ตอนที่ 3 หวั่นไหว 2
ซ่งเหว่ยจงสร้างบาดแผลอย่างจงใจเพื่อการณ์นี้ เพื่อไม่ต้องลงแข่งแล้วนั่งคุยกับนาง
“ข้านั่งดูเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า ได้หรือไม่?”
ถามโดยไม่รอคำตอบชายหนุ่มก็นั่งลงตรงตำแหน่งที่หยางหลินเพิ่งลุกไป
ทำเอาลู่เฟยลี่ต้องรีบยิ้มรับตามมารยาท “อ้อ ได้ๆ เชิญท่าน”
แต่เพราะมันใกล้กันเกินไป หญิงสาวจึงรีบลุกไปนั่งที่ตั่งข้างๆ อย่างไม่ห่างไม่ชิดด้วยมิตรภาพก็ต้องรักษาระยะความสัมพันธ์ก็ต้องเว้นไว้อย่างเหมาะสม
ซ่งเหว่ยจงมองลู่เฟยลี่ด้วยแววตาละห้อยเล็กน้อย กระนั้นสีหน้ากลับไม่เปลี่ยน ยังมีรอยยิ้มประดับมุมปาก ท่าทางสุภาพมาก
“ข้าได้ข่าวว่าเจ้าซื้อเรือนอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
ย่อมเป็นหยางหลินที่เล่าสู่กันฟังกับสหายตามวิสัย ลู่เฟยลี่คิดเองในใจ นางยิ้มกล่าว “ใช่ ได้หยางหลินช่วย ลำพังตัวข้าเองคงหาเรือนถูกใจไม่ได้”
ซ่งเหว่ยจงพยักหน้า “อืมเรือนนั้นเหมาะสมกับเจ้า” เรื่องนี้เขาสืบมาเป็นอย่างดี ทั้งยังรู้ที่ตั้งของเรือนอีกด้วย
ลู่เฟยลี่ไม่รู้ความคิดเขา เพียงแต่นางไม่อยากคุยเรื่องนี้ จึงเอาแต่มองไปทางลานแข่งขันอย่างสนใจมาก เหมือนไม่เคยดูมาก่อน
ซ่งเหว่ยจงจึงไม่ชวนคุยอีก ทำเพียงมองนางนิ่งๆ ทอดสายตาอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ใบหน้าของลู่เฟยลี่หวานแต่ดวงตากลับนิ่งคมและดุดัน กระนั้นกลับแลดูซุกซนพร่างพราวดุจดวงดาวเมื่อนางยิ้ม
ชายหนุ่มยังคงเพ่งพิศหญิงสาวอย่างเศร้าๆ
เขาแอบชอบนางมานาน ชอบตั้งแต่แรกเจอ
เพียงแต่ครั้งแรกที่เขาได้เจอนาง เป็นวันเดียวกับวันที่หยางหลินที่พามาแนะนำในฐานะหญิงคนรัก
ตำหนักอี๋หลัน
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเครื่องเรือนที่หรูหราโอ่อ่า อันบ่งบอกฐานะแห่งเจ้าของได้เป็นอย่างดี
กระนั้นองค์หญิงเสาหนิงกลับไม่เคยพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี ยังคงมีความปรารถนาอยากได้ใคร่มีและต้องการไขว่คว้าในสิ่งที่ตนเองไม่มีอย่างมิสิ้นสุด
“สตรีผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดถึงเป็นที่รักปานนั้น”
เจิ้งเสวี่ยหรงถามนางกำนัลอาวุโสคนหนึ่งทันทีหลังจากสั่งให้ไปสืบมาอย่างเร่งด่วน อีกฝ่ายย่อมกลับมาพร้อมคำรายงานไม่มีตกหล่น
“นางเป็นคุณหนูสกุลลู่เจ้าค่ะ ทว่าไร้บุพการีดูแล ไม่มีผู้อาวุโสค้ำจุน บิดาของนางตายในสนามรบ มารดาที่กำลังตั้งครรภ์นางตอนนั้นก็ตรอมใจ รอกระทั่งคลอดนางออกมาก็ตายตามสามีไปอีกคน”
เจิ้งเสวี่ยหรงหลุดหัวเราะขำ
“นางเป็นแค่เด็กกำพร้าหรือนี่ ช่างน่าสมเพช”
นางกำนัลเล่าต่อ “พออายุเก้าขวบทำผิดจนถูกผู้นำสกุลลู่ส่งไปบำเพ็ญตนที่วัด ครั้นกลับมาเมืองหลวงก็ดื้อรั้นเป็นจอมขบถเลื่องชื่อไม่ยอมเข้าจวนลู่อีก ตัดขาดญาติทุกคน ถูกผู้คนตราหน้าว่าหญิงบ้านป่าเมืองเถื่อนแดนไกล ยามนี้ยังเปิดร้านค้าทำกิจการค้าขายตั้งตนเป็นวณิชย์หญิง ไม่สนใจคำตำหนิด่าทอเพคะ”
“หึ! ที่แท้ก็แค่หญิงเร่ร่อนชั้นต่ำ ไม่มีผู้อาวุโสอบรม ไร้ขนบจรรยาสตรี”
เจิ้งเสวี่ยหรงมักให้ความสนใจเพียงสตรีสูงศักดิ์ที่มีผลประโยชน์ มีผู้อาวุโสในเรือนเป็นขุนนางใหญ่ค้ำจุน
ดังนั้นพอรู้จักลู่เฟยลี่เช่นนี้ ย่อมไม่นับว่ามีค่าให้นางใส่ใจสักกะพีกเสี้ยวเล็บ ไม่จำเป็นต้องปรายชายตาแลแม้สักนิด เพียงแต่บุรุษที่องค์หญิงเช่นนางพึงใจกลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเห็นอีกฝ่ายเป็นสตรีล้ำค่า รักมาก รักอย่างลึกซึ้ง
นี่ต่างหากจึงทำให้เจิ้งเสวี่ยหรงหวั่นไหว
ที่สำคัญ นางเพิ่งสืบทราบมาว่าหยางหลินคือหลานชายของหยางโหวผู้เฒ่าที่เคยเข้าเฝ้าโดยไม่ต้องผ่านฝ่ายพิธีการ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนโปรดลับๆของเสร็จพ่อ
นางกำนัลคนสนิทเสนอความคิด “มิสู้องค์หญิงขอฮ่องเต้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงในชั้นเรียนเดียวกับเขา จะได้สร้างสัมพันธ์อันดีต่อกัน เป็นอย่างไรเพคะ”
ดวงตาเจิ้งเสวี่ยหรงพลันสว่างวาบ
