บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

หญิงชรานิ่งไปสักพัก ตอนแรกคิดว่าจะไม่สนใจกับเรื่องปัญหาหยุมหยิมของครอบครัวธวัชชัยและมาลินี แต่พอฟังเรื่องของเจ้าหลานชายคนเล็กก็พลอยเป็นกังวลด้วยไม่ได้

เรื่องอายุไม่ใช่ปัญหาในการครองชีวิตคู่ แต่ความซื่อสัตย์และความรักที่มีต่อกันต่างหากเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากผู้หญิงที่ชื่อปลายฟ้าเคยทิ้งหลายชายไปแต่งงานแล้วหย่า ก่อนจะกลับมาหาอีกครั้งเห็นที่เรื่องนี้คุณย่าคงอยู่เฉยไม่ได้แล้ว

“แล้วเธอล่ะ แม่วีณา คิดยังไงกับเรื่องนี้” แม่สามีหันมาถามสะใภ้บ้าง

“เรื่องนี้ต้องแล้วแต่ตาสอง ถ้ารักชอบกันจริงๆ ดิฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยอมรับนะคะว่าในใจก็อยากให้มีผู้หญิงดีๆ สักคนเข้ามาให้ลูกได้รู้จัก เผื่อว่าบางทีอาจจะเปลี่ยนใจจากปลายฟ้าก็ได้” คุณวีณาตอบตามจริง

นางเป็นมารดาที่หัวสมัยใหม่ไม่ได้ยึดติดกับอดีตของคน แต่สิ่งที่ทำให้กังวลก็คือ ความจริงใจที่หญิงสาวมีให้บุตรชายของตนต่างหาก

คุณย่าถมรู้ดีว่าการที่บุตรชายและสะใภ้มาหาไกลถึงอยุธยานั้น แสดงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทั้งคู่แน่ แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“แล้วพ่อธนาจะให้แม่ช่วยอะไร”

“ผมอยากให้คุณแม่ไปอยู่ที่บ้านเราสักพัก ให้ช่วยหาทางเกลี้ยกล่อมให้เจ้าสองมันมองผู้หญิงคนอื่นบ้างที่นอกจากปลายฟ้า เผื่อว่าบางทีมันอาจจะตาสว่างขึ้นมาก็ได้” คุณธนาเอ่ยอย่างมีความหวัง

เรื่องจะให้ไปพักที่บ้านในกรุงเทพฯไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือว่านางจะต้องไปเกลี้ยกล่อมหลานชายให้มองผู้หญิงคนอื่นนอกจากคนที่คบอยู่ นั่นต่างหากคือปัญหา ถ้าพูดแล้วยอมแต่นางไม่มีปัญญาหาคนมาให้มองก็เท่ากับว่าพูดไปก็เท่านั้น รังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก

คุณย่าถมรู้จักธาดาดีกว่าใครทั้งหมดเพราะเป็นคนเลี้ยงหลานชายคนนี้มาแต่อ้อนแต่ออก นิสัยของธาดาเป็นคนมีเหตุมีผล สิ่งที่คิดและทำย่อมเกิดจากการตรึกตรองดีแล้ว

การจะเล่นกับคนที่มีความคิดของตนเอง และยิ่งเป็นคนชอบสันโดษที่ไม่ให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวแล้วด้วย หญิงชราย่อมรู้ดีกว่าใครว่าควรจะจัดการอย่างไร

“แม่หวี ไปจัดกระเป๋าให้ย่าหน่อย ย่าจะไปกรุงเทพฯสักสองสามวัน”

“ผมฝากเจ้าสองไว้กับคุณแม่ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

“แม่ไม่รับปากว่าจะทำสำเร็จไหม แต่เมื่อลูกมาขอร้องแม่ก็จะลองช่วยสักครั้ง” คุณธนาหอมแก้มมารดาด้วยความรักเป็นการตอบแทน เรื่องนี้ถ้าคุณย่าออกหน้ามีหรือจะไม่สำเร็จ

ฉวีเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วกลับมานั่งรอที่หัวบันไดบ้านเช่นเดิมเพื่อรอคำสั่งต่อ คุณย่านั่งคุยอยู่กับบุตรชายและสะใภ้อยู่ที่แคร่เหมือนเดิม คุณธนาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือหลายครั้ง ไม่เห็นว่ามารดาจะมีท่าทีว่าจะลุกเพื่อออกเดินทาง

“คุณแม่ครับ บ่ายสามกว่าแล้วผมว่าเราไปกันดีกว่า เดี๋ยวเย็นกว่านี้ถึงบ้านค่ำคุณแม่จะเหนื่อย”

“สามโมงเย็นแล้วเหรอ ตายแล้ว! เจ้าธนาแกต้องรอแล้วล่ะ เดี๋ยวสี่โมงเย็นแม่มีนัดในสวน” หญิงชรานึกได้ว่ามีนัดสำคัญที่จะไปไหนไม่ได้

“ไปแม่หวี เจ้าหมึก เข้าสวนกัน” คุณย่าลุกขึ้นฉวยงอบใบใหญ่สวมหัวแล้วเตรียมจะเดินลงบันได

“คุณแม่จะเข้าสวนทำไม แล้วจะกลับมากี่โมงครับ”

“ตอบไม่ได้จนกว่าจะคุยธุระเสร็จ” หญิงวัยกลางคนรีบลงจากเรือนไปทันที

“เราไปกับคุณแม่ดีไหมคะ” คุณวีณาหันมาชวนสามี

เป็นอันว่าทั้งหมดต้องลงจากเรือนเดิน อ้อมไปด้านหลังที่เป็นสวนสารพัดของคุณย่าบนเนื้อที่กว่าสิบไร่ เพิงหลังคามุงแฝงที่คุณธนาคุ้นตายังอยู่มารดายังคงชอบลงมาหางานทำในสวนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแม้ว่าวันนี้จะอายุมากขนาดนี้แล้ว

เดิมคุณธนาอยู่รวมกันคุณย่าที่เรือนหลังนี้ แต่เมื่อกิจการของบริษัทเจริญมากขึ้น จำเป็นจะต้องไปหาที่อยู่ใหม่ในเมืองซึ่งสะดวกสบายและใกล้การทำงาน แรกๆ คุณวีณาก็อยู่ที่นี่พร้อมกับเลี้ยงลูกชายทั้งสองที่กำลังเติบโตและช่วยคุณย่าดูแลบ้าน

จนเมื่อทุกอย่างในกรุงเทพฯเรียบร้อย คุณธนาก็มารับลูกเมียกลับไปอยู่รวมกันเป็นครอบครัว ส่วนคุณย่าปฎิเสธที่จะไปอยู่ด้วยเพราะชอบบรรยากาศที่คุ้นเคยมาแต่เกิด

ครอบครัวของคุณธนาเป็นชาวนาที่พระนครศรีอยุธยามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทุกคนในครอบครัวไม่ว่ากี่รุ่นก็ทำนาด้วยกันทั้งนั้น คุณย่าถมเป็นสะใภ้ของตระกูลบริบาลภิรักษ์ที่นำความเจริญมาให้กับครอบครัว นางเป็นคนออกหัวคิดให้บุตรชายหาทางเอาข้าวที่ปลูกได้ในที่ของตน ไปขายตรงกับผู้บริโภคแทนที่จะผ่านโรงสีหรือพ่อค้าคนกลาง

คุณธนาเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ มาเป็นผู้บุกเบิกในระยะแรกล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่โชคดีที่ได้พบกับคุณวีณาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากในปัจจุบัน ที่มีความรู้ความสามารถในการค้าขายมาเป็นผู้ช่วยเบิกทางให้

เมื่อโอกาสมาถึงประจวบกับความขยันทำให้เกิดบริษัทข้าวไทยทำขึ้นมาในอีกสองปีต่อมา และเจริญเติบโตจนเป็นบริษัทส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ

นอกจากจะมีข้าวจากนาของตนเองแล้ว คุณย่ายังเอื้อประโยชน์ให้กับเพื่อนร่วมอาชีพด้วยการให้ค้าขายกับบริษัทของลูกชาย จนทุกวันนี้นากว่าหลายร้อยไร่ในเขตบ้านและต่างอำเภอต่างก็พร้อมใจส่งผลผลิตที่ได้ให้กับบริบาลภิรักษ์ทั้งสิ้น

นอกจากนากว่าห้าสิบไร่ที่คุณย่าถมบริหารจัดการให้เช่าและทำเองบ้างแล้ว ยังมีเวลามาทำสวนสารพัดชนิดด้านหลังบ้าน ปลูกทุกอย่างที่สามารถเปลี่ยนเป็นรายได้เข้ามาในครอบครัว

“ไอ้หมึก ไหนเอ็งไปเอาบัญชีมาซิ แม่หวีเตรียมจด” คุณย่าเดินไปถึงคนแรก

“มะม่วงสิบกิโล แม่หวีจด” คุณย่าหยิบผลมะม่วงในเข่งขึ้นมาดมแล้วพยักหน้าเป็นอันรู้กันว่าผ่าน

“เตยหอม วันนี้ได้แค่นี้เหรอ” นางหันไปคุยกับชาวบ้านต่อ

คุณวีณามองบริเวณรอบๆ ที่นี่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไร ตั้งแต่ที่ย้ายตามสามีไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ และต้องเลี้ยงลูกสองคนตามลำพังเพื่อให้คุณธนาไปทำงานได้สะดวก นางก็ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่อีกเลย ไม่คิดว่าแม่สามีจะยังทำกิจกรรมรับซื้อผลผลิตชาวบ้านไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นส่งขายเหมือนเดิม

“คุณย่าขา รายงานผลผลิตค่ะ” เสียงหวานแว่วมาอย่างตื่นเต้น

สองสามีภรรยาหันไปมองตามเสียง หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นท่าทางทะมัดทะแมงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่เพิงหลังนี้ คุณธนาเห็นแล้วคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกแต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหน

“อ้าว คุณข้าว ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะคะ ยังไม่ห้าโมงเลย” ฉวีทักด้วยความแปลกใจ

“ก็ผลผลิตคุณย่าเสร็จเร็วไงจ้ะ ข้าวก็เลยได้กลับเร็ว” หญิงสาวพูดอย่างอารมณ์ดี

“คุณย่าคะ ข้าวช่วยดีกว่า” หญิงสาวช่วยหญิงชราตรวจดูผลผลิตชาวบ้านแทน ท่าทางคล่องแคล่วทำให้คุณวีณาอดชื่นชมไม่ได้

“ผลผลิตอะไรของย่าเสร็จเร็วจ้ะ หนูข้าว” คุณย่าถามอย่างอารมณ์ดี

“อย่างแรกนะคะ น้ำมะตูมกับขนมกล้วยไปตอนสิบโมงเช้าเลยค่ะ ตามมาด้วยขนมตาลกับวุ้นใบเตยตอนบ่ายโมง และที่เป็นข่าวดีนะคะก็คือมีคนมาสั่งน้ำใบเตยผสมว่านหางจรเข้สูตรคุณย่าอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์ เขาบอกว่าจะเอาไปเลี้ยงผู้ปฎิบัติธรรมค่ะ” หญิงสาวรายงานหน้าบาน

“คุณข้าวเก่งจังเลย อีกหน่อยเราก็มีออร์เดอร์อย่างนี้ทุกวันนะแม่ ไม่นานฉันคงได้มอ’ไซค์สมใจแล้ว” ปลาหมึกทำท่าฝันกลางวัน

“โอ๊ย! แม่ เจ็บนะ ตีฉันทำไม” เด็กชายโวยวายเมื่อฉวีเอามือฟาดให้ที่หัวไหล่ทำให้ต้องตื่นจากความฝัน

“แหม เอ็งเนี่ย! คิดแต่มอ’ไซด์ต่อไปนี้ค่าแรงที่คุณย่าให้ข้าจะเก็บไว้เองไม่ให้เอ็งแล้ว” นางฉวีบ่นลูกชายต่อไปอีกกระบุงโกย

หญิงชราส่ายหน้ากับสองคนแม่ลูกนี้ นางฉวีบ่นไปตามเรื่องตามราวแต่พอเจ้าปลาหมึกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขออะไรก็จัดให้ตามประสงค์ นี่เหลือแค่มอเตอร์ไซค์ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะคนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ใช้กลัวจะเป็นอันตราย ในขณะที่เด็กชายก็อยากจะมีไว้ขับขี่ไปไหนตามวัยของตน

เมื่อคุณย่าแปรรูปของที่รับซื้อในสวนมาเป็นของขายต่อได้ ปลาหมึกจึงมาเป็นลูกมือเพื่อเอาค่าแรงที่คุณย่าให้ เป็นเงินเก็บเพื่อเอาไปซื้อของที่ตนเองต้องการ สองคนแม่ลูกมาพึ่งใบบุญคุณย่าตั้งแต่ที่สามีของฉวีเสียชีวิตเพราะถูกงูกัดตายในนาเมื่อหลายปีก่อน

นางเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวและเลี้ยงลูกชายเด็กชายปลาหมึกมาคนเดียวด้วยความยากลำบาก คุณย่าสงสารจึงให้นางฉวีมาช่วยดูแลบ้านและช่วยทำงานอื่น โดยให้เงินเดือนเป็นค่าตอบแทนเพื่อเลี้ยงดูตนเองกับลูกชาย สองคนแม่ลูกอยู่กับคุณย่ามานานจนตอนนี้ปลาหมึกกำลังจะทำบัตรประชาชนในปีหน้าแล้ว

“ดีแล้วหนูข้าว เดี๋ยวจะให้แม่หวีต้มน้ำใบเตยลองเอาไปที่ร้าน ใบเตยกินแล้วชื่นใจแถมยัง...”

“บำรุงหัวใจกินแล้วชื่นใจด้วยใช่ไหมคะ คุณแม่” คุณวีณาที่ยืนฟังอยู่นานเข้ามาร่วมสนทนาด้วย

“แหม แม่ลูกสะใภ้ฉันนี่ ได้ดั่งใจจริงๆ” คุณย่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ก็คุณแม่ชอบทำให้ทานทุกวันสมัยที่อยู่ที่นี่ พอย้ายตามคุณธนาเข้าไปก็ไม่ค่อยได้ทานแล้ว อีกอย่างไม่มีที่ไหนต้มแล้วหอมชื่นใจเท่าของคุณแม่”

“ปากหวานเอาใจคนแก่อีกแล้วนะ” ทุกคนหัวเราะชอบใจกับคำพูดของคุณย่า

วีณารู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงที่ชื่อข้าวเหลือเกิน ท่าทางเธอเป็นคนอารมณ์ดีและคงใจเย็นน่าดู ที่สำคัญคุณวีณารู้สึกว่าใครที่อยู่รอบข้างหญิงสาวมักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเสมอ

“อ้อ ลืมแนะนำให้รู้จัก” คุณย่าเพิ่งนึกได้

“นี่ลุงธนากับป้าวีณา ลูกชายกับลูกสะใภ้ย่าเอง หนูข้าวจะจำได้ไหมครั้งสุดท้ายที่เห็นก็เกือบสิบปีแล้วนะ”

“นี่หนูข้าว ลูกสาวพ่อชุมกับแม่เนื่อง เกลอเก่าแกไงเจ้าธนา แต่ห้ามถามถึงเจ้าชุมมันนะ มันไปสบายแล้ว” คุณย่าทวนความจำให้บุตรชาย

“อ๋อ มิน่า ผมถึงได้ว่าหน้าคุ้นๆ ที่แท้ลูกไอ้ชุมเอง พ่อเป็นไงบ้างล่ะหนู สบายดีไหม ลุงไม่ได้เจอตั้งเกือบสิบปี” คุณธนาถึงบางอ้อ ลูกของเพื่อนรักสมัยวัยเด็ก มิน่าเล่า! ถึงได้ว่าหน้าเหมือนใคร

“พ่อไม่อยู่แล้วค่ะ ไปสบายแล้ว” น้ำเสียงหญิงสาวแฝงความเศร้าเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงบิดา

“ไอ้ลูกคนนี้บอกว่าไปสบายยังไม่เข้าใจความหมายหรือไง ต้องให้พูดชัดๆ เหรอว่าพ่อชุม...” คุณย่าทำตาเขียวใส่ลูกชาย

“ผมขอโทษครับคุณแม่ ลุงขอโทษนะหนู” คุณธนาเพิ่งเข้าใจสิ่งที่มารดาเอ่ย

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณลุงไม่รู้ พ่อเสียไปหลายปีแล้ว หนูทำใจได้แล้ว” หญิงสาวยิ้มให้อย่างไม่ถือสา

“แล้วพี่เนื่องเป็นไงบ้าง สบายดีไหมจ้ะ” คุณวีณาเอ่ยถึงคนที่เคยรู้จักอีกคน

“แม่ไปอยู่วัดค่ะ พอพ่อเสียแม่ก็เริ่มเข้าวัดจนในที่สุดก็ไม่อยากออกมา ข้าวก็ตามใจอะไรที่แม่มีความสุขก็ให้ทำ”

“บั้นปลายชีวิตเราก็แบบนี้แหล่ะหนู พอหมดห่วงแล้วก็อยากทำอะไรให้ตัวเองสบายใจ หนูทำถูกแล้วล่ะจ้ะ” คุณวีณาเอื้อมมือมาบีบไหล่บางเบาๆ แล้วปลอบใจ

เมื่อรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว ถึงเวลาที่คุณย่าจะต้องไปกรุงเทพฯตามที่รับปากกับลูกชายไว้ หญิงชราอิดออดไม่อยากจะไปเพราะยังไม่ได้คุยกับคนถูกใจ

คุณวีณาเห็นท่าทางแม่สามีแล้วก็พอจะเข้าใจ ปกติหญิงสาวคงจะมาพูดคุยให้คนแก่คลายเหงาเป็นประจำ เมื่อเป็นแบบนี้จึงหาทางออกที่สวยงามให้

“คุณแม่คะ เราชวนหนูข้าวไปเที่ยวบ้านดีไหมคะ แล้วเดี๋ยวให้คนรถขับมาส่งที่นี่ก็ได้ค่ะ”

ลูกสะใภ้มองออกว่าหญิงชรามีเรื่องอยากคุยกับคนนิสัยดีอย่างหนูข้าว แต่ท่าทางร้อนใจของสามีก็ทำให้ต้องหาทางให้ทุกอย่างลงตัวดีที่สุด มีคนคุยถูกใจไปด้วยบางทีคุณแม่อาจจะยอมอยู่บ้านหลายวันก็ได้

“เออ ใช่ หนูข้าวไปค้างบ้านย่าที่กรุงเทพฯดีกว่า ย่ามีธุระต้องไปทำไปสักสองสามคืนเนอะ ให้แม่หวีกับเจ้าหมึกจัดการทางนี้เอง ฉวี” คุณย่าเรียกเสียงดัง

“ขา คุณย่า” แม่ฉวีรีบวิ่งมาหา

“เดี๋ยว...” คุณย่าสั่งงาน ก่อนจะตบท้ายด้วยว่า

“ปลาหมึกอยู่ช่วยแม่เขานะ เดี๋ยวกลับมาย่าจ่ายค่าแรงให้ถ้าทำตัวดีมีทิปอีกต่างหาก” คุณย่ากำชับเด็กชายปลาหมึก

“ครับผม” คนถูกติดสินบนรับคำแข็งขัน

คุณธนาขับรถพาภรรยาและมารดารวมถึงลูกสาวเพื่อนรักที่จากไปด้วย เขาแอบภาวนาในใจคนเดียวหวังว่าคุณย่าถมของหลานๆ จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็วด้วยเถอะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel