ตอนที่ 5 ลืม
ศาลากลางน้ำหน้าชั้นเรียนห่างจากห้องตำรา
ลู่เฟยลี่ถาม “อาหลิน ท่านออกมาเช่นนี้จะดีหรือ”
หลังจากรู้เรื่องที่หยางหลินต้องรับหน้าที่ ‘พิเศษ’ นางจึงให้รู้สึกกังวลอยู่บ้าง
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์ หาใช่คุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไปที่หลีกเลี่ยงง่ายกว่า ทั้งยังไม่อาจสั่งได้
หยางหลินไหวไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ข้าดูแลนางหลายชั่วยามแล้ว ตอนนี้ช่วงกลางวัน ย่อมต้องพักกินข้าว ศิษย์ทุกคนของที่นี่ได้พักช่วงนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเรียนตำราอยู่หรือฝึกฝนทักษะอันใดก็ยังต้องวางมือ ต่อให้เป็นองค์หญิงก็ยังต้องเสวยอาหารตามเวลาเช่นกัน นางคงไม่อาจไม่ให้ข้ากินข้าวมื้อกลางวันกระมัง เช่นนี้ ท่านอาจารย์มิอาจตำหนิข้าได้หรอก”
ว่าพลางก้มมองกล่องไม้ใส่อาหารตรงหน้า “วันนี้เจ้ามีอะไรมาฝากข้าบ้าง”
“สามอย่าง” ลู่เฟยลี่เปิดกล่องไม้ชั้นแรก “เมื่อเช้าที่ร้านมีอาหารแบบใหม่รสชาติดีเยี่ยม ข้าเพิ่งคิดค้นได้ แม่ครัวก็เก่งมากทีเดียว พอข้าบอกสิ่งที่ต้องการ นางก็ทำออกมาได้ใกล้เคียง พอข้าติชมเสนอส่วนที่ขาดไปเล็กน้อย นางก็จดจำแล้วปรับปรุงได้อย่างรวดเร็ว ข้าเอามาด้วย ท่านลองชิมดู”
หยางหลินหยิบตะเกียบคีบอาหารนั้นขึ้นมาชิมอย่างว่าง่าย “อืม รสชาติดีมาก อร่อย”
หญิงสาวมีกิจการร้านค้าหลายร้าน หนึ่งในนั้นคือเหลาอาหารซึ่งอยู่ใกล้สำนักศึกษาหลวง มื้อกลางวันจึงมีอาจารย์จากสำนักศึกษาสั่งอาหารให้มาส่งบ่อยครั้ง นางจึงเป็นคนมาส่งด้วยตัวเองพร้อมคนงานและถือโอกาสนำอาหารกลางวันมาส่งให้หยางหลินถึงที่
ชายหนุ่มคีบอาหารกินอย่างต่อเนื่องปากก็ถาม “เมื่อใดเจ้าจะใจอ่อนยอมมาเรียนที่นี่กับข้าเสียที”
ลู่เฟยลี่เท้าคางมองชายคนรักกินอย่างมีความสุข ขณะเอ่ยเรียบเรื่อย “ข้ามิใช่สตรีชั้นสูง มิใช่ลูกหลานตระกูลขุนนางใหญ่ ไร้ผู้อาวุโสมีอำนาจในราชสำนักลงตราประทับบนหนังสือเข้าเรียนให้นี่นา ท่านอย่าลืมว่าข้าไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลตัวเองอีกแล้ว”
หยางหลินวางตะเกียบลง สีหน้าจริงจังขึ้นมา “เจ้าอยากเรียนหรือไม่? ข้าขอท่านปู่ช่วยได้นะ”
“ไม่ดีกว่า ข้าเกรงใจ ไม่อยากรบกวนผู้อาวุโส อีกอย่าง ข้าเติบโตมากับม้วนหนังสือกองตำราสูงท่วมหัว ที่วัดนั่นชอบลงทัณฑ์ข้าให้ปัดกวาดเช็ดถูหอตำราสิบชั้น เปิดเช็ดทีละหน้าไม่ให้หลับให้นอน ทุกวันข้าอ่านพวกมันจนตาแทบบอด กระทั่งท่องจำได้ทั้งหมด ตำราที่ท่านเรียนคงไม่ต่างจากตำราที่ทับถมข้าเหล่านั้นมากหรอกกระมัง ตำราวิชัยยุทธ ตำราบทกวีวีถีปราชญ์ที่ท่านพูดให้ข้าฟัง ข้ายังเคยใช้เป็นต้นแบบคัดอักษรทุกหน้าแล้ว”
หยางหลินพยักหน้ายอมจำนน หลายหนเขายังเอาการบ้านไปให้ลู่เฟยลี่ช่วยทำ นางเขียนได้ถูกต้องทั้งหมด ลายมือของนางงดงามทรงพลังยิ่ง
ลู่เฟยลี่ว่าอีก “ที่สำคัญ หากข้ามาเรียนทั้งวันทุกวันแล้วกิจการของข้าเล่าใครจะดูแล เปิดหลายร้านเสียด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้าเนือยๆ อีกรอบ “จริงของเจ้า”
หญิงสาวจึงถาม “ไฉนอยากให้ข้ามาเรียนอีกแล้ว ท่านถูกคำพูดใครสะกิดใจอีกเล่า”
หยางหลินเงียบไป ไม่ได้พูดอันใด แต่ลู่เฟยลี่ก็พอคาดเดาได้
“น้องหญิงของข้ากระมัง ลู่เหม่ยน่ะวันๆ คงเอาแต่ว่าร้ายข้าเรื่องที่ไม่มีสิทธิ์เข้าเรียนเหมือนคุณหนูคนอื่น คงพูดเลื่อนเปื้อนไปทั่ว ดึงท่านให้จมลงโคลนตมไปด้วย”
“ข้าไม่เป็นไร คำพูดนางไม่ได้มีผลกับข้า เพียงแต่นางพูดเสียจนสหายของข้าพากันอยากออกหน้าช่วยเจ้าให้เข้าเรียนหลายคน โดยเฉพาะเหว่ยจง เร่งเร้าข้าทุกวันว่าอยากช่วยเจ้า ขอเพียงเจ้าพยักหน้าเขาจะไปบอกบิดา เมื่อเช้าก็เพิ่งฝากหนังสือลงตราประทับมาแล้ว ข้าจึงมาถามเจ้าว่าสนใจเข้าเรียนหรือไม่?”
สหายของหยางหลินส่วนใหญ่คุ้นเคยกับลู่เฟยลี่ พวกเขาล้วนเป็นมิตร ยามพบปะสังสรรค์มักนัดหมายกันไปกินอาหารร่ำสุราที่ร้านของนางเสมอ จ่ายเงินไม่อั้น
ลู่เฟยลี่จึงไม่แปลกใจในปรารถนาของซ่งเหว่ยจงกับเหล่าสหายของหยางหลิน “ข้าฝากขอบคุณสหายท่าน ต้องขออภัยที่ไม่อาจรับน้ำใจ ข้าน่ะยังมีกิจการต้องดูแล ทำทุกคนกังวลแล้ว”
เพียงแต่พอนึกถึงลูกพี่ลูกน้องของตัวเองขึ้นมา ก็อดขุ่นเคืองมิได้
“อย่างไรเสียลู่เหม่ยก็ไม่ควรล่วงเกินท่าน”
แม้หยางหลินจะไร้บิดาเพราะตายในสนามรบพร้อมบิดาของนาง แต่เขายังมีมารดาและยังมีท่านปู่บรรดาศักดิ์โหว
ต่อให้เสื่อมอำนาจเพราะแก่ชราและเก็บตัวมิอาจต้องลมฝน แต่หยางหลินก็นับว่ามีผู้อาวุโสถึงสองคน มิใช่ผู้เยาว์ไร้หลักปราศจากปราการเช่นนางเสียหน่อย
หญิงสาวว่า “ลู่เหม่ยคิดว่าตนมีผู้อาวุโสคุ้มครองจึงมักทำตัวเช่นนั้น หมายข่มขวัญข้าผ่านท่าน”
หยางหลินขมวดคิ้ว “พวกเขาฉวยโอกาสตอนเจ้ายังเด็กไร้บิดาหนุนหลัง ไม่มีมารดาอบรมดูแล ส่งเจ้าไปบำเพ็ญตนที่วัดห่างไกล แล้วยึดทุกอย่าง หุบสมบัติพี่ชายกับสินเดิมของพี่สะใภ้ บิดาของเจ้ามีน้องชายอำมหิตเช่นนี้ ช่างน่าปวดใจนัก”
“ตอนนั้นข้าเพิ่งเกิดไหนเลยจะต่อกรได้ แล้วตอนนี้ท่านก็ช่วยเหลือข้าให้ได้สมบัติคืนมาบ้างแล้วบางส่วน หาไม่ ข้าคงไม่มีทุนรอนทำการค้า เพียงเท่านี้ก็พอแล้วล่ะ”
“เจ้ามักน้อยเกินไป”
“ข้าทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ต่างหาก ตอนนี้ท่านอายังขึ้นเป็นผู้นำสกุลโดยสมบูรณ์แล้ว”
“ผู้อาวุโสต้นตระกูลยอมแล้วหรือ?”
“เห็นว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่เป็นไร เพราะเวรกรรมกำลังเล่นงานครอบครัวท่านอา”
หยางหลินเลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม ลู่เฟยลี่จึงว่าต่อ “สกุลลู่มิได้สงบสุขเฉกภายนอกที่คนรับรู้ พวกเขามีปัญหาภายในตลอด ท่านอาติดหนี้พนัน ถูกขู่ฆ่าเอาชีวิต วันก่อนมีคนเจอเขานอนสลบจมกองเลือดจึงหามมาส่งจวนลู่ ส่วนลู่เหม่ย ได้ข่าวว่าเจ้าหนี้ต้องการตัวนางไปเป็นอนุ เพื่อใช้หนี้แทนบิดา”
“นางยอมหรือ?”
“แน่นอนว่านางไม่ยอม แต่เจ้าหนี้มีอำนาจยิ่งยวด”
“เจ้าหนี้ที่ว่าคงเป็นท่านชายเจิ้งห่าวกระมัง ได้ข่าวว่าเจ้าสำราญเสเพลยิ่ง มักกลับดำเป็นขาวกลับผิดเป็นถูก เห็นว่าอ๋องฉีทั้งรักและตามใจ คนสกุลลู่ไปยุ่งกับคนผู้นี้ เห็นทีชีวิตหายนะคงใกล้แค่เอื้อม”
“ใช่ เมื่อวานอาสะใภ้ยังมากู้ยืมเงินกับคนของข้า”
“นางรู้หรือไม่ว่าเป็นคนของเจ้า”
“ตอนแรกก็ไม่รู้ แต่ยามนี้รู้แล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ส่วนลู่เหม่ยคงรู้สึกคับอกคับใจเรื่องครอบครัวจึงหาความสุขให้ตัวเองโดยการหาเรื่องข้าที่ตอนนี้มีชีวิตดียิ่ง”
“แล้วเจ้าให้เงินพวกเขาหรือไม่”
ลู่เฟยลี่ยิ้ม “ข้าให้เงินแต่ก็ได้สัญญาเงินกู้กลับมา คาดว่าไม่นาน เรือนสกุลลู่ครึ่งหนึ่งคงเป็นของข้านั่นล่ะ”
“ลี่ลี่ของข้าเก่งกาจนัก” ว่าแล้วก็หยิกแก้มคนงามตามวิสัย หยางหลินชอบเนื้อนุ่มนิ่มหอมกรุ่นของนางยิ่ง นึกหมั่นเขี้ยวตลอด อยากแต่งงานกันเร็วๆ เหลือเกิน จะฟัดเนื้ออิ่มทุกคืนทุกวันเลยเชียว
ความคิดของหยางหลินมีหรือลู่เฟยลี่จะไม่ล่วงรู้ นางตีมือเขาดังเพียะ
“อาหลิน ท่านกำลังคิดไม่ซื่อกับข้าอีกแล้ว”
ชายหนุ่มหลุดหัวเราะฮ่าๆ “มองตารู้ใจโดยแท้ ข้าแค่หยิกแก้ม เจ้ากลับรู้ถึงก้นบึ้งหัวใจแล้ว”
ลู่เฟยลี่ขำพรืด ถอนหายใจว่ายิ้มๆ “ท่านนี่นะ คิดแต่เรื่องแบบนั้น”
“ก็คิดแค่กับเจ้าคนเดียว”
ทั้งสองยังคงหยอกเย้าอย่างหวานชื่นตามวิสัย กระทั่งหยางหลินลืมหน้าที่ดูแลองค์หญิงเสาหนิงไปแล้ว
