บทที่ 2
ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ วันนี้สุขสบายดี วันพรุ่งนี้ใครเลยจะล่วงรู้อนาคต ยากดีมีจนยังไงก็หนีเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่ได้ ดูอย่างคุณหญิงแขไขที่รวยล้นฟ้าสิ แต่เวลานี้กลับนอนติดเตียงขยับไปไหนไม่ได้ เห็นแล้วก็ได้แต่เวทนา
“ฉันรู้ว่าหนูทำได้ มีอะไรขาดเหลือก็บอกฉันจะให้คนเตรียมให้ อ้อ…เพื่อจะได้ดูแลคุณหญิงได้สะดวก ฉันให้คนจัดเตรียมห้องพักไว้ให้หนูแล้วอยู่ติดกับห้องนี้นี่ล่ะ” ฉัตรชัยมั่นใจแบบนั้น เพราะเห็นจากสิ่งที่พุดตานทำมาตลอดหลายปีที่ดูแลแม่กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
“ค่ะ” พุดตานเอ่ยรับ ขณะที่ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ที่ปลายเตียง คุณหญิงแขไขที่นอนมองอยู่ก็เริ่มแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด อารมณ์โมโหร้ายตอนไม่ป่วยว่าหนักแล้วตอนนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก
ฉัตรชัยเห็นแบบนั้นจึงปรี่เข้าไปดูภรรยาโดยมีพุดตานตามเข้าไปดูอาการด้วยเช่นกัน ทันทีที่เธอสัมผัสร่างกายของคุณหญิงแขไขจึงรู้ว่าเวลานี้เกร็งไปทั้งตัว พร้อมกับจ้องมองเธอราวกับต้องการกินเลือดกินเนื้อ แววตาแบบนี้ช่างเหมือนกับตอนที่น่านฟ้าโกรธนัก ก็จะไม่ให้เหมือนกันได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นแม่ลูกกันนี่…จริงไหม
“คุณหญิงใจเย็นๆ ก่อน หายใจเข้าลึกๆ” ฉัตรชัยพยายามทำให้ภรรยาสงบลง แต่ยิ่งปลอบก็เหมือนยิ่งยุ เพราะเวลานี้คุณหญิงแขไขชักเกร็งจนตาเหลือก
“ออกอายยย”
“คุณหญิงคะ ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ถ้ายังเกร็งอยู่แบบนี้จะยิ่งทำให้อาการทรุดลง” พุดตานเอ่ยขึ้น แต่ผลที่ได้ก็ยังคงตรงกันข้าม
“ออกอายยย” เสียงที่พยายามเปล่งเพื่อให้พุดตานออกไปดังมาจากลำคอของคุณหญิงแขไขอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งฉัตรชัยและพุดตานก็หาได้สนใจทำตามคำสั่งนั้น ทั้งคู่ยังคงช่วยกันทำให้อารมณ์ของคุณหญิงแขไขสงบลง
กระทั่งน่านฟ้าที่ยืนอยู่ข้างนอกอดรนทนไม่ไหวต้องเปิดประตูเข้ามาดูแม่ ชายหนุ่มแอบเดินตามพ่อและพุดตานขึ้นมาตั้งแต่ต้นและยืนฟังอยู่ เมื่อเข้ามาในห้องได้ชายหนุ่มก็เข้าไปกุมมือแม่ไว้ทันที
“แม่…ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ใจเย็นๆ” และทันทีที่เห็นน่านฟ้า อาการโกรธจนเกร็งไปทั้งตัวของคุณหญิงแขไขก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
คุณหญิงแขไขพูดไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ในเวลานี้คือสื่อความต้องการผ่านแววตา ซึ่งมันแข็งกร้าวยามมองไปที่พุดตาน ซึ่งน่านฟ้าก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าแม่กับพุดตานไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแน่นอน หรือเพราะไม่อยากให้มาดูแลอาการป่วยกันแน่
“แม่ใจเย็นๆ แล้วนอนพักก่อนนะครับ ผมรู้ว่าแม่คิดอะไร ผมจะจัดการให้” มือหนาของน่านฟ้าบีบมือเล็กๆ ของแม่เบาๆ อย่างเป็นจังหวะเพื่อให้ผ่อนคลาย กระทั่งคนเป็นแม่ค่อยๆ หลับตาลง จังหวะหายใจก็สม่ำเสมอมากขึ้น แม้น่านฟ้ารู้ว่าผู้เป็นแม่คิดอะไร แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน
ฉัตรชัยเห็นว่าภรรยาสงบลงมากแล้วจึงกลับออกไปจากห้องโดยไม่ลืมให้พุดตานตามออกมาด้วย นั่นเพราะเวลานี้คนเดียวที่ภรรยาเขาต้องการคงมีแค่ลูกชายคนกลางอย่างน่านฟ้าเท่านั้น แต่จะให้น่านฟ้าหรือพรชนกอยู่เฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คงไม่ได้เช่นกัน
“เห็นแล้วเป็นยังไง ยังไหวอยู่ไหม”
“ไหวค่ะ” ต่อให้ไม่ไหวยังไงพุดตานก็ต้องสู้สักตั้ง ไม่แน่พลังความเกลียดชังที่คุณหญิงแขไขมีต่อเธอมันอาจดีในการทำให้คุณหญิงฟื้นตัวก็ได้ใครจะไปรู้ หวังว่าจะดีขึ้นไม่แย่ลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ก็พอ...สาธุ!
“ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนี้ นั่นห้องหนูไปพักก่อนเถอะ เพราะเดี๋ยวน่านฟ้าออกมาเขาคงให้คนไปตามหนูเอง”
“ค่ะ” พุดตานเอ่ยรับ ฉัตรชัยเดินไปพักที่ห้องเช่นกัน ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ครั้งแรกก็ถึงกับถอนหายใจออกมาหนักๆ ยามได้อยู่คนเดียว
เธอเดินตรงมายังห้องของตัวเอง พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับกระเป๋าส่วนตัวที่วางอยู่ตรงโซฟาขนาดใหญ่ ข้าวของอุปกรณ์เครื่องใช้ล้วนแต่ดีๆ ทั้งนั้น ห้องนี้ทั้งห้องดูจะใหญ่กว่าบ้านที่เธอเคยอยู่ทั้งหลังก็ว่าได้
นั่นเพราะฐานะทางครอบครัวเธอกับเขามันต่างกันมาก คงเพราะแบบนี้ถึงได้ถูกกีดกันสารพัด สุดท้ายเธอก็ยอมยกธงขาว เป็นฝ่ายปล่อยมือแล้วเดินหันหลังให้ความรักที่มันไม่มีวันเป็นจริง เธอคงไม่ใช่ซินเดอเรลล่าที่จะได้แต่งงานกับเจ้าชายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาทแสนสวยหรอก
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เปิดเข้ามาเลยจ้ะ ฉันไม่ได้ล็อกห้อง” เพราะคิดว่าเป็นแม่บ้านที่น่านฟ้าให้มาตามไปดูแลคุณหญิงแขไข ทำให้พุดตานเอ่ยบอกไปโดยไม่ได้เอะใจ
“แต่ผมว่าต่อไปนี้คุณควรจะล็อก เอ้! หรือว่าไม่ควรดี”
“คุณน่าน!” พุดตานหันไปมองยังต้นเสียง นั่นทำให้เธอถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นใคร คนในห้องขยับออกให้ห่างจากชายหนุ่มอย่างอัตโนมัติ ในขณะที่เขานั้นหลังจากปิดประตูได้ก็ก้าวเข้ามาหาเธอทันที
“คุณน่านเหรอ” ประโยคที่ได้ยินทำให้น่านฟ้าเอ่ยทวนออกมาอีกครั้ง มันช่างฟังดูห่างเหินราวกับพุดตานไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเรียกเขาว่า ‘พี่น่าน’ ด้วยซ้ำ
“ค่ะ…คุณน่าน” คนตัวเล็กกว่ามากเอ่ยเรียกน่านฟ้าอย่างที่ควรเรียก นั่นเพราะเวลานี้เธอกับเขามันเหมือนคนอื่นกันไปแล้ว
“ก็ยังดีที่ยังจำกันได้” น่านฟ้ายิ้มมุมปาก แต่มันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่แสดงออกว่าเขาดีใจ เพราะรอยยิ้มนี้มันแฝงไว้ซึ่งความไม่พอใจอยู่ในตัว
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ ก็ในเมื่อคุณฉัตรชัยเพิ่งแนะนำเราทั้งคู่ให้ได้รู้จักกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน” พุดตานเองก็ทำเหมือนนี่คือครั้งแรกที่ได้รู้จักเขาเช่นกัน
“เราเพิ่งรู้จักกันอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ…เราเพิ่งรู้จักกัน” คำพูดและท่าทางเมินเฉยของพุดตานทำให้น่านฟ้ายิ่งต้องการคำตอบว่าเธอมาทำอะไรที่นี่กันแน่
“เธอต้องการอะไร ถึงได้มาอยู่ที่นี่”
“เงินค่ะ” พุดตานเชิดหน้าขึ้นตอบ
“พ่อฉันให้เธอเท่าไหร่”
“ทำไมคะ”
“ฉันถามว่าพ่อฉันให้ค่าเหนื่อยเธอเท่าไหร่ เธอถึงยอมมาที่นี่ ยอมมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับผู้ชายที่เธอทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดีเมื่อหลายปีก่อน…อย่างฉัน” น่านฟ้าเค้นเสียงเอ่ยออกมา เป็นประโยคคำถามที่ค้างคาในใจเขามาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าถูกทิ้ง เขาก็พยายามควานหาตัวพุดตานจนทั่ว ไปหาในที่ที่เธอน่าจะไป ไปเฝ้าตามบ้านเพื่อนสนิท แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
กระทั่งวันนี้จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้น มิหนำซ้ำยังมาพร้อมกับพ่อเขาอีกต่างหาก นั่นทำให้น่านฟ้าสับสนและต้องการคำตอบไขความกระจ่างให้ตัวเขาเอง
“สิบล้านค่ะ” พุดตานโกหก เพราะค่าตอบแทนที่เธอได้รับนั้นไม่ได้มากอย่างที่พูดเลยสักนิด แต่แค่พูดประชดใส่คนตัวโตที่เอาแต่จ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนี่ต่างหาก
“สิบล้าน! นั่นมันเงินเดือนพยาบาลพิเศษหรือเมียน้อยพ่อฉันกันแน่” คำพูดดูถูกดูแคลนของน่านฟ้าทำให้พุดตานเหลืออด สุดท้ายเขาก็หูหนวกตาบอด ไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอเลยหรือยังไง ทั้งๆ ที่เคยคบหากันมาเป็นปีๆ ก่อนที่จะมีเหตุให้เธอหนีจากเขาไป
จริงสิ…น่านฟ้าคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เขาคงไม่ใช่น่านฟ้าคนอ่อนโยนคนนั้นที่เธอรู้จักแน่นอน
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด”
“พุดตาน!”
“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ ฉันจะไปดูแลคุณหญิง” พุดตานหยิบยกเรื่องการดูแลคุณหญิงแขไขมาเป็นข้ออ้าง พร้อมทั้งพยายามยื้อเพื่อดึงข้อมือของตัวเองที่ถูกน่านฟ้าจับไว้ให้หลุด แต่ยิ่งยื้อชายหนุ่มก็ยิ่งออกแรงจับแน่นขึ้น
“แม่ฉันหลับ เธอเข้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
