บทที่ 6
บนหน้าเฟิงเทียนจี๋เผยรอยยิ้ม คนที่ปกติเคร่งขรึม เวลานี้ยิ้มขึ้นมาเปล่งปลั่งอย่างยิ่ง
เห็นท่าทีนี้ของเขา เหมือนพึงพอใจการแต่งงานครั้งนี้มาก
คนที่มาชมเรื่องสนุกมองหน้ากันและกันนิดหน่อย ล้วนรู้สึกว่าคุณหนูตระกูลหนานผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ไม่พูดถึงเรื่องที่แย่งเป็นเจ้าสาวต่อหน้าทุกคน ยังช่วยทำให้อ๋องจ้านฟื้นขึ้นมาได้จริงอีก สิ่งที่หาได้ยากคือ อ๋องจ้านยังมาไหว้ฟ้าดินกับนางด้วยตนเอง
หลังจากไหว้เสร็จ กำลังจะส่งตัวเข้าห้องหอ หนานจาวเสวี่ยกลับยืนไม่ขยับ
“มีอะไร?” เฟิงเทียนจี๋เลิกคิ้วเล็กน้อย
“ยังมีเรื่องหนึ่งไม่ได้ทำ” หนานจาวเสวี่ยยกมือเสยผมนิดหน่อย หน้าตายิ้มแย้ม กลับเผยความเย็นชา
“ไก่ตัวผู้ที่จะไหว้ฟ้าดินกับข้าตัวเมื่อครู่นี้เล่า?”
เฟิงเทียนจี๋ “......”
“หิวนิดหน่อยแล้ว เชือดแล้วเอาไปต้มแกงให้ข้าที!”
ทุกคน “......”
เฟิงเทียนจี๋ตะลึงเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ “ทำตามที่นางบอก!”
หนานจาวเสวี่ยถึงเดินไปห้องหออย่างพอใจ เฟิงเทียนจี๋ก็ไม่อยากรับมือแขกเหรื่อพวกนี้เช่นกัน หมุนตัวอยากเดินไป เจินกุ้ยเฟยเอ่ยปากเรียกเขาไว้ “เทียนจี๋! แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
หนานจาวเสวี่ยไม่ได้หยุดฝีเท้าสักนิด นางไม่ได้สนใจต่อผู้หญิงจอมปลอมคนนี้แม้แต่น้อย
กลับมาถึงห้อง หนานจาวเสวี่ยถอนหายใจเล็กน้อย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นางไม่ได้หยุดพักสักวินาทีหนึ่ง เมื่อสักครู่ที่รักษาแผลและถอนพิษให้เฟิงเทียนจี๋ นับว่าเป็นเรื่องที่ใช้พลังเยอะมาก
ร่างกายนี้......ยังอ่อนแอเกินไป บาดเจ็บไม่น้อยด้วย เห็นได้ชัดว่าปกติใช้ชีวิตไม่ได้ดีเท่าไหร่
เมื่อคิดดูก็ใช่ ถ้าใช้ชีวิตดี จะมีจุดจบที่โดนฝังทั้งเป็นได้อย่างไร?
โดยเฉพาะร่างกายนี้กับวิญญาณของนางยังไม่สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เพียงแค่ไหว้ฟ้าดินกับเฟิงเทียนจี๋แล้ว ยังไม่ได้ชำระแค้นที่โดนฆ่าตาย
ดูท่า ทุกอย่างล้วนต้องเร่งจัดการให้ไว
นางหยิบยาเม็ดหนึ่งจากในแหวนหลิวหลีแล้วกลืนลงไป หลับตาลมปราณ รู้สึกถึงบาดแผลเล็กๆ ได้รับการฟื้นฟูขึ้นช้าๆ สีหน้าของนางก็ดีขึ้นมาโดยเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ตอนที่เฟิงเทียนจี๋เข้ามา มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้
หญิงสาวสวมชุดแต่งงานสีแดง ผมดำปล่อยสยายไว้ด้านหลัง หลับตาไว้เล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่ง ทั้งสงบและเฉยเมย
ผิวพรรณของนางดุจหิมะ ไม่ได้ซีดขาวเหมือนไร้เลือดฝาดอย่างเมื่อสักครู่นั้น ทว่าเรียบเนียนกระจ่างใส ทั่วทั้งตัวประหนึ่งกำลังส่องแสง
ในแววตาลึกของเฟิงเทียนจี๋เผยความประหลาดใจแวบผ่านไป
“มองพอแล้วหรือยัง?” หนานจาวเสวี่ยถามแบบหลับตาอยู่
เฟิงเทียนจี๋หัวเราะเบาๆ “ยังไม่พอ พระชายาของข้า ข้าอยากมองอย่างไร ก็มองอย่างนั้น”
หนานจาวเสวี่ยถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ลืมตามองเขา เสี้ยววินาทีนั้น สายตาแหลมคมดุจแท่งน้ำแข็ง
“ท่านอ๋องต้องจำเอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ของข้ากับท่าน คือร่วมมือกัน เป็นพระชายาของท่านเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการร่วมมือ อย่าได้แสดงออกผิด”
เฟิงเทียนจี๋เกือบโมโหจนหัวเราะ ผู้หญิงคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญด้านถีบหัวส่งจริงๆ
“เมื่อครู่พระชายาไหว้ฟ้าดินกับข้าแล้ว ก็แตกหักกันเร็วปานนี้เลย? ไร้หัวใจเสียจริง”
เสียงของเฟิงเทียนจี๋แผ่วเบา เหมือนเกล็ดหิมะร่วงลงหลังคอ กระตุ้นความรู้สึกเย็นครู่หนึ่ง
“ไร้หัวใจมีอะไรไม่ดีเล่า?” หนานจาวเสวี่ยยักคิ้วหัวเราะ “ไร้หัวใจถึงจะไม่มีความโลภ จะไม่เศร้าใจ ผลประโยชน์ถึงอยู่ได้นานกว่า ท่านอ๋อง น่าจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่กระมัง?”
นางกระโดดลงจากเตียง ส่องกระจกมัดผม นางทำทรงผมของคนโบราณไม่เป็น จึงมัดผมหางผมขึ้นสูงอย่างง่ายๆ ปราดเปรียวและสง่างาม
เฟิงเทียนจี๋จ้องที่ด้านหลังของนาง ในสายตาเต็มไปด้วยการสำรวจ
ประจวบเหมาะกับเวลานี้ มีหญิงเฒ่ายกน้ำแกงไก่มาให้
หนานจาวเสวี่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ไม่ได้เรียกเฟิงเทียนจี๋ กินโดยไม่สนใจผู้อื่น
อย่าว่าไป น้ำแกงไก่นี้ต้มได้ไม่เลวมาก กลิ่นหอมรสชาติดี ดื่มลงไปชั่วขณะนั้นร่างกายก็อบอุ่น
นางดื่มจนไม่เหลือสักหยด หมุนตัวเดินไปที่หน้าตู้เสื้อผ้าหาชุดคล่องตัวออกมาชุดหนึ่ง
เฟิงเทียนจี๋รู้สึกกังวลขึ้นมา มองการกระทำรอบนี้ของนาง ทนไม่ไหวจริงๆ “เจ้าอยากทำอะไร?”
“แน่นอนว่าไปแก้แค้นน่ะสิ” หนานจาวเสวี่ยไม่ได้หันหน้ากลับ ปลดเข็มกลัดออกโดยตรง ถอดสายรัดเอวลง อยากถอดเสื้อคลุมสีแดงด้านนอก
“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้!” เฟิงเทียนจี๋ใกล้จะโมโหแทบแย่แล้ว “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่า เพียงแค่ร่วมมือกับข้า ตอนนี้กลับมาถอดเสื้อผ้าอยู่ต่อหน้าข้า เจ้ารู้จักยางอายหรือไม่?”
หนานจาวเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจ ภายใต้เสื้อคลุมนี้ยังมีชุดข้างใน นางไม่ได้ถอดจนหมดเกลี้ยง เท่ากับว่าเพียงแค่เปลี่ยนเสื้อคลุมตัวนอก ทำไมถึงทำไม่ได้แล้ว?
ยังโยงไปถึงยางอายอะไรอีก
นางไม่หยุดการกระทำ หมุนตัวมามองเฟิงเทียนจี๋ สายตายั่วยุ “ท่านอ๋องสามารถออกไปได้ ท่านยืนอยู่ที่นี่ไม่ยอมไป ข้าชักสงสัยว่าท่านจงใจ เห็นข้าเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไม่รู้จักหลบเลี่ยง สรุปว่าผู้ใดไม่รู้จักยางอายกันแน่?”
เฟิงเทียนจี๋โกรธจนควันออกหู หนานจาวเสวี่ยพูดจาอย่างยั่วโมโหคนอื่นเหลือเกิน
“อ่อ ใช่แล้ว ท่านอ๋องเพิ่งถอนพิษไป อาจจะยังมีหลงเหลืออยู่นิดๆ และได้รับพิษมานานมากด้วย ร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก จำไว้ว่าอย่าโมโหเป็นอันขาด มิฉะนั้นถ้าโมโหจนเสียสุขภาพแล้ว ทำลายรากฐานแล้ว เช่นนั้นคงไม่ดีแน่”
ตอนที่นางพูดถึงสองประโยคสุดท้าย ย้ายสายตาลงด้านล่าง ตกอยู่ใต้ส่วนท้องของเฟิงเทียนจี๋ เผยอารมณ์ขบขันนิดหน่อย
ชั่วขณะนั้นเฟิงเทียนจี๋รู้สึกเกร็งส่วนท้อง ความรู้สึกน่าประหลาดอย่างหนึ่งแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดแขนเสื้อ “ช่าง......จริงๆ เลย!”
มองดูเขาก้าวใหญ่เดินไป หนานจาวเสวี่ยเก็บรอยยิ้มแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่องไว
เสื้อผ้านี้เป็นของเฟิงเทียนจี๋ แม้ว่านางรูปร่างสูงโปร่ง สำหรับนางแล้วก็ยังใหญ่ไปหน่อย แต่ว่าไม่เป็นไร นางปรับแก้นิดหน่อย รัดสายรัดเอวไว้ ก็สง่างามองอาจเหมือนเดิมแล้ว
นางก้าวใหญ่ๆ เดินออกมาจากเรือน จนมาถึงด้านนอกประตูจวน หาม้าที่นางขี่มาเจอ ควบม้าแล่นตรงไปยังตระกูลหนาน
เจินกุ้ยเฟยยกมือยันหน้าผากไว้ นั่งอยู่ในรถม้า ยังไปไม่ทันไกลเท่าไหร่ ด้านนอกหน้าต่างมีเสียงแม่นมรายงานเบาๆ “เหนียงเหนียง เมื่อครู่พระชายาขี่ม้าออกจากจวนไปแล้วเพคะ”
เจินกุ้ยเฟยสงสัยว่าตนเองหูฝาดไป “อะไรนะ? เจ้าพูดอีกรอบซิ!”
