ตอนที่9อดีตคู่หมั้น
ภายในตลาดกลางหมู่บ้านผิงเหยียน
ซานซานนำสัตว์ป่ามาขายกับเถ้าแก่ขายเนื้อรายหนึ่ง ได้เงินมาเล็กน้อยแค่พอซื้อกระดาษไม่กี่แผ่น กับหมึกและพู่กันเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างยิ่ง
หญิงสาวจึงเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดตลอดทาง ในใจยังคิดว่าควรหาวิธีชั่วๆ ทำเงินดีกว่า น่าจะได้มากกว่านี้
ระหว่างทางกลับบ้านไม้ไผ่ริมธารซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนอื่นๆ สองข้างถนนยามนี้คือชายป่า มีดอกไม้ประดับประดากับต้นไม้ต้นหญ้าทั้งสองฝั่ง เบื้องหลังของซานซานพลันมีเสียงเรียกขาน
“พี่ใหญ่”
เสียงนั้นฟังดูสดใสร่าเริง นางคือชิงลี่
ซานซานในร่างชิงหลินเพียงหันมองอย่างเฉยชา
นางเห็นน้องสาวผู้น่ารักของชิงหลินกำลังเดินเคียงข้างมากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ผิวพรรณดั่งหยก สวมชุดสีขาวสะอาดราวกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิ องคาพยพทั้งห้ารวมกันอย่างลงตัว ดวงตาดอกท้อสะกดใจสตรี
เขาคืออดีตคู่หมั้นของชิงหลิน และปัจจุบันก็คือคู่หมั้นของน้องสาว
จางฉวน...
ทั้งสองแสดงออกชัดเจนเปิดเผยโดยไม่ปิดบังอีกต่อไปแล้วว่าสถานะของทั้งคู่คืออะไร
ในเมื่อพี่สาวเป็นฝ่ายออกเรือนไปก่อนกับชายอื่นเช่นนั้น อดีตคู่หมั้นกับน้องสาวจะเกี่ยวดองกันย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว
ซานซานมองคู่ยวนยางตรงหน้านิ่งๆ แววตาไร้อารมณ์
หากคิดไม่ผิด น้องสาวแพศยาผู้นี้ ไม่จำเป็นต้องทักทายนางที่เดินหันหลังให้ก็ย่อมได้ แต่กลับเรียกเพื่อรั้งเอาไว้ก็เพราะต้องการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
คงอยากเห็นชิงหลินเจ็บปวด...
ซานซานยิ่งหรี่ตามอง สีหน้าเย็นเยียบ สายตาเยือกเย็น กิริยาสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วย
ชิงลี่สังเกตเห็นท่าทางของพี่สาวที่มองดูแล้วให้รู้สึกถึงความยโสโอหังผิดไปจากเดิม มุมปากบางพลันกระตุก รอยยิ้มแข็งค้างทันควัน ทว่าชั่ววูบเดียวเท่านั้น นางก็กลับมายิ้มได้น่ารักไร้เดียงสาเช่นเดิม กิริยายังคงน่าเอ็นดู เพราะข้างกายมีจางฉวนมาด้วยหนึ่งคน จึงมิอาจหลุดจริตได้
“พี่หลินไปตลาดซื้อกระดาษมาหรือ?”
ชิงลี่เอ่ยถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงแว่วหวานเปี่ยมมิตรไมตรีฉันพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว นางยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเล็กน้อยเอ่ยอีกว่า
“ไม่น่าเชื่อ ปกติพี่หลินมิใคร่ชอบคัดอักษรนี่”
นางมองกระดาษในอ้อมแขนของชิงหลินด้วยสายตาเหยียดหยาม สื่อความนัยว่าชิงหลินโง่เง่าจะเอากระดาษไปทำไม เพราะที่ผ่านมาพี่สาวของนางร่ำเรียนเขียนอ่านไม่ได้เรื่องสักอย่าง ประโยคทักทายนี้จึงเป็นการตอกย้ำอีกฝ่ายว่าไร้ฝีมือในการเขียนแต่กลับซื้อกระดาษมากมาย ช่างน่าขัน...
แต่แล้วชิงลี่ถึงกับชะงักงันเมื่อได้ยินพี่สาวตอบกลับว่า
“ในเมื่อใจคนยังเปลี่ยนได้ เหตุใดข้าที่ไม่ชอบเรียนจะเปลี่ยนมาชอบเขียนหนังสือมิได้เล่า?”
ความหมายชัดเจนว่าชายหญิงตรงหน้าเองก็เปลี่ยนไป
จบคำก็ปรายตามองชิงลี่แล้วตวัดสายตามองจางฉวน ความหมายล้วนชัดเจนถึงแววเดียดฉันท์ ถามอีกว่า
“ข้าแค่เปลี่ยนมาชอบเขียนแล้วพวกเจ้าเล่าเปลี่ยนอันใด”
หนังหน้าชิงลี่พลันกระตุก
ส่วนจางฉวนกำลังมองประเมินชิงหลินอย่างเงียบเชียบ
ท่ามกลางทางเดินที่เป็นชายป่า รอบด้านเป็นธรรมชาติอันร่มรื่น จางฉวนมองใบหน้าและท่าทางของชิงหลินอย่างพินิจพิจารณา หลายวันที่มิได้เจอหน้า ชายหนุ่มพบว่าอดีตคู่หมั้นคล้ายเปลี่ยนไป
มิรู้ได้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่? ว่านางในวันนี้ดูไม่เหมือนเช่นวันวาน เหตุใดจึงดูสวยสง่ายิ่งกว่าเดิม
สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง พาอาภรณ์สีฟ้าสะบัดพลิ้วแนบกายระหงที่เคยอ่อนแอแม้แต่ท่ายืนยังไม่มั่นใจ ทว่าชิงหลินในวันนี้กลับยืนอย่างมั่นคง ลำตัวที่ตั้งตรงแลดูสง่างาม ท่าทางยังสุขุมนุ่มลึกสงบนิ่งเยือกเย็น แตกต่างจากวันวานอย่างสิ้นเชิง สายตาที่มองมาทั้งเฉยชาและห่างเหิน ไม่หลบหลีกไม่วอกแวก ไม่แม้แต่จะก้มหน้าอย่างเอียงอายหรือขลาดเขลาอย่างที่เคย
และที่สำคัญในแววตานางไม่มีเยื่อใยใดๆ ต่อเขาเลย ความหลงใหลอย่างโง่งมยิ่งไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย
จางฉวนพบว่า หัวใจของเขาคล้ายกับเต้นผิดจังหวะ
เมื่ออดีตคู่หมั้นไม่เหมือนเดิมอย่างที่ควรเป็น
นางเปลี่ยนไป...
แววตาลึกล้ำ สีหน้าเย่อหยิ่ง ท่วงท่างดงามผ่าเผยเช่นนั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้
เดิมทีจะต้องมีอาการตกประหม่า เผยสีหน้าหวาดกลัว ไม่มั่นใจในตนเองตลอดเวลา ทว่ายามนี้ กิริยาล้วนเด็ดเดี่ยว มีท่าทีมุ่งมั่น เข้มแข็งทรงพลัง มั่นคงเฉียบขาด
เรียวตาคมวูบไหว บุรุษหนุ่มรู้สึกเสมือนได้เจอรักแรกพบกับอดีตคู่หมั้นอย่างไรอย่างนั้น
เขานึกแปลกใจไม่เบาที่เห็นชิงหลินแปลกตาไปจากเดิม
เส้นเสียงของนางยังคงอ่อนหวานเช่นเดิม ทว่ากลับกังวานใสอย่างประหลาด แววตาของนางที่เคยมองเขาอย่างหยาดเยิ้มหลงใหลล้วนเปลี่ยนไป ไม่มีแม้ริ้วรอยแห่งความรักใคร่อยู่ในนั้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความเฉลียวฉลาดอันน่าประทับใจ นางคล้ายมีเสน่ห์ดึงดูดผิดไปจากเดิมมากโข
ชายหนุ่มให้รู้สึกว่าสิ่งของจืดชืดไร้ราคาที่เคยเป็นของตนเองกำลังมีสีสันจนแสบตาและหลุดมือเขาไปอย่างน่าเสียดาย
ชั่วจังหวะที่จางฉวนกำลังตกอยู่ในภวังค์อันเนิ่นนาน เสียงของชิงลี่ก็ดังแทรก
“ข้าเข้าใจแล้ว พี่หลินกำลังปรับปรุงตัวเองอยู่ใช่หรือไม่ เพราะได้แต่งงานกับสามียาจกอัปลักษณ์ พี่จึงต้องพัฒนาตนเองเพื่อสามี ผู้อื่นจะได้ไม่ดูถูกไปมากกว่านี้ ช่างดียิ่ง พี่หลิน ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวพี่มากเลย พี่คงรักกงหนิวมากสินะ”
กล่าวจบยังยกยิ้มน่ารัก ตอกย้ำเด่นชัดว่าชิงหลินตกต่ำ มีสามีต่ำตม ต้องเร่งพัฒนาตนเองให้ผุดขึ้นจากดินโคลน
ซานซานตอบรับเสียงเย็น “เรื่องของข้ากับสามีไม่ต้องให้ใครมาบอก ข้าย่อมรักและถนอมเขายิ่งกว่าผู้ใดอยู่แล้ว”
เรียวคิ้วคมจึงขมวดวูบ จางฉวนพลันรู้สึกไม่ชอบใจ
แต่ชิงลี่ได้ฟังยิ่งแช่มชื่น นางหันไปส่งยิ้มให้จางฉวนอย่างไร้เดียงสา เพื่อเป็นการดึงสติชายข้างกายกลับมา ก่อนหันไปมองชิงหลินอีกครั้ง ส่งเสียงสดใสอย่างต่อเนื่องอีกว่า
“พี่หลินทำเช่นนี้นับว่าดีแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าเองก็เป็นห่วงพี่อยู่มาก ก่อนหน้านี้พี่ทำผิดกับพี่ฉวนเอาไว้ ต่อไปพี่ต้องทำดีกับกงหนิวให้มาก จะได้เป็นการชดเชย”
กล่าวจบก็ส่งยิ้มสว่างไสว ดวงหน้าเรียวเล็กมีแต่ความจริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แต่ความหมายล้วนชัดเจน ว่าชิงหลินทำผิดกับจางฉวนแต่กลับทำเพื่อกงหนิว ช่างไร้ยางอาย
เป้าหมายของชิงลี่คือให้จางฉวนตระหนักในข้อนี้
สตรีตรงหน้ามีสามีแล้ว ชิงหลินถูกกงหนิวกลืนกินไปแล้ว
ยามนี้จางฉวนพลันมีแววตาดำคล้ำ สีหน้าบึ้งตึงทันใด นึกเสียดายอดีตคู่หมั้นขึ้นมาทันที
ชิงลี่หาได้ล่วงรู้หัวใจบุรุษไม่ ยังเอ่ยต่ออย่างย่ามใจว่า
“พี่หลินต้องรักกงหนิวให้มากๆ นะเจ้าคะ อย่าได้ทำผิดต่อสามีเชียว”
ประโยคนี้ยิ่งทำให้หางคิ้วของจางฉวนกระตุกไม่หยุด
ซานซานหาใช่สตรีผู้ชมชอบภาษาดอกไม้ นางคร้านจะฟังคำไร้สาระตรงหน้าจึงตอกกลับตรงๆ ว่า “เจ้าจะยุ่งกับข้าไปไย ในเมื่อข้าก็แต่งกับกงหนิวตามแผนการของพวกเจ้าแล้ว”
สิ้นประโยคนั้น ทุกสิ่งคล้ายหยุดชะงักไร้สรรพสำเนียง
ชิงลี่กับจางฉวนพลันนิ่งเงียบไป
ชิงลี่เป็นฝ่ายดึงสติกลับมาได้ก่อน จึงไม่คิดเชื่อหูตัวเอง นางไม่เชื่อหรอกว่าพี่สาวผู้โง่เขลาจะรู้อันใดมากไปกว่าที่ตนหลอกลวงเอาไว้ ท่าทางที่เปลี่ยนไปเช่นนี้คงถูกสามีอัปลักษณ์ทรมานจนสติหลุดกระมัง นางจึงยิ้มหยอกเย้าซ่อนนัยเยาะเย้ยว่า
“พี่สาวคงล้อเล่นแล้ว พี่อย่าได้พูดจาโป้ปดโทษฟ้าดิน สร้างเรื่องให้น้องเสียหายเช่นนี้เลย ชีวิตที่ลำบากยากเข็ญเป็นพี่สาวที่เลือกเอง จักโทษใครไม่ได้ ขอเพียงทำตัวให้ดี บางทีมลทินที่มีอาจลบล้างได้ ข้าย่อมช่วยลบคำสบประมาทนั้น ขอแค่พี่อย่าพูดจาเลอะเทอะเชียว”
นับได้ว่าเป็นการกำราบพี่สาวได้อย่างเหลือร้ายอยู่หมัด ชิงลี่บอกว่าสิ่งที่ชิงหลินพูดก่อนหน้าไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน
ซานซานหรี่ตามองหน้าชิงลี่นิ่งๆ ก่อนเลื่อนสายตาลงต่ำ มองตรงลำคอที่พ้นสาบเสื้อของอีกฝ่าย ซึ่งมีรอยแดงรำไร
เห็นได้ชัดว่าชายหญิงตรงหน้าคงเพิ่งเสร็จกิจมา
หลักฐานเต็มสองตายังกล้าตลบตะแลงสะบัดลิ้นไปเรื่อย
หญิงสาวนึกรำคาญการต่อคำอันไร้สาระกับสตรี เห็นทีคุยกับบุรุษน่าจะดีกว่า จึงเบนสายตาไปสนใจอดีตคู่หมั้นแทน
“พี่ฉวนไยไม่รีบแต่งงานกับน้องสาวข้าเสีย ท่านเพียรอุตส่าห์ลอบคบหากันเนิ่นนาน บัดนี้มิใช่สมควรพลอดรักได้เปิดเผยหรอกหรือ” นางเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อทีละคำอย่างไม่ไว้หน้า
“อ้อ...ข้าต้องขออภัยที่กล่าวผิดไป เห็นอยู่เต็มสองตาว่าพวกท่านกำลังเดินพลอดรักกันไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งยังสง่าผ่าเผยยิ่ง อา...แล้วเหตุใดไม่แต่งน้องสาวข้าเสียทีเล่า แล้วเยี่ยงนี้คำครหาทั้งหลาย จักลบล้างได้เยี่ยงไร ในเมื่อพี่สาวก็ทำชื่อเสียงของสกุลด่างพร้อยไปแล้วคนหนึ่ง น้องสาวข้าไฉนยังปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้บุรุษเชยชมผิดประเพณี”
ซานซานกล่าวยาวเหยียดทำเอาจางฉวนได้ฟังพลันชะงัก ส่วนชิงลี่เบิกตาโพลง
เดิมทีซานซานก็มิได้คิดจะเสวนากับอสรพิษทั้งสองนานเยี่ยงนี้ แต่น้องสาวแสนดีเริ่มก่อนจึงช่วยไม่ได้
แม้ว่าใบหน้ายังคงราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ แต่ซานซานกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าอย่างกดดันต่อเนื่องว่า
“อันที่จริง ตัวข้าเองก็รู้ถึงความจำเป็นของพวกเจ้าดี เพราะหมู่บ้านของเรา น้องสาวไม่อาจแต่งก่อนพี่สาวได้ ถึงแม้พวกเจ้าจักรักกันลึกซึ้งถึงขั้นได้เสียแต่ยังต้องรอพี่คนนี้แต่งก่อน ทว่าท้ายที่สุดเมื่อแผนการผลักไสข้าได้เสร็จสิ้นอย่างสวยงามเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่รีบตบแต่งเสียเล่า”
นางหรี่ตาส่งเสียงเหยียด “หรือบุรุษชอบกินเล่นไปเรื่อยๆ ส่วนสตรียิ่งชอบเผื่อแผ่ไปอย่างนี้ อืม...เน่าเมื่อใดค่อยว่ากัน”
ชายหญิงตรงหน้ายิ่งอึ้งตะลึงค้าง
ซานซานยังไม่หยุด นางว่าต่อ “ในเมื่อข้าเปิดทางให้แล้ว พวกเจ้าย่อมพร้อมแต่งได้ทุกเมื่ออย่างไม่ต้องรู้สึกผิดอันใด แต่อย่าลืมเสียเล่า ต่อให้ผู้คนทั้งหลายมีดวงตามืดบอด ทว่าฟ้ารู้ดินรู้ ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นไร พวกเจ้าย่อมรู้ดีกว่าใคร ละอายใจบ้างก็ดี ยามตายเป็นผีจะได้ไม่ถูกนรกสูบ”
จบคำก็แสยะยิ้มมุมปาก แววตาคมกริบ
ได้เป็นสตรีบ้านป่าเมืองเถื่อนช่างดีกว่าสตรีชั้นสูงจริงๆ
ไม่ต้องรักษาจริต ระวังวาจา สะใจยิ่ง!
ชิงลี่ได้ฟังยิ่งหน้าเขียวคล้ำ โทสะลุกโชนในแววตา ไม่คิดว่าพี่สาวผู้ขลาดเขลาไร้ปากเสียงมาตลอด กลับมีวาจาร้ายกาจเยี่ยงนี้ นางจึงหันไปทางจางฉวน เห็นเขาเพียงยืนเงียบงัน ไม่เอ่ยวาจาสักคำ สองตายังมองชิงหลินอย่างตื่นตะลึง คล้ายกับได้เจอสิ่งอันน่าประทับใจ
แววตาของชิงลี่ยิ่งฉายแววชิงชังต่อชิงหลิน
ส่วนจางฉวนนั้น ยามนี้กำลังอึ้งงัน เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าถ้อยคำที่ได้ฟัง จักเกิดจากสตรีตรงหน้า ซึ่งเป็นอดีตคู่หมั้นผู้โง่งมของเขา นางเผ็ดร้อนเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
อา...ช่างถูกใจ
คนเราเมื่ออ่อนแอจนถึงระดับหนึ่ง พอเจอกับเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างที่สุด ก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และหลุดพ้นจากความขลาดเขลาได้ภายในคืนเดียว
เมื่อทำความเข้าใจได้ จางฉวนจึงผ่านพ้นภาวะตกตะลึง มุมปากผุดรอยยิ้มบางเบา นำพาความหล่อเหลาเพิ่มหลายส่วน เขาคลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้สตรีตรงหน้าอย่างจงใจ ด้วยรู้ดีกว่าใคร ว่ามันได้ผลเสมอ
ชิงหลินมักมองเหม่อเขาไม่วางตา…
ทว่าทุกสิ่งพลันเปลี่ยนไป เมื่อสตรีตรงหน้าแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ก่อนยกยิ้มเยียบเย็น แล้วเอ่ยเนิบช้าอย่างเย็นชา “เก็บรอยยิ้มหลอกลวงของท่านเอาไว้ใช้กับสตรีโง่งมคนอื่นเถิด ข้าเห็นแล้วอยากอาเจียนยิ่ง”
จบคำก็จากไป ปล่อยให้คู่ชายหญิงทำหน้าราวกับเห็นผี
