
บนเสื้อผ้าบนตัวสาวใช้เต็มไปด้วยรอยเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผมตรงขมับมีเหงื่อปนกับเลือด แนบติดบนหน้า น่าสยองขวัญ
แม่นมหลิวเอามือเท้าเอว เนื้อบนหน้าสั่นไหว ยังหลุดปากด่าทอ “นางชั้นต่ำ ยังกล้าปากแข็ง! วันนี้จะให้เจ้ารู้ว่า ตระกูลหนานแห่งนี้ผู้ใดถึงเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่สุดกันแน่”
“คุณหนูของพวกเรา......ถึงเป็น......บุตรสาวภรรยาเอกตัวจริง......” ซู่หยุนเจ็บจนสั่นเทาไปทั้งตัว ยังโต้แย้งอย่างไม่ยินยอม แต่ละคำนั้น พูดอย่างยากลำบากทว่าแจ่มชัด
แม่นมหลิวโมโหจนกัดฟัน ยืนอยู่ด้านข้างตะโกนอย่างโหดร้าย
“ไม่ได้กินข้าวหรือไง? ตีแรงๆ กว่านี้อีก ดูว่านางยังกล้าเถียงหรือไม่!”
แม่นมหลิวพับแขนเสื้อขึ้น เผยฝ่ามือที่ดุจพัดใบตาลออกมา กัดฟันกรามไว้แล้วไปตบหน้าของซู่หยุน
ยังไม่ทันยกมือ มีลมแรงระลอกหนึ่งถีบเอวด้านหลังของนาง แวบเดียวถีบจนนางกระเด็นไปโดยตรง
แม่นมหลิวยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ ก็รู้สึกว่าสิ่งของตรงหน้าหมุนวน จากนั้นล้มลงพื้นไปอย่างหนักอึ้ง กระดูกจะแตกละเอียดแล้ว
“ข้าจะดูสิว่าผู้ใดกล้าแตะต้องนาง”
