ตอนที่ ๔ ต้องชดใช้
“ วันนี้เจ้าพี่นิศามณีงามเหลือเกินเจ้าค่ะท่านป้า..”
นรีทิพย์อัปสรพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม พลางมองตามครุฑีน้อยที่เดินอยู่เคียงข้างพระสุวรรณเมฆาอย่างสง่างามด้วยแววตาเป็นประกาย
“ ใช่ลูก.. พี่สะใภ้ของเจ้าหนะ งดงามมากจริง ๆ ” มณฑาอัปสรเองก็เช่นกันที่มองตามทั้งคู่ด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ เอ๊ะ!! นั่นมัน..”
นรีทิพย์อัปสรเบิกตากว้างก่อนจะอุทานออกมาเมื่อดวงตาคู่สวย บังเอิญเหลือบไปเห็นพญาครุฑหนุ่มตนหนึ่งที่ดูคุ้นตา
แต่เมื่อหันกลับไปมองอีกหน ก็ไม่พบพญาครุฑหนุ่มตนนั้นแล้ว เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันนิ่ง พลางแอบคิดขึ้นภายในใจ ‘ หรือว่าข้าจักตาฝาดไป ..คงมิบังเอิญเช่นนั้นดอกกระมัง ’
“ มีอันใดหรือลูก นรีทิพย์?..” มณฑาอัปสรเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาว
“ เอ่อ.. ปละ..เปล่าเจ้าค่ะท่านป้า มิมีอันใดดอกเจ้าค่ะ ”
นรีทิพย์อัปสรรีบปรับสีหน้าก่อนจะหันกลับมาตอบผู้เป็นป้าของนาง
.
.
“ ได้เรื่องมาว่าอย่างไรสิงห์หะ? ”
พระมหิงส์เวหะเอ่ยถามทหารครุฑาคู่ใจที่ตนรับสั่งให้ไปสืบข่าวบางอย่างมา
“ พะยะค่ะพระโอรส ..นางอัปสรตนนั้น เป็นญาติผู้น้องของพระสุวรรณเมฆาพะยะค่ะ เห็นว่าพระสุวรรณ..รัก แลเอ็นดูน้องสาวตนนี้มาก พะยะค่ะ ” สิงห์หะตอบตามที่ตนสืบมา พลางลอบมองสีหน้าพระราชโอรสของตนนิ่ง
“........”
เมื่อได้ยินคำตอบพญาครุฑหนุ่มก็กระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก แต่ทว่ารอยยิ้มนั่น มันกลับแฝงความร้ายกาจอยู่ภายใน และสิงห์หะที่กำลังมองอยู่นั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาอย่างไรมิรู้ ..บอกไม่ถูก
“ พิธีอภิเษกสมรสก็เสร็จสิ้นแล้ว เรา.. กลับกันเลยดีหรือไม่พะยะค่ะพระโอรส? ” สิงห์หะเอ่ยถามน้ำเสียงแผ่ว
“.......”
มิมีคำตอบใดตอบกลับมา และสีหน้าพญาครุฑหนุ่มราวกับกำลังใช้ความคิด แววตาดุดันที่มุ่งมั่นมันทำให้สิงห์หะเริ่มหายใจหายคอติดขัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
มิรู้หรอก ว่าพระราชโอรสหนุ่มนั้นกำลังคิดจะทำสิ่งใด ...แต่มันคงมิใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่
“ เอ่อ.. องค์เหนือหัวทรงกลับขึ้นคีรีลอยฟ้าไปแล้ว ..เราก็น่าจักกลับกันได้แล้วหนา พะยะค่ะ ” สิงห์หะถามย้ำขึ้นอีกหน
เนื่องจากพระกันตะเวหาได้รับสั่งเอาไว้ว่าจักขึ้นไปพำนับที่เมืองเวหาศ บนคีรีลอยฟ้า(ภูเขาลอยฟ้า) สักสองราตรีก่อนจะเดินทางกลับอาณาจักรครุฑแดนทักษิณ
“ จักรีบกลับไปใยเล่าสิงห์หะ... อยู่ทักทายกับนรีทิพย์อัปสรก่อน.. จักเป็นกระไร ”
พญาครุฑหนุ่มตอบ ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้น มันช่างชวนให้ขนลุกจนสิงห์หะรู้สึกได้
“ เอ่อ.. แต่นางอัปสรตนนั้น เป็นพระญาติของพระสุวรรณเมฆานะพะยะค่ะพระโอรส.. ”
“ เป็นพระญาติแล้วอย่างไร.. ข้าจักทักทายนางมิได้อย่างนั้นหรือ? ”
“ ปละ..เปล่าพะยะค่ะ ” สิงห์หะเริ่มสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมาเสียแล้วสิ
.
.
.
_?_
“ เช้าวันพรุ่ง เจ้าจักไม่กลับขึ้นไปพร้อมป้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือลูก นรีทิพย์? ”
มณฑาอัปสรเอ่ยถามหลานรักด้วยสีหน้าห่วงใย เมื่อนรีทิพย์อัปสรขออนุญาตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพื่อเที่ยวชมความงามของพนาราพณ์
“ เจ้าค่ะ ข้าขออยู่ต่ออีกสักวันนะเจ้าคะท่านป้า ก่อนพลบค่ำวันพรุ่งข้าจักรีบกลับขึ้นไปอย่างแน่นอนเจ้าค่ะท่านป้า.. นะเจ้าคะท่านนป้า.. ท่านป้าเจ้าขาา..” ตากลมกระพริบปริบอย่างออดอ้อน
แล้วมณฑาอัปสรก็ต้องใจอ่อน ยอมแพ้ให้กับลูกอ้อนของแม่หลานสาวเฉกเช่นเคย
“ เฮ่อ.. ก็ได้.. เช่นนั้นก็รีบกลับขึ้นไปเล่า มิต้องรอให้ถึงพลบค่ำดอกหนา ประเดี๋ยวแม่เจ้าก็จักมาบ่นว่าป้าตามใจเจ้าจนเคยตัวอีก รู้หรือไม่ ”
“ คิกคิก.. เจ้าค่ะ.. ท่านป้าใจดีที่สุดเลย ฟอดด ฟอดด..”
นรีทิพย์อัปสรยิ้ม พลางส่งแขนเรียวไปสวมกอดผู้เป็นป้าเอาไว้ด้วยความดีใจ ก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มนุ่มไปหลายฟอดอย่างเอาอกเอาใจ
“ มิต้องมาประจบป้าเลย.. แล้วก็อย่าดื้อรั้นจนทำให้เจ้าพี่ของเจ้าต้องปวดหัวเล่า ”
มณฑาอัปสรพูดพลางส่งมือบางขึ้นลูบที่ศีรษะหลานรักเบา ๆ อย่างเอ็นดู
“ เจ้าค่ะท่านป้า ข้าสัญญาว่าจักมิดื้อเจ้าค่ะ..”
“ ดีจ้ะ.. เช่นนั้นป้ากลับเข้าห้องหับก่อนหนาลูก วันพรุ่งจักต้องเดินทางก่อนรุ่งสาง ฟอดด.. ”
มณฑาอัปสรยิ้ม ก่อนจะฝังจมูกเข้าที่พวงแก้มนิ่มของหลานรักไปฟอดใหญ่
“ เจ้าค่ะท่านป้า ”
“ เจ้าเองก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้วหนา นรีทิพย์ นี่ก็ดึกมากแล้ว ” มือเรียวเอื้อมขึ้นลูกศีรษะของนรีทิพย์อัปสรด้วยความเอ็นดู
“ เจ้าค่ะท่านป้า ”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลานรัก มณฑาอัปสรก็เดินกลับห้องหับของนางไปทันที นรีทิพย์ยิ้ม มองตามหลังผู้เป็นป้าไปจนลับตา ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องหับของตน
ร่างเล็กเดินกลับเข้าห้องหับโดยมิรู้ตัวเลยว่า มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนางแทบไม่ละสายตา
“ พะ..พระโอรส! จักทรงไปที่ใดพะยะค่ะ? ” สิงห์หะรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นราชโอรสของตนทำท่าว่าจะเดินตามอัปสรน้อยผู้นั้นไป
พญาครุฑหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรียกทหารครุฑาคู่ใจเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลนั่น
“ ....สิงห์หะ ”
“ พะยะค่ะพระโอรส..”
“ เจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าตอนที่สูญเสียนิศามณีไป ใช่หรือไม่? ”
“ พะยะค่ะพระโอรส กระหม่อมเข้าใจ.. แต่นางอัปสรตนนั้นมิได้ข้องเกี่ยวอันใดด้วยหนิ พะยะค่ะ ”
“ เหตุใดนางจักมิข้องเกี่ยวเล่า เจ้าเพิ่งจะบอกกับข้าเองหนา สิงห์หะ ว่านางเป็นน้องสาว ที่พระสุวรรณ..รัก แลเอ็นดูมาก มิใช่หรือ? ”
“ พะยะค่ะ ” สิงห์หะเสียงสั่น
“ พระสุวรรณ.. ควรต้องชดใช้ในสิ่งที่ข้าสูญเสีย.. ในเมื่อข้าสูญเสียนิศามณีไป... พระสุวรรณเมฆาก็ต้องสูญเสียผู้ที่รักไปเฉกเช่นกัน ” พระมหิงส์เวหะพูดน้ำเสียงเย็นชาบาดจิตที่แฝงไปด้วยความโกรธ แววตาพญาครุฑมันฉายแววเย็นเยียบอย่างหาที่เปรียบมิได้
!!!
“ ตะ..แต่! พระโอรสพะยะค่ะ...”
สิงห์หะค่อนข้างจะตกใจกับสิ่งที่พระมหิงส์เวหะพูดออกมา แม้จะรู้ดีว่าพระมหิงส์เวหะ จักมิมีวันที่ทำร้ายสตรีเพศก็ตาม
แต่ทว่าเมื่อได้เห็นแววตาของพญาครุฑหนุ่มเมื่อครู่นั้น สิงห์หะก็ชักเริ่มจะไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วสิ ว่าโอรสของตนจะทำอย่างไรกับนางอัปสรน้อยตนนั้น
“ มิมีแต่สิงห์หะ! เจ้ามิต้องพูดอันใดอีก ”
“........”
“ ให้องครักษ์กลับขึ้นไปคีรีลอยฟ้า บัดเดี๋ยวนี้! ..ให้แจ้งท่านพ่อว่าเราจักเดินทางกลับดินแดนทักษิณล่วงหน้าไปก่อน ”
“ พะ..พระโอรสจักทรงทำอันใดพะยะค่ะ? ” สิงห์หะถามด้วยน้ำเสียงที่ดูหวาดหวั่น
“ อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้สิงห์หะ ” พญาครุฑหนุ่มยกคิ้วตอบสิงห์หะ ก่อนจะหันไปรับสั่งเหล่าองครักษ์น้ำเสียงเข้มและจริงจัง
“ ส่วนพวกเจ้าก็มิต้องตามข้าไปดอก.. ออกไปรอข้า ที่นอกเขตเมืองพนาราพณ์ ตรงลำธารใกล้ที่ตั้งกองทัพเมื่อครั้งก่อน เมื่อข้าไปถึงที่นั่น เราจักบินกลับดินแดนทักษิณกันทันที ”
“ พะยะค่ะ / พะยะค่ะ..”
ได้รับคำตอบจากสิงห์หะ และเหล่าองครักษ์แล้ว พญาครุฑหนุ่มก็ไม่รอช้า รีบอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของห้องหับที่นรีทิพย์อัปสรพำนับอยู่ทันที โดยมีสายตาของสิงห์หะและเหล่าองครักษ์อีกหกตนมองตามหลังไปด้วยแววตาที่เป็นกังวล
_?_
