ตอนที่ ๒ ความเจ็บปวดที่แปรเปลี่ยน
พญาครุฑหนุ่มรีบดึงสติของตนกลับคืนมา มือหนาพลางโอบกระชับร่างบางให้แน่นขึ้นเข้าไปอีกนิด ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะกระตุกยิ้มพรายออกมา
“ หึ.. กอดรัดข้าแน่นเฉกเช่นนี้ จักให้ข้าพาเจ้ากลับไปด้วยเลยดีหรือไม่เล่าแม่อัปสรตัวน้อย ”
น้ำเสียงนุ่มและกรุ้มกริ่มของพระมหิงส์เวหะ ทำให้อัปสรน้อยในอ้อมแขนแกร่งได้สติกลับคืนมา ก่อนดวงตาคู่สวยจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ
แต่แล้วอัปสรน้อยก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อใบหน้าหล่อของพญาครุฑหนุ่มนั้นอยู่ใกล้เพียงไม่ถึงคืบ อีกทั้งตนยังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของพญาครุฑหนุ่มที่กำลังกอดรัดจนแน่น
มือเรียวเล็กพยายามดันกายออกจากร่างหนา แต่อ้อมแขนแกร่งอันทรงพลังกลับรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม อัปสรตัวน้อยจำต้องเอ่ยท้วงออกมา
“ ท่าน!.. ป..ปล่อย! ปล่อยข้านะ! ” ร่างเล็กบิดกายไปมาพยายามดีดดิ้นเพื่อจะให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่งให้ได้
“ หึ.. ได้เยี่ยงไรกัน.. เจ้าชนข้าแรงเฉกเช่นนี้ จักให้ข้าปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า ”
น้ำเสียงหยอกเย้าอย่างที่มิเคยเอ่ยกับหญิงใดมาก่อน แม้พญาครุฑหนุ่มก็มิอาจจะเข้าใจตัวเองเช่นกัน เหตุใดตนถึงอยากแกล้งนางอัปสรตนนี้นัก
“ ข้ามิได้ชนท่าน! ..ท่านต่างหากที่บินมาชนข้า แลครุฑาเช่นท่านก็มิควรเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้า ..ปล่อยข้านะ!! งื้อ..ปล่อยข้า!!.. ” อัปสรน้อยตอบกลับน้ำเสียงขู่
ตุบ ตุบ ตุบ
มือเล็กทุบเข้าที่อกแกร่งรัว ๆ ไปหลายหนอย่างมิได้เกรงกลัวอีกฝ่าย อีกทั้งพยายามดีดดิ้นไปมา แต่ก็ไม่เป็นผล ทว่าจู่ ๆ แก้มเนียนก็กำลังขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้.. ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือความเขินอาย
เพราะร่างกายนาง นอกจากชายที่เป็นเครือญาติแล้ว ก็มิเคยมีชายใดแตะเนื้อต้องตัวนางมาก่อน ใจดวงน้อยกำลังเต้นแรงกับอ้อมกอดของชายแปลกหน้าผู้นี้อย่างห้ามไม่ได้
“ ครุฑาเช่นข้า.. มันเป็นเช่นไรรึ? แล้วควรจักต้องเอ่ยวาจาเช่นไรกับเจ้าอย่างนั้นหรือแม่อัปสรสวรรค์ ”
ดวงตาเฉียบคมจ้องมองแก้มเนียนที่กำลังแดงระเรื่องของร่างเล็กในอ้อมแขนของตนนิ่งแทบไม่กระพริบตา
“........”
ทำเอาอัปสรตัวน้อยต้องรีบเบนสายตาหลบทันทีด้วยใจสั่นไหว
“ ว่าอย่างไร.. ข้าควรเอ่ยวาจาเช่นไรกับเจ้า ฮึ? ” พระมหิงส์เวหะถามย้ำพร้อมกับโอบกระชับเอวคอดกิ่วให้แน่นขึ้นกว่าเดิมจนร่างเล็กต้องตกใจอีกหน
“ อ๊ะ!! เอ่อ.. ท..ท่านพญาครุฑเจ้าขา.. ได้โปรด ปล่อยอัปสรตัวน้อย ๆ เช่นข้าไปเถิดเจ้าค่ะ ”
วาจาอ่อนหวานมาพร้อมกับแววตาอ้อนวอนของอัปสรน้อย ทำเอาพระมหิงส์ถึงกับชะงักนิ่งไปทันใด
เพราะดูท่าพญาครุฑหนุ่มคงจะไม่ปล่อยตนไปง่าย ๆ ยิ่งขัดขืนอ้อมแขนแกร่งก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ อัปสรน้อยจำต้องใช้ลูกอ้อนแทน
พญาครุฑหนุ่มจ้องมองแก้มเนียนที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนิ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปาก รู้สึกมันเขี้ยวอยากจะแกล้งนางเข้าไปอีก แต่ในใจกลับนึกเอ็นดูนางอยู่ไม่น้อย
“ จักให้ข้าปล่อยเจ้า ก็ได้หนา..” พญาครุฑหนุ่มว่าขึ้นพลางกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“......”
“ แต่เจ้า จักต้องบอกชื่อของเจ้ามาก่อน.. ข้าถึงจักปล่อยเจ้า ”
“......” อัปสรน้อยนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ ตกลงหรือไม่เล่า ฮื้ม? แม่อัปสรตัวน้อย ”
พระมหิงส์เวหะถามย้ำ ขณะที่ดวงตาคมจับจ้องแก้มเนียนใสเด้งนั่น มันยิ่งรู้สึกมันเขี้ยว อยากจะโน้มเข้าไปงับเล่นสักทีสองที
“.......”
ดวงตากลมโตกระพริบปริบ ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงอย่างชั่งใจ
ขณะนี้ พระมหิงส์เวหะไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าตนนั้นลืมความเจ็บปวดที่เป็นอยู่ไปเสียสิ้น คงจะไม่เห็นหน้าตัวเอง ว่าเวลาที่ตนหยอกล้อนางอัปสรสวรรค์นั้น ใบหน้าหล่อของพญาครุฑหนุ่มมันดูเป็นสุขเพียงใด..
คงมีเพียงสิงห์หะทหารครุฑาคู่ใจเท่านั้นที่กำลังแอบมอง และได้เห็นสีหน้าพระโอรสของตนเวลานี้
“ ว่าอย่างไรเล่า? ”
พระมหิงส์เวหะถามย้ำอีกหน เมื่อเห็นท่าทีลังเลของนางอัปสร ก่อนที่อัปสรตัวน้อยจะตัดสินใจตอบกลับมา
“ อื้อ..”
ปากอิ่มเม้มแน่นก่อนที่ใบหน้าสวยจะพยักพเยิดขึ้นลงเป็นคำตอบ ทำให้พญาครุฑหนุ่มยิ้มออกมา
“ แล้วเจ้ามีชื่อว่าอย่างไรแม่อัปสรสวรรค์?..”
“ ข..ข้าชื่อ นรีทิพย์..”
“ นรีทิพย์ ...อย่างนั้นรึ ”
พระมหิงส์เวหะเอ่ยชื่อนางอัปสรตัวน้อยในอ้อมแขนของตนน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมา
“ ข้าบอกชื่อท่านไปแล้ว.. ท่านจักปล่อยข้าได้หรือยังเล่า?..”
เมื่อเห็นว่าอ้อมแขนแกร่งยังไม่ยอมคลายออกเสียที นรีทิพย์อัปสรจึงได้เอ่ยทวงถาม
ได้ยินเช่นนั้นพระมหิงส์เวหะจำต้องคลายอ้อมแขนแกร่งของตนออกอย่างน่าเสียดาย
นรีทิพย์อัปสรดีดตัวออกห่างร่างหนาของพญาครุฑหนุ่มทันที ก่อนจะรีบเหาะเหินทะยานขึ้นฟ้า
“ เดี๋ยวก่อนสิ!..นรีทิพย์ ”
แต่ทว่าไม่ทันที่ร่างเล็กนั้นจะได้เหาะเหินไปไกล พญาครุฑหนุ่มก็รีบเอ่ยเรียกนางเอาไว้ก่อน ทำให้นรีทิพย์อัปสรต้องหยุดชะงักทันใดก่อนจะหันกลับไปเอ่ยถาม
“ มีอันใดอีกหรือ? ข้าก็บอกชื่อท่านแล้วนี่..”
พญาครุฑหนุ่มกระพือปีกเบา ๆ โบยบินเข้าไปใกล้ ทว่าอัปสรตัวน้อยกลับถอยออกห่างอย่างไม่ไว้ใจ ร่างหนาจำต้องหยุดเพียงแค่นั้นเมื่อเห็นท่าทีของนาง
“ เจ้ายังมิรู้ชื่อข้าเลยหนา ใยถึงรีบไปนักเล่า? ”
“ แต่ข้ามิได้อยากจักรู้ชื่อท่านสักหน่อย.. ข้าไปล่ะ ”
“ เดี๋ยวนรี...”
“........”
พระมหิงส์เวหะร้องเรียกตามหลังอัปสรน้อยได้เพียงเท่านั้นเมื่อไม่ทันแล้ว เพราะหลังจากที่พูดจบอัปสรตัวน้อยก็รีบเหาะเหินขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วทันที
ตาคมเพ่งมองตามหลังนางอัปสรตัวน้อยที่เหาะทยานขึ้นฟ้าไปจนลับสายตา พลางถอนลมหายใจออกมาเบา ๆใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว
.
.
“ ช่างเป็นนางอัปสรที่งดงามเหลือเกินนะพะยะค่ะ ”
เสียงของสิงห์หะเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้มหยอกเย้า
“ ข้าให้เจ้ากลับเข้าไปก่อนมิใช่หรือสิงห์หะ..” พระมหิงส์เวหะเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ หากกระหม่อมกลับไปก่อน ก็มิได้เห็นพระโอรสหยอกล้อนางอัปสรสวรรค์เช่นนี้น่ะสิพะยะค่ะ แลก็คงจักมิมีโอกาศได้เห็นรอยยิ้มของพระโอรสด้วยพะยะค่ะ ”
สิงห์หะยิ้ม ตอบกลับโอรสหนุ่มไป ก่อนที่จะได้รับสายตาค้อนน้อย ๆ กลับมาให้
พระมหิงส์เวหะ รู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุใดความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานใจของตนที่เป็นอยู่นั้น มันจางหายไปไหนเสียสิ้น..
จะมีก็แต่ความรู้สึกวาบหวามในยามที่ตนจ้องมองใบหน้าเนียนของนางอัปสรน้อยตนนั้นเข้ามาแทนที่
“ กลับกันเถิด.. ท่านพ่อคงจักรอนานแล้ว ”
พญาครุฑหนุ่มเอ่ยกับสิงห์หะสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ใจยังหาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้ ก่อนจะโบยบินกลับเข้าไปในม่านหมอกบังตา คีรีลอยฟ้า(ภูเขาลอยฟ้า) ที่ตั้งของเมืองเวหาศ
“ พะยะค่ะ ” สิงห์หะรีบกระพือปีกโบยบินตามพระราชโอรสของตนไปติด ๆ
______?______
