บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

กว่าจะมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม คุณย่าถมดูจะไม่ตื่นเต้นกับการได้มาพำนักที่บ้านหลังใหญ่ที่แสนจะสะดวกสบายกว่าเรือนไม้ที่อยู่ทุกวันที่บ้านเดิม นางพูดคุยกับหญิงสาวมาตลอดทางโดยมีคุณวีณาสอดแทรกบ้างตามโอกาส การสนทนาจากอยุธยาถึงรังสิตทำให้ทุกคนได้รู้จักว่าหญิงสาวที่คุณย่าถมติดหนักหนานั้นเป็นใคร

“หนูข้าวจบบริหารมาเหรอจ้ะ” คุณวีณาร่วมวงสนทนาด้วย

“ข้าวจบเกษตรค่ะ ตั้งใจเรียนเกษตรโดยตรงเพราะไม่คิดว่าจบมาจะทำอย่างอื่นนอกจากทำงานที่บ้าน”

“หนูข้าวไม่ได้จบแค่เกษตรธรรมดามานะจบเกียรตินิยมมาด้วยแถมด้วยปริญญาโทอีกใบ” คุณย่าอวดสรรพคุณ

“หนูเรียนอะไรต่อจ้ะ” คุณวีณาถามต่ออย่างสนใจ

“หนูจบโทบริหารมาค่ะ คุณย่าแนะนำให้ไปเรียนเพื่อว่าจะได้เอามาใช้กับงานที่คิดจะทำกับคุณย่าน่ะค่ะ”

“คุณแม่จะลงทุนทำงานอะไรคะ แค่นี้คุณแม่ก็เหนื่อยมากแล้ว” ลูกสะใภ้หันมาถามแม่สามี

“ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แค่อยากช่วยชาวบ้านให้มีรายได้ในระหว่างรอเกี่ยวข้าว หนูข้าวเลยเสนอว่าน่าจะมีหน้าร้านขายของ พอฟังสิ่งที่หนูข้าวคิดก็ตกลงทำทันที” คุณย่าถมออกตัว

“หนูคิดโปรเจคนี้ได้ตอนทำธีสิสน่ะคะ จบมาก็เลยมาทำต่อซะให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย โชคดีได้คุณย่าเป็นผู้สนับสนุน” นางสาวข้าวยกความดีให้คุณย่า

ข้าวหรือ สาวิตรี ร่มเย็นสุขวัยยี่สิบห้าปี เด็กสาวลูกชาวนาที่มีหัวคิดไกลเกี่ยวกับการยกระดับผลิตภัณฑ์ที่เกษตรกรมีอยู่แล้ว มาแปรรูปเป็นของมีค่าเพื่อทำให้ราคาสูงแต่ไม่กระทบกับผู้บริโกค และสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยให้คงอยู่ไว้ดั่งเดิม

“หนูได้ความคิดนี้จากไหนจ้ะ” คุณวีณาถาม

“ตอนที่ไปฝึกงานค่ะ แล้วก็จากหนังสือที่อ่านเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริของในหลวง ที่พระองค์ท่านสอนให้เกษตรมีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง ปลูกพืชกินเองได้และถ้าเหลือก็เอาไปขายเพื่อเป็นรายได้เข้าครัวเรือน ข้าวก็เลยมาคิดว่าพืชผลของชาวบ้านที่มีเราน่าจะเอามาทำอะไรที่เกิดรายได้และเป็นรายได้ที่แน่นอน”

“หนูรู้จักลุงป้าหน้าอาเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ตั้งหลายคน แต่ละคนทำนากันปีหนึ่งสองครั้ง ระหว่างรอก็ปลูกผักปลูกผลไม้ไว้กินเองบ้างขายบ้าง แต่ถ้าขายก็จะโดนพ่อค้าคนกลางกดราคาให้ต่ำอ้างว่าค่าขนส่งแพงบ้าง ทำให้พวกเขาหมดกำลังใจ แต่ถ้าเอาของมาขายที่สวนคุณย่าเราก็รับซื้อตามราคาจริงแล้วก็เอามาแปรรูป ถ้าใครมาช่วยเราทำงานเราก็ให้ค่าแรงเพิ่มขึ้น แค่นี้พวกชาวบ้านก็มีงานทำรอเกี่ยวข้าวได้แล้วค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยความภูมิใจ

“แล้วหนูเอาของที่ทำไปขายที่ไหนจ้ะ ที่ร้านพอเพียงร้านเดียวเหรอ” คุณวีณาอยากรู้อีก

“จะมีของที่เก็บได้ก็อาศัยรุ่นพี่ หรือเพื่อนเอาไปฝากขายเป็นของฝาก หรือบางทีก็เป็นของหวานของฝากเฉพาะที่ให้กับโรงแรมหรือรีสอร์ต ที่มาติดต่อเราในช่วงเทศกาลหรือฤดูของผลไม้แต่ละชนิด ที่ร้านพอเพียงจะทำหน้าที่ขายหน้าร้านแล้วก็รับออร์เดอร์ค่ะ”

“ไว้วันหลัง ฉันต้องไปขอความรู้จากหนูบ้างแล้วจ้ะ” คุณวีณาเอ่ยด้วยความสนใจ

ทั้งสี่คนมายืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ตึกกลางสว่างทั่วเหมือนจะรู้ว่าเจ้าของบ้านกำลังกลับมา แต่อีกสองตึกที่ขนาบข้างกลับปิดไฟมืดมีแต่แสงไฟทางเดินเท่านั้น คุณย่าถมเห็นแล้วก็รู้สึกกังวลตามคำพูดของลูกชาย นี่เกิดอะไรขึ้นทำให้หลานสองคนถึงได้มีวิธีทางชีวิตที่ผิดปกติเช่นนี้

“ถึงบ้านแล้วแกจะให้มียืนตรงนี้ทั้งคืนใช่ไหม กับข้าวกับปลามีให้กินหรือเปล่า หนูข้าวหิวไหมลูก” คุณย่าหันมาถามหญิงสาว

คุณธนารีบกุลีกุจอจูงมือมารดาเข้าไปในบ้าน เขามัวแต่คิดเรื่องลูกชายจนลืมเรื่องอื่นไปสนิทใจ อาหารมื้อค่ำเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมีคนเพียงแค่สี่คนแต่กับข้าวเต็มโต๊ะจนเลือกไม่ถูก

“เจ้าธนา แกกินข้าวแบบนี้ทุกวันหรือไง” คุณย่าทำหน้าเบ้เมื่อเห็นกับข้าวบนโต๊ะ แกงกะทิเอย ไก่ทอดเอย และยังจะมีขาหมูมันๆ อีก

“ครับ ก็แม่บ้านจัดบ้างบางทีวีณาก็ทำเองบ้าง ถ้าเมื่อก่อนผมทำงานก็โน่นครับกินมาจากข้างนอกเลยบางที” บุตรชายลงมือตักกับข้าวใส่จานมารดา

“อ้อ แบบนี้นี่เอง” หญิงชราตักอาหารเพียงบางอย่างมาใส่จาน แล้วกินเพียงสองสามคำเพื่อรองท้อง

“คุณแม่อิ่มแล้วเหรอคะ” ลูกสะใภ้คนโปรดถาม

“จ้ะ อิ่มแล้ว ขอตัวไปพักก่อนนะ หนูข้าวกินให้อิ่มนะแล้วคืนนี้ไปนอนกับย่า” คุณย่าลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร

“หนูข้าว ไม่ทานแล้วเหรอลูก” คุณวีณาตกใจเมื่อสาวิตรีรวบช้อนตาม

“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวไม่ค่อยหิว เดี๋ยวพาคุณย่าไปพักก่อน”

คุณย่าถมนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหรูในห้องนอน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่เสื้อคอกระเช้าและนุ่งผ้าถุงเหมือนอยู่ที่บ้านไม่มีผิด ขณะนี้สาวิตรีเป็นรายต่อไปที่อยู่ในห้องน้ำ เปิดประตูออกมาเห็นคุณย่ากำลังนั่งคิดอะไรจึงเดินมานั่งข้างๆ

“คุณย่าคิดอะไรอยู่คะ” หญิงสาวถาม

สาวิตรีคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้ของคุณย่า รู้ดีว่าถ้าเมื่อไรหญิงชรานั่งนิ่งๆ ก็แสดงว่ามีเรื่องให้ขบคิดและท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย

“ไม่มีอะไรหรอกลูก คิดเรื่อยเปื่อยตามประสาคนแก่” นางหันมายิ้มให้

สายตาของหญิงชราบ่งบอกถึงความเมตตาเอ็นดูที่มีต่อสาวิตรีเป็นพิเศษ เธอมาวิ่งเล่นในสวนหลังบ้านตั้งแต่เด็กแล้ว ด้วยอุปนิสัยว่านอนสอนง่ายจึงเป็นที่รักของคุณย่าได้ไม่ยาก ยิ่งโตมาก็ได้ดั่งใจเพราะมีความรู้ทางการเกษตรดีมาก ที่สำคัญไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นลูกชาวนาและไม่เคยรังเกียจวิถีชีวิตท้องนา

สาวิตรีใกล้ชิดกับคุณย่าถึงขนาดเข้าออกมาค้างคืนที่เรือนบ่อยๆ เพ่อชุมและแม่เนื่องให้ความเคารพหญิงชราเป็นอย่างมาก ก่อนที่พ่อของหญิงสาวจะเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ได้เอ่ยปากฝากฝังสาวิตรีไว้กับนาง นับตั้งแต่นั้นมาคุณย่าก็ให้ความเมตตาเอ็นดูตลอดมา

“คุณย่าจะอยู่ที่นี่กี่วันคะ” สาวิตรีมีงานหลายอย่างต้องกลับไปสะสางคงอยู่เป็นเพื่อนนางได้ไม่นานนัก

“ยังไม่รู้เลยลูก คงต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะตอบได้ มีอะไรหรือเปล่า”

คุณย่าหมายถึงพรุ่งนี้ที่จะคุยกับหลานชายทั้งสอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

“เปล่าค่ะ ข้าวคิดว่าถ้าคุณย่าจะอยู่นาน วันอาทิตย์เย็นๆ ข้าวจะกลับบ้าน วันจันทร์เป็นวันหยุดว่าจะไปดูแม่ซะหน่อย”

ทุกเดือนสาวิตรีจะต้องไปเยี่ยมมารดา ซึ่งปัจจุบันอาศัยร่มเงาของพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งทางใจอยู่ที่วัดเล็กๆ ใกล้บ้าน และถือโอกาสไปฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้จิตใจสงบไปด้วยในตัว

“งั้นเดี๋ยวให้คนรถไปส่งที่บ้านก็แล้วกันลูก คืนนี้ก็นอนเป็นเพื่อนย่าไปก่อน”

โจทย์ของคุณย่านั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับ เมื่อถูกปลุกให้ลุกขึ้นจากที่นอนอันแสนสบายในตอนเช้า หญิงชราทนเสียงรบเร้าของคุณธนาไม่ไหวจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่มาเจรจากับเจ้าหลานชายตัวดีแทน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel