บทที่ 2
“ลูกน้องจะลาออกแค่คนเดียวแถมยังเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแต่ทำให้นายเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ถามจริง คิดอะไรกับลูกน้องคนนั้นหรือเปล่า”
“เปล่า” แม้จะคิดแต่รอยส์ก็เลือกที่จะปฏิเสธนั่นเพราะต่อให้สนิทกับธยศทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่พร้อมจะลงลึกถึงรายละเอียดที่ซับซ้อน แต่ท่าทางของรอยส์มีหรือที่อีกคนจะเชื่อ
“เชื่อก็บ้าแล้ว ซีอีโอหนุ่มหล่อสุดเพอเฟคที่มีสาวสวยให้ควงไม่ขาดอย่างนายแต่กลับมานั่งเครียดกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ มองยังไงมันก็ไม่ปกติ”
“ฉันกลับก่อนแล้วกัน” นั่นเพราะไม่มีอารมณ์ร่วมและไม่สนุกอย่างที่คิดรอยส์จึงเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวสิ น้องๆ กำลังมาไม่รอหน่อยเหรอ” น้องๆ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงคือบรรดาสาวๆ นั่นเอง
“ไม่ วันนี้เบื่อไม่อยากทำอะไร”
“โอเคๆ แต่เปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกนะครับ ผมจะพาน้องๆ ไปส่งให้ถึงห้อง”
“อืม” รอยส์เอ่ยรับแต่ไม่คิดจะทำจริง นั่นเพราะคืนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำอะไรจริงๆ พอกลับมาถึงบ้านก็สั่งให้แม่บ้านเตรียมเหล้าและกับแกล้มให้จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งไขว่ข้างบนเก้าอี้หนังตัวโปรด ชงเหล้าด้วยความชำนาญแล้วหยิบแก้วเหล้าใบนั้นขึ้นมาจิบพร้อมกับคิดเรื่องขวัญชีวาไปด้วย
“หวังว่าคุณจะให้คำตอบที่ตรงกับใจผม”
“คุยอะไรกันอยู่ครับ หน้าตาซีเรียสเชียว” เสียงทุ้มของซีอีโอหนุ่มเอ่ยถาม เพราะทันทีที่มาถึงห้องทำงานก็มองเห็นเลขาส่วนตัวยืนคุยอยู่กับผู้จัดการฝ่ายบุคคล
“เอ่อคือว่า…” เลขาส่วนตัวของซีอีโอหนุ่มอึกอักทันที
“ผมไม่มีสิทธิ์รู้เหรอ”
“เปล่าๆ ค่ะ คือดิฉันกำลังคุยถึงเรื่องของน้องเกี๊ยว”
“เรื่องของคุณขวัญชีวา เรื่องอะไร”
“ดูเหมือนลูกชายน้องเกี๊ยวจะป่วยหนักค่ะ ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งให้รีบเข้าไปด่วน น้องเกี๊ยวรีบมากจนเกือบเดินตกบันไดดีที่ดิฉันคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน พอถามไถ่ถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เลขาสาวค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวแล้วเล่าให้เจ้านายหนุ่มได้ฟัง
“ฝากคุณเป็นธุระแทนผมส่งของเยี่ยมไปให้ลูกชายของเธอด้วย”
“ได้ค่ะคุณรอยส์” เลขาส่วนตัวเอ่ยรับปากทันที ได้ยินแบบนั้นรอยส์จึงเดินเข้าห้องทำงานไป ทันทีที่ประตูห้องทำงานของซีอีโอหนุ่มปิดลง เสียงพูดคุยของเลขาและผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง นั่นเพราะต่างเป็นห่วงลูกชายของขวัญชีวากระทั่งได้เวลาทำงานจึงแยกย้าย
ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงเลขาส่วนตัวก็เข้ามาแจ้งว่าได้จัดการส่งกระเช้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมลูกชายของขวัญชีวาเรียบร้อยแล้ว เพราะแบบนั้นรอยส์จึงได้รู้ว่าขณะนี้ลูกชายของขวัญชีวารักษาตัวอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มอาศัยจังหวะออกไปประชุมกับลูกค้าแวะไปหาเธอที่นั่น
เขาถึงได้รู้ว่าอาการของลูกชายเธอแย่มากหนทางเดียวที่จะยื้อชีวิตไว้ได้คือการผ่าตัดที่ควรเกิดขึ้นในทันที หรือว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ขวัญชีวาขอลาออก เธอกำลังต้องใช้เงินและเป็นเงินที่มากทีเดียว แต่เพราะเขาไม่ใช่เทพบุตรที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้กระทั่งกับขวัญชีวาเองก็ตาม
ในขณะที่เวลานั้นขวัญชีวานั่งอับจนหนทางอยู่หน้าห้องปลอดเชื้อที่ลูกชายอยู่ข้างใน คิวผ่าตัดที่เร็วที่สุดเป็นวันพรุ่งนี้ซึ่งเธอได้เซ็นเอกสารอนุญาตให้ทำการผ่าตัดได้ไปแล้วเช่นกัน หลังผ่าตัดเสร็จเธอจะหาเงินจากไหนมาจ่าย ญาติพี่น้องก็ไม่มีให้ไปหยิบยืม เพื่อนสนิทที่มีก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีเงินหรือไม่มี
“เกี๊ยว”
“เบล”
“น้องกวินท์เป็นไงบ้าง” คำถามที่ได้ยินทำให้ ขวัญชีวากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยโฮออกมาเพราะความอัดอั้นและความกลัว กลัวว่าจะเสียลูกชายไป
ปิยะดาเองก็พลอยตกใจที่จู่ๆ ขวัญชีวาร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนอกจากนั่งปลอบใจกันอยู่แบบนั้น กระทั่งขวัญชีวาหยุดร้องไห้เธอก็ยื่นบางอย่างใส่มือเพื่อนสนิท
“อะไรนะเบล”
“เงินเก็บเราเอามาช่วยค่ารักษาน้องกวินท์”
“แต่เรา…”
“รับไปเถอะ มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน” ปิยะดาแทบจะเทหมดกระเป๋าเหมือนกันนั่นเพราะอยากช่วยจริงๆ หลังจากนี้ค่อยเก็บออมกันใหม่
“ขอบใจนะเบล ขอบใจเธอมาก” จากที่หยุดร้องไปแล้วตอนนี้ขวัญชีวาก็กลับมาร้องไห้อีกแถมยังหนักไม่แพ้เมื่อครู่แม้แต่น้อย ปิยะดานั่งปลอบให้ขวัญชีวาหายเศร้าแต่ถึงจะหยุดร้องแล้วอาการสะอื้นก็ยังมีให้เห็น
ปิยะดาอยู่เป็นเพื่อนกระทั่งต้องกลับไปไลฟ์ขายของต่อนั่นทำให้ขวัญชีวาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอเปิดดูเงินในซองที่มีอยู่จำนวนหนึ่งพอนำมารวมกับเงินของตัวเองก็ยังคงเครียดเพราะยังขาดอยู่อีกมาก
ถ้าวันนี้รอยส์เซ็นอนุมัติเรื่องลาออกทันทีเธอก็จะได้เงินกองทุนคืนมาเร็วขึ้น เงินเดือนบวกกับเงินที่เก็บสะสมมาก็พอจะเป็นค่ารักษาได้ส่วนหนึ่ง แต่มองยังไงก็ยังไม่พออยู่ดี ทุกอย่างมันบีบคั้นจนทำให้ขวัญชีวาอยากร้องไห้แต่ร้องไปก็เท่านั้นเพราะเวลานี้น้ำตาไม่อาจช่วยอะไรเธอได้
“ไม่ว่ายังไง เกี๊ยวจะหาเงินมารักษาน้องกวินท์ให้ได้” ขวัญชีวายังคงนั่งบีบมือพร้อมก้มหน้าอย่างอับจนหนทางอยู่ที่เดิม จู่ๆ ก็มีเท้าคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เพราะคิดว่าเป็นหมอน่านหมอประจำตัวของลูกชายเธอจึงเงยหน้าขึ้นมองแต่แล้วคนที่เธอสบตาด้วยกลับไม่ใช่คนที่คิด
