บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

เทือกเขาเป่ยหลิง แดนศักสิทธิ์อันเลื่องชื่อของมณฑลเป๋ยเสวี่ย

นิกายอัคคีสวรรค์ หนึ่งในสามนิกายใหญ่ที่สุดในมณฑลเป๋ยเสวี่ย ก่อตั้งฐานที่มั่นอยู่ในส่วนลึกที่สุดของเทือกเขาเป่ยหลิง

"ท่านเจ้าตำหนักแย่แล้วขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว"

ทันใดนั้นเสียงร้องโหวกเหวกก็ได้ทำลายความสงบยามเช้าจนหมดสิ้น ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักหยินหยางที่มีหน้าที่ดูแลป้ายพลังชีวิต ได้วิ่งพรวดพราดเข้ามายังนอกเรือนที่พักของเจ้าตำหนัก

“เอะอะวายวายอะไรไร้มารยาทเสียจริง เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันล่ะ?”

ชายในชุดคลุมยาวสีทองเข้ม หยวดเคราขาวโพลน ร่างกายเหยียดตรงคนหนึ่งได้ก้าวเดินออกมา เขาคือโยวเทียนกู่ผู้เป็นเจ้าตำหนักหยินหยาง เขาโอบสตรีรูปร่างแช่มช้อย ใบหน้ารูปไข่หยาดเยิ้มที่ปรากฏริ้วแดงอ่อนๆ แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสั้นผ้าโปร่งบางขับผิวขาวเนียนละเอียด ก้าวเดินออกมาจากในห้องพร้อมตะโกนก่นด่า

"เจ้าตำหนัก ป้ายพลังชีวิตของผู้อาวุโสโยวหมิงจือแตกสลายไปแล้วขอรับ" ศิษย์ตำหนักหยินหยางกล่าวรายงานอย่างหวาดหวั่น

"อะไรนะ ป้ายพลังชีวิตของโยวหมิงจือแตกสลาย!" เมื่อได้ยินข่าวเรื่องนี้ โยวเทียนกู่ก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน "หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่แดนลับศักดิ์สิทธิ์?”

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ โยวเทียนกู่ก็ไม่รอช้าที่จะทอดทิ้งสาวงามรูปร่างอรชรในอ้อมแขน และมุ่งหน้าออกจากตำหนักหยินหยางไปอย่างรีบร้อน มุ่งหน้าตรงไปทางตำหนักที่พำนักของจ้าวนิกายอัคคีสวรรค์

เพียงไม่นาน เรื่องที่ป้ายพลังชีวิตของพวกโยวหมิงจือแตกสลายก็ได้แพร่กระจายออกไป สร้างความแตกตื่นไปทั่วนิกายอัคคีสวรรค์

"เจ้าตำหนักกระบี่ เจ้ารีบเรียกตัวฟู่โยวเยวี่ยมา ข้ามีเรื่องต้องการจะถามนาง"

จ้าวนิกายอัคคีสวรรค์หั่วเหยียนถ่ายทอดคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาดำสนิททอประกายเยือกเย็น เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีทองเข้ม ใบหน้าคมสันชัดเจนทุกองศาราวกับใช้มีดสลัก เส้นผมสีเงินนุ่มสลวยทิ้งตัวอยู่กลางแผ่นหลัง

"ขอรับ ท่านจ้าวนิกาย"

เจี้ยนหยวนพยักหน้ารับคำสั่งและรีบไปตามตัวฟู่โยวเยวี่ยมา

"ท่านจ้าวนิกาย ท่านคิดว่าความตายของผู้อาวุโสหั่วและโยวหมิงจือเกี่ยวข้องกับเยี่ยเฉินเฟิงหรือ?” สตรีผู้แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาว บุคลิกสง่างามองอาจ เส้นผมสีดำยาวม้วนเป็นทรงอยู่กลางศีรษะ ปักยึดด้วยปิ่นหยกเฟิ่งโถว ฮวาชิงหงเจ้าตำหนักร้อยบุปผาเอ่ยปากถาม

"ถ้าเป็นอย่างที่ท่านเจ้าตำหนักกระบี่พูดมา เยี่ยเฉินเฟิงคนนั้นไม่ธรรมดา บางทีเขาอาจได้รับสมบัติบางอย่างในแดนลับศักดิ์สิทธิ์ และใช้มันปลิดชีพโยวหมิงจือกับผู้อาวุโสหั่ว" หั่วเหยียนตอบกลับเสียงกดต่ำ

"แม้จะมีโอกาสเกิดเรื่องเช่นนั้น แต่บางทีผู้อาวุโสหั่วและโยวหมิงจืออาจจะถูกสังหารโดยคนจากนิกายหุบเขาเมฆาวายุหรือนิกายบรรพตวิหคอัสนี"

"อย่างไรซะเยี่ยเฉินเฟิงก็เป็นเพียงจอมพลอสูรโลกาเท่านั้น ต่อให้เขาจะเป็นสัตว์ประหลาดแค่ไหนหรือได้รับโชคลาภมากมายเพียงใด ก็ไม่น่าจะสังหารผู้อาวุโสโยวและผู้อาวุโสหั่วพร้อมกันได้ในคราวเดียว"

ข้อสันนิษฐานของฮวาชิงหงได้รับความเห็นชอบจากคนไม่น้อยทีเดียว

ในขณะที่ทุกคนกำลังโต้เถียงกัน ฟู่โยวเยวี่ยที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีดำ รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบางและดูเย็นชาสง่างามก็ได้เดินตามเจ้าตำหนักกระบี่เข้ามาภายในตำหนักกลางของนิกายอัคคีสวรรค์

"ท่านจ้าวนิกาย ข้าพาตัวฟู่โยวเยวี่ยมาแล้ว" เจี้ยนหยวนกล่าวด้วยความเคารพ

"ศิษย์ฟู่โยวเยวี่ยคาราวะท่านจ้าวนิกาย" ฟู่โยวเยวี่ยเองก็แสดงความเคารพด้วย

"ฟู่โยวเยวี่ยข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า เจ้าจะต้องตอบข้าตามตรง หากเจ้ากล้าโป้ปดแล้วล่ะก็อย่าหาว่าข้าไม่ปราณี" ดวงตาของจ้าวนิกายหั่วเหยียนเผยความดุร้ายออกมาและจ้องมองไปที่ฟู่โยวเยวี่ยอย่างเยือกเย็น

"ศิษย์ฟู่โยวเยวี่ยไม่กล้าที่จะปิดบังซ่อนเร้นท่านจ้าวนิกาย"

สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่รุนแรงของหั่วเหยียน ฟู่โยวเยวี่ยก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที นางเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับสิ่งที่หั่วเหยียนต้องการถามจากนางในยามนี้

"ฟู่โยวเยวี่ยบอกข้ามา เจ้าเจอเยี่ยเฉินเฟิงครั้งสุดท้ายที่ไหนในแดนลับศักดิ์สิทธิ์?” หั่วเหยียนกล่าวถามเสียงเรียบ

"เรียนท่านจ้าวนิกาย ข้าเจอเยี่ยเฉินเฟิงครั้งสุดท้ายในปราสาทหินที่ปรากฏขึ้น เขาได้หายเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำ ส่วนเรื่องที่เขาถูกส่งไปที่ไหนนั้น ข้าไม่อาจทราบได้"

เมื่อได้ยินคำถามของหั่วเหยียน ฟู่โยวเยวี่ยจึงคาดเดาได้ว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะต้องยังไม่ตายอย่างแน่นอน ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่แสดงอารมณ์ใด เพียงกล่าวอธิบายอย่างละเอียดรอบคอบ

หั่วเหยียนได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณเพื่อใช้สังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของฟู่โยวเยวี่ยตลอดเวลาที่นางกล่าวอธิบาย แต่เขากลับตรวจไม่พบความผิดปกติใดใด จึงคิดว่านางคงจะไม่ได้กล่าวคำลวง

"ทำไมตอนนั้นเจ้าไม่ตามเข้าไปด้วยล่ะ?” หั่วเหยียนได้กล่าวถามอีกครั้ง

"ศิษย์ต้องการติดตามเข้าไปเช่นเดียวกัน แต่ว่ากระแสน้ำวนสีดำนั่นมีพลังงานป้องกันบางอย่าง ศิษย์ได้ลองหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลวตลอด" ฟู่โยวเยวี่ยตอบกลับอย่างสุภาพ

"เอาล่ะ ข้าไม่มีอะไรจะถามเจ้าแล้ว เจ้าออกไปได้"

หั่วเหยียนครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะบอกฟู่โยวเยวี่ยให้ออกไป

"ท่านจ้าวนิกาย เหตุใดจึงไม่บังคับใช้การค้นวิญญาณกับนางล่ะ บางทีเราอาจจะได้รู้เรื่องราวจริงเท็จและรัดกุมได้มากกว่า"

เมื่อฟู่โยวเยวี่ยจากไปแล้ว โยวเทียนกู่จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจ

"จากที่ข้าลองสังเกตดู นางน่าจะไม่ได้พูดโกหกออกมา อีกอย่างนางยังสามมารถเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้อยู่ ถ้าหากการตายของผู้อาวุโสทั้งสองเกี่ยวข้องกับเยี่ยเฉินเฟิงจริง บางทีเราอาจใช้ฟู่โยวเยวี่ยล่อตัวมันออกมาได้” หั่วเหยียนกล่าวตอบเสียงต่ำ ดวงตาทอประกายวาววับ

"เจ้าตำหนักกระบี่ เจ้าตำหนักอัคคี พวกเจ้าทั้งสองคนไปยังบึงทมิฬและตรวจสอบสาเหตุการตายของผู้อาวุโสทั้งสอง หากมีอะไรคืบหน้ารีบแจ้งต่อข้าในทันที" หั่วเหยียนกล่าวสั่ง

"ขอรับท่านจ้าวนิกาย!"

เจี้ยนหยวนและหั่วอวิ๋นคงพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็โดยสารวิหคเพลิงบินไปยังพื้นที่บึงทมิฬในทันที

ขณะที่นิกายอัคคีสวรรค์กำลังมองหาสาเหตุการตายของผู้อาวุโสทั้งสอง เยี่ยเฉินเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นในส่วนลึกของภูเขาหิมะที่อยู่ห่างออกไปนับหมื่นลี้จากบึงทมิฬ หยิบแผ่นศิลาอำนาจกระบี่ออกมา เตรียมจะฝึกฝนอำนาจกระบี่ให้ถึงขั้นสมบูรณ์ เพื่อเพิ่มพลังที่แท้จริงของตนเอง

“ชิ้ง...”

เยี่ยเฉินเฟิงปลดปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปในศิลาอำนาจกระบี่ และสัมผัสกับรอยตราอำนาจกระบี่สีดำทมิฬเส้นนั้น พลันเกิดเสียงกรีดกระบี่แสบแก้วหูดังก้องขึ้น

อำนาจกระบี่อันแสนน่ากลัวทะลักล้นออกมาจากแผ่นศิลาราวกับสายน้ำหลาก พลังงานระเบิดใส่หิมะด้านหลังของเขาที่ไกลออกไปนับพันจั้งจนเป็นรอยบากหลายสาย และทำให้พลังวิญญาณที่แทรกซึมเข้าไปภายในของเยี่ยเฉินเฟิงถูกฉีกกระชากจนย่อยยับ

"น่ากลัวชะมัด อำนาจกระบี่สมบูรณ์นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าอำนาจกระบี่เก้าชั้นฟ้าอีก"

เมื่อพลังวิญญาณถูกฉีกกระชากออกจากกัน เยี่ยเฉินเฟิงก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าว ศีรษะของเขาเหมือนกำลังจะระเบิดออกมา

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะเข้าถึงอำนาจกระบี่สมบูรณ์ เยี่ยเฉินเฟิงได้อดทนต่อความเจ็บปวดเหล่านั้นและใช้พลังวิญญาณของเขาแทรกซึมเข้าไปในรอยตรากระบี่สีดำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควบคุมสมองกลืนเทวะให้วิเคราะห์ร่วมด้วย

ระหว่างขั้นตอนการอนุมาน เวลาก็ได้ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง

เขาไม่รู้เลยว่าเวลาได้ผ่านเลยไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งแผ่นศิลาอำนาจกระบี่ในมือของเขาเริ่มแตกออก

จากนั้นกระแสอำนาจกระบี่ที่รุนแรงก็ถูกปลดปล่อยออกมาคลุมร่างของเยี่ยเฉินเฟิงที่มีหิมะปกคลุมหนาเอาไว้ ก่อนจะทะยานสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า พุ่งทะลุไปจนท้องฟ้ากลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ เมฆลมกระจัดกระจายปั่นป่วน

สะบัดหิมะที่ปกคลุมร่างกายออก เยี่ยเฉินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างกายคล้ายกระบี่กล้าที่ถูกฝุ่นเกาะมาราวพันปี แต่เมื่อหลุดออกจากฝักก็สั่นสะเทือนได้ทั่วหล้า

ครู่ต่อมา เยี่ยเฉินเฟิงก็ได้ร่ายรำกระบวนท่ากระบี่ทั้งหมดอยู่บนพื้นหิมะ กระบี่ดุจสายน้ำ ร่างกายดุจมังกรแหวกว่าย อำนาจกระบี่ที่น่ากลัวเป็นดังพายุฝนคลั่ง สาดกระจายไปทั่วทิศทาง

เยี่ยเฉินเฟิงใช้เวลาฝึกฝนอยู่ที่ใต้ธารน้ำแข็งเกือบเดือน ด้วยความช่วยเหลือของสมองกลืนเทวะ ในที่สุดเขาก็สามมารถเรียนรู้อำนาจกระบี่ขั้นสมบูรณ์ได้

"ใช่ ความรู้สึกนี้แหละ..."

เยี่ยเฉินเฟิงร่ายรำท่วงท่าอยู่เกือบครึ่งวัน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้อำนาจกระบี่ขั้นสมบูรณ์ร่วมกับเคล็ดวิชากระบี่ก็เพิ่มสูงขึ้น และเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจกระบี่ขั้นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ภายใต้ท่วงทำนองของเยี่ยเฉินเฟิง เสียงหวีดของกระบี่ได้ดังออกมาเป็นระยะๆ กลิ่นอายพลังที่น่ากลัวได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา และรวมกันจนกลายเป็นแสงกระบี่อันน่าตื่นตะลึง

จากนั้นพลังอำนาจกระบี่สมบูรณ์ที่น่ากลัวก็ได้พุ่งออกไป ตัดฟันก้อนน้ำแข็งที่สูงนับพันจั้งออกเป็นสองส่วน พลังโจมตีอันน่ากลัวยังคงทิ้งร่องรอยไว้กลางอากาศไม่จางหาย

"อำนาจกระบี่สมบูรณ์ ในที่สุดก็ทำได้แล้ว"

เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังงานของอำนาจกระบี่ ใบหน้าของเยี่ยเฉินเฟิงปรากฏความเย่อหยิ่งและรอยยิ้มจางๆ ออกมาหลังจากผ่านการฝึกอันยากลำบาก ในที่สุดเขาก็สามารถฝึกฝนอำนาจกระบี่สมบูรณ์ให้สำเร็จได้ซักที

มลฑลเป๋ยเสวี่ย เมืองซานหยวน

เมืองซานหยวนเป็นเมืองการค้าที่มีชื่อเสียงในมณฑลเป๋ยเสวี่ย นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่านิกายพรรคใหญ่ๆ มีร้านค้าร้านอาวุธรวมถึงร้านขายยาอยู่มากมายภายในเมือง รวมถึงยอดฝีมือที่มีอยู่เกลื่อนกลาด

"เมืองซานหยวนเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก มันเทียบได้กลับเมืองหลวงของแคว้นอย่างจื่อจินและแคว้นอื่นๆ ได้เลย" เยี่ยเฉินเฟิงที่เดินไปตามถนนภายในเมือง เขาเห็นร้านขายของจำนวนมากมายจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม

เหตุผลที่เยี่ยเฉินเฟิงมาเมืองซานหยวนแห่งนี้ก็เพราะต้องการหาข่าวการเคลื่อนไหวของนิกายอัคคีสวรรค์ รวมถึงขายอาวุธวิญญาณที่ไม่จำเป็นสำหรับเขาทั้งหมดเพื่อแลกเปลี่ยนผลึกวิญญาณระดับกลาง

หากได้รับผลึกวิญญาณระดับกลางสักห้าหมื่นก้อน เขาก็จะสามารถควบคุมหุ่นเชิดหุ่นเชิดวิญญาณกระบี่ให้ทำการโจมตีได้ เท่านี้เขาก็ไม่ต้องกลัวยอดฝีมือจากนิกายอัคคีสวรรค์อีกต่อไป

แม้ความคิดของเยี่ยเฉินเฟิงจะดี อีกทั้งอาวุธวิญญาณ เคล็ดวิชาและทักษะสำหรับฝึกฝนที่เขามีอยู่จะมีมูลค่าสูงมาก แต่เพราะเยี่ยเฉินเฟิงต้องการแลกทั้งหมดเป็นผลึกวิญญาณระดับกลาง ทำให้จำนวนที่ขายได้ไม่ถึงเป้าที่หวังไว้

เขาได้ขายสมบัติที่ได้รับมาให้ร้านทั้งหมดภายในเมืองหลังจากเดินหาอยู่หลายรอบ แต่ก็เปลี่ยนมันเป็นผลึกวิญญาณระดับกลางได้เพียงสามหมื่นสามพันกว่าก้อน รวมกับที่เขามีอีกห้าร้อยกว่าๆ ก็เท่ากับว่าเขามีผลึกวิญญาณระดับกลางเพียงแค่สามหมื่นสี่พันก้อนเท่านั้น

มันยังห่างไกลจากเป้าหมายผลึกวิญญาณระดับกลางห้าหมื่นก้อนที่เขาตั้งเอาไว้

"หรือว่าข้าจะต้องขายอาวุธปฐพีขั้นกลางกระบี่หยกมรกตนั่น?”เยี่ยเฉินเฟิงได้ครุ่นคิด

แต่ทว่ากระบี่สวรรค์จวี้เชวี่ยเป็นอาวุธสวรรค์ที่มีค่ามากเกินไป โดยทั่วไปแล้วเขาใช้กระบี่หยกมรกตจะเป็นการดีที่สุด ดังนั้นถ้าหากขายกระบี่หยกมรกตไปจะมีผลกระทบอย่างมากต่อเขา

"แล้วข้าจะหาผลึกวิญญาณระดับกลางให้ครบห้าหมื่นก้อนได้อย่างไรเนี่ย" เยี่ยเฉินเฟิงจ้องมองไปบนท้องฟ้าที่เริ่มมืด เขาเดินทางหาร้านอาหารใกล้ๆ เพื่อแวะพักผ่อน

เทียนเว่ยจวีเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองและเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุด

เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุด ราคาอาหารจึงแพงอย่างมาก ถึงอย่างนั้นก็สามารถดึงดูดยอดฝีมือจำนวนมากให้มาที่นี่ได้

เยี่ยเฉินเฟิงได้นําหน้ากากจักจั่นออกมาแปลงโฉมก่อนจะเดินเข้าไปในเทียนเว่ยจวี เขาหาที่นั่งและสั่งอาหารจานที่ถูกปรุงด้วยเนื้อสัตว์อสูรและน้ำแกงมาสองสามอย่าง ทานไปด้วย ลอบฟังบทสนทนาของเหล่ายอดฝีมือไปด้วย

ในไม่ช้าเยี่ยเฉินเฟิงก็ได้ยินบทสนทนาของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสี่คนที่น่าสนใจมาก

"พี่เฟยท่านได้ยินหรือไม่? นิกายอัคคีสวรรค์ได้ระดมกำลังพลจากทั่วทุกสารทิศเพื่อออกไล่ล่าชายคนหนึ่งที่ชื่อเยี่ยเฉินเฟิง"

ชายผมขาวในวัยสามสิบปีดื่มเหล้าและพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล

"ย่อมได้ยินมาบ้าง ข้าไม่รู้ว่าเยี่ยเฉินเฟิงมันไปทำอะไรถึงทำให้นิกายอัคคีสวรรค์ตั้งค่าหัวของมันสูงถึงขนาดนั้น ข่าวนี้ทำให้ทั่วทั้งมณฑลเป๋ยเสวี่ยแห่งนี้ต้องแตกตื่น" ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครากินเนื้อสัตว์อสูรอย่างเอร็ดอร่อยและตอบกลับ

"พี่เฟิง แล้วรางวัลที่ทางนิกายอัคคีสวรรค์เสนอคืออะไร?” ชายอีกสองคนได้กล่าวถามด้วยความสนใจ

"ได้ยินมาว่านิกายอัคคีสวรรค์จะมอบผลึกวิญญาณระดับกลางหนึ่งหมื่นก้อนให้แก่คนที่พบเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิง หากสามารถนําไปสู่การจับกุมได้พวกเขาจะตอบแทนเป็นผลึกวิญญาณระดับกลางสามหมื่นก้อนและอาวุธปฐพีขั้นต่ำสองชิ้น" ชายผมขาวกล่าวตอบ

"อะไรนะ เพียงแค่พบเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิงก็ได้รับรางวัลงามขนาดนั้นเลย?”

ได้ยินคำพูดจากชายผมขาวชายในชุดคลุมสีเทา ทั้งสามคนตื่นเต้นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่าเพียงแค่พบเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิงก็จะได้ผลึกวิญญาณระดับต่ำหนึ่งหมื่นก้อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้าสามารถนําพาไปสู่การจับกุมอีกฝ่ายได้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระตือรือร้น

"พี่เฟิง ถ้าข้าพบเบาะแสของเยี่ยเฉินเฟิงข้าจะต้องไปแจ้งที่ไหน?” ชายในชุดคลุมเทากล่าวถาม

"ถ้าเจ้าสนใจจริงๆ ก็ไปที่ภูเขาเทียนซาน ได้ยินมาว่านิกายอัคคีสวรรค์ได้จัดตั้งขุมกำลังชั่วคราวขึ้นที่นั่น" ชายผมขาวกล่าวตอบ

"นิกายอัคคีสวรรค์ถึงขนาดตั้งรางวัลนําจับข้า?”

ได้ยินบทสนทนาของทั้งสี่คนเยี่ยเฉินเฟิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

การที่นิกายอัคคีสวรรค์ไล่ล่าเขาก็อยู่ในการคาดเดาของเยี่ยเฉินเฟิงอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่านิกายอัคคีสวรรค์จะมอบรางวัลที่สูงล้ำเช่นนี้

"ในเมื่อข้าหากผลึกวิญญาณระดับกลางยังไม่ครบ เช่นนั้นข้าก็จะไปแย่งชิงจากพวกมันโดยตรงเลย"

เยี่ยเฉินเฟิงตัดสินใจที่จะไปที่ภูเขาเทียนซานเพื่อทำการแย่งชิงและมอบบทเรียนให้กับนิกายอัคคีสวรรค์อีกครั้ง

แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวอันตรายที่ซ่อนอยู่ในภูเขาเทียนซาน เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเยี่ยเฉินเฟิงในปัจจุบันรวมถึงไพ่จำนวนมากที่เขามี หากคิดจะหนีเขาย่อมสามารถหลบหนีออกไปได้

"หึ อาศัยแค่พวกเจ้าสามคนน่ะหรือจะมาชิงส่วนแบ่ง? ช่างไม่รักชีวิตเอาเสียเลย”

ในตอนนั้นเองเสียงเยาะเย้ยของใครบางคนก็ลอยมาจากภายในโรงเตี๊ยม ชายในชุดคลุมยาวสีขาวสวมกวานทรงสูงบนศีรษะ ยกสุราชั้นดีในมือขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยปรามาสออกมา

"มารดามันเถอะ แกกล้าว่าพวกเราเป็นพวกไม่เจียมกะลาหัวหรือ" ชายในชุดคลุมสีเทาคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นเสียงดัง

"ใช่ พวกเจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก"

"พวกเจ้ายังไม่มีพลังถึงเขตแดนเซียนอสูรสวรรค์ยังกล้าที่จะคิดจับกุมเยี่ยเฉินเฟิง แม้แต่จะข้ามภูเขาเทียนซานยังเป็นไปไม่ได้เลยมั้ง" ชายในชุดคลุมขาวกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยาม

"ภูเขาเทียนซานไม่ได้มีข้อกำหนดว่าระดับต่ำกว่าเซียนอสูรสวรรค์ไม่มีสิทธิ์เข้าไป ทำไมพวกเราถึงจะเข้าไปไม่ได้?” ชายในชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างไม่แยแส

"แน่นอนว่าไม่มีกฎที่ว่าห้ามต่ำกว่าเซียนอสูรสวรรค์เข้าไป แต่ถึงพวกเจ้าเข้าไปก็ทำได้เพียงเป็นอาหารของพวกสัตว์วิญญาณที่อยู่ในป่าเหล่านั้น ฮ่าฮ่า" ชายชุดขาวกล่าวหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

"เจ้า"

เมื่อชายในชุดคลุมสีเทาทนไม่ไหวและกำลังจะพุ่งโจมตีใส่ชายชุดขาว ชายชุดขาวกระเบิดพลังในระดับเซียนอสูรสวรรค์ออกมา

"เซียนอสูรสวรรค์เขาเป็นเซียนอสูรสวรรค์!"

"เขายังเด็กอยู่แท้ๆ ทำไมถึงมีความแข็งแกร่งถึงเซียนอสูรสวรรค์ได้ ไม่ผิดแน่เขาจะต้องเป็นอัจฉริยะหาใดเปรียบ"

เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพลังของชายชุดขาวทั้งสี่คนก็หวาดกลัว แม้ว่ากลิ่นอายพลังของเซียนอสูรสวรรค์จะมีอยู่ในร้านอาหารแห่งนี้เหมือนกัน แต่คนเหล่านั้นก็ไม่มีใครเยาว์วัยเท่ากับชายหนุ่มเบื้องหน้าของเขา

เห็นทั้งสี่คนหวาดกลัวตัวเอง ชายชุดขาวรู้สึกพึงพอใจเขาจึงพูดออกมาว่า

"บอกข้ามาว่าภูเขาเทียนซานอยู่ที่ไหน" ชายชุดขาวกล่าวถามออกมาอย่างเยือกเย็น

ชายชุดขาวที่ว่าก็คือเยี่ยเฉินเฟิง เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปที่เบื้องหน้าของทั้งสี่คน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel