ตอนที่ ๑ แรกพบ
ณ คีรีลอยฟ้า นครเวหาศ
หลังจากที่ นิศามณี ครุฑีพระคู่หมั้น เลือกที่จะเป็นมเหสีของพระสุวรรณเมฆา กษัตริย์ยักษ์เมืองพนาราพณ์ ที่พญาครุฑหนุ่มอย่างพระมหิงส์เวหะมิอาจจะต่อกรได้ และที่สำคัญคือครุฑีน้อยมีใจให้แก่กษัตริย์ยักษ์ตนนั้น
พระมหิงส์เวหะจำต้องหักห้ามใจ และครุฑีน้อยก็ยังขอให้ตนเป็นพี่ชายอีก ..จะทำอย่างไรได้อีกเล่า? ก็คงต้องยอมรับมันให้ได้..
หลังจากที่พระอนันตะเวหาและพระมเหสีสินิลตากลับขึ้นมาจากเมืองพนาราพณ์ ก็มีท่านแม่ทัพของพนาราพณ์และทหารอสุราตามขึ้นมามากมาย ..เมื่อพระสุวรรณเมฆาว่าที่ราชบุตรเขยของเมืองเวหาศ ได้ส่งให้ขึ้นมาคอยอารักขาเมืองเวหาศ
พระมหิงส์เวหะและพระกันตะเวหาผู้เป็นบิดา ก็มิมีความจำเป็นที่จะอยู่เมืองเวหาศอีกต่อไป
“ นั่นเจ้าจักไปที่ใดพระมหิงส์? ใกล้ถึงเพลาที่เราจักต้องออกเดินทางกลับแดนทักษิณกันแล้วหนาลูก ”
เสียงของพระกันตะเวหาเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นราชโอรสของตนกำลังจะเดินออกจากตำหนักรับรองราชอาคันตุกะของเมืองเวหาศ
เพราะวันนี้กองทัพทหารครุฑาของเมืองสินธุ จะต้องเดินทางกลับแดนทักษิณ
“ ลูกใคร่เห็นกองทัพหลวงของพนาราพณ์พระพุทธเจ้าข้าท่านพ่อ ลูกใคร่จักเห็นด้วยตาตัวเอง ลูกขอออกไปดูเพียงครู่เดียวเถิดหนาพระพุทธเจ้าข้าท่านพ่อ ”
ก็แค่อยากเห็นว่ากองทัพหลวงของเมืองพนาราพณ์จะยิ่งใหญ่เพียงใดก็เท่านั้น พญาครุฑหนุ่มจึงเอ่ยขออนุญาตพระบิดาออกไปดูให้เห็นกับตาตัวเองก่อนจะเดินทางกลับดินแดนทักษิณ
“ ถ้าเช่นนั้นก็รีบไป แล้วรีบกลับมาหนา.. จักได้เข้าไปร่ำลาพระอนันตะก่อนออกเดินทาง..”
“ พระพุทธเจ้าข้าท่านพ่อ.. ลูกจักรีบกลับ ”
พูดจบพญาครุฑหนุ่มก็เดินออกจาตำหนักรับรองราชอาคันตุกะทันที สิงห์หะทหารครุฑาคู่ใจ รีบถวายบังคมพระกันะเวหาก่อนจะรีบตามพระมหิงส์เวหะไป
"สิงห์หะ.."
ไม่ทันที่สิงห์หะจะได้ตามพระราชโอรสหนุ่มไป พระกันตะเวหาก็เอ่ยเรียกเอาไว้ก่อน
“ พะยะค่ะองค์เหนือหัว..”
“ ดูแลโอรสของเราให้ดีเล่า อย่าให้เถลไถลไปที่ใดไกลนัก แลเตือนพระมหิงส์ด้วย ว่าก่อนออกเดินทางให้เข้ามาอำลาพระอนันตะเวหาด้วย ” พระกันตะเวหารับสั่งน้ำเสียงเรียบ
“ พะยะค่ะองค์เหนือหัว ” สิงห์หะขานรับบัญชาก่อนจะรีบตามพญาครุฑหนุ่มไปทันที
.
.
.
เหนือกลุ่มก้อนเมฆ กลางเวหา พระมหิงส์เวหะกำลังเพ่งลงไปเบื้องล่าง ดวงตาสีชาด(สีเลือด) ของพญาครุฑหนุ่มจ้องมองเหล่ากองทัพหลวงของพนาราพณ์ ที่กำลังเคลื่อนทัพออกจากเขตแดน เพื่อไปตีเมืองของข้าศึก ดวงตาเฉียบคมจับจ้องนิ่ง ในแววตาคู่นั้นแสนจะหยั่งยาก
“ กระหม่อมเคยได้ยินเกียรติศักดิ์มานานพะยะค่ะ แต่ก็มิคิด ว่ากองทัพของพนาราพณ์ จักยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นบุญตาที่ได้เห็นพะยะค่ะ ”
เสียงของสิงห์หะทหารครุฑาคู่ใจของพระมหิงส์เวหะ เอ่ยขึ้นขณะที่ดวงตาคู่นั้นยังเพ่งมองลงไปยังกองทัพหลวงของพนาราพณ์นิ่งเฉกเช่นกัน
“........”
พระมหิงส์เวหะไม่ได้ตอบอันใดออกมา ดวงตาเฉียบคมยังจ้องมองลงไปเบื้องล่างนิ่ง แววตาคู่นั้นยังคงมีร่องรอยของความเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ ข้างในหัวใจ
“ เรากลับกันเลยหรือไม่พะยะค่ะ? ”
สิงห์หะหันมาเอ่ยถามพญาครุฑหนุ่มเบา ๆ เมื่อเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนมิควรเอ่ยอันใดเช่นนั้นออกมา
“.......” เงียบ!
“ เอ่อ ..องค์เหนือหัวทรงรับสั่งเอาไว้ ว่าให้พระโอรสเข้าไปอำลาพระอนันตะ แล พระมเหสีสินิลตาก่อนออกเดินทางพะยะค่ะ..”
เพราะคิดว่าควรถึงเวลา ที่จะกลับเข้าไปในเมืองเวหาศ เพื่ออำลาพระอนันตะเวหากับพระมเหสีสินิลตากันได้แล้วสิงห์หะจึงเอ่ยถามขึ้น
“........”
เมื่อเห็นว่าโอรสหนุ่มยังคงนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอันใดออกมา สิงห์หะจึงเปลี่ยนคำถามใหม่
“ พระโอรส... ใคร่จักไปที่ใดต่ออีกหรือไม่พะยะค่ะ? ”
“ เจ้ากลับเข้าไปก่อนเถิดสิงห์หะ ข้าใคร่จักอยู่ตามลำพังสักครู่ อีกประเดี๋ยวข้าจักตามเข้าไป ”
“ เอ่อ...”
สิงห์หะมีสีหน้าลังเล เมื่อไม่อยากจะทิ้งพระโอรสของตนไว้ตามลำพัง
“ ...ไปเถิดสิงห์หะ ” พระมหิงส์เวหะจึงเอ่ยย้ำอีกหน
“ แต่ว่า...”
“ มิมีแต่สิงห์หะ! ข้าใคร่จักอยู่ผู้เดียวเงียบ ๆ เพียงครู่เท่านั้น ข้ามิได้เป็นอันใด ”
“ เช่นนั้น.. ก็ได้พะยะค่ะพระโอรส ” สิงห์หะจำใจต้องขานรับไปก่อน แต่เขาก็ไม่ได้กลับตามที่ขานรับหรอก เพราะความเป็นห่วงราชโอรสจึงแอบตามดูแลอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ให้โอรสของตนนั้นรู้ตัว
สิงห์หะนั้นเข้าใจดี ว่าพระมหิงส์เวหะยังคงเจ็บปวดกับเรื่องที่ต้องสูญเสียพระคู่หมั้นไป
.
.
.
บนท้องเวหาอันกว้างใหญ่ พญาครุฑหนุ่มผกโผผิน อย่างสง่างามยามทะยานกลางเวหา บินไล่ริ้วตามแสงสีทองของดวงอาทิตย์ ปีกสีมณีราคกระพือทวนลมเล่น โบยบินแหวกว่ายไปในอากาศที่ว่างเปล่า เพื่อเสาะแสวงหาสิ่งปลอบใจในความงามจากธรรมชาติ
แต่ทว่าท้องเวหาที่ช่างจะสดใส ภูเขาอันกว้างใหญ่ และแม่น้ำที่แสนจะงดงามนั้น ก็มิอาจทำให้ความเจ็บปวดในใจของพญาครุฑหนุ่มจางหายลงไปได้เลย
พระมหิงส์เวหะถอนลมหายใจแผ่ว พลางโบยบินเล่นลมอยู่อีกสักพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจบินวน กลับไปยังคีรีลอยฟ้า ทว่า! ยังไม่ทันจะได้ไปไกลเท่าใดนัก
วืดด.. ปึก!!
“ กรี๊ดด!! ” บางสิ่งบางอย่างพุ่งชนร่างหนาอย่างแรง ก่อนที่จะมีเสียงกรีดร้องเสียงดังตามมา ...แม้แต่พระมหิงส์เวหะเองก็ตกใจเช่นกัน แต่ก็รีบตั้งสติแล้วหันไปตามเสียงกรีดร้องนั่นทันใด
แล้วดวงตาเฉียบคมก็ต้องเบิกกว้างอย่างแปลกใจ เมื่อต้นทางของเสียงมาจากนางอัปสรตัวน้อยที่กำลังล่วงจากเวหาด้วยความเร็ว ไม่รอช้าพระมหิงส์เวหะกระพือปีก ก่อนจะพุ่งตรงดิ่งลงไปหาร่างนางอัปสรน้อยด้วยความเร็ว
ควับ!!
“ อ้ะ!! ”
อัปสรตัวน้อยไม่รู้ด้วยด้วยซ้ำว่าตนนั้น ชนกับอะไรเข้า และค่อนข้างจะตกใจมาก ..มากพอ ที่จะทำให้ลืมไปว่าตนนั้นเหาะเหินได้จนต้องร่วงจากฟากฟ้านั่นหละ
หมับ!
อัปสรตัวน้อยหลับตาปี๋ มือเรียวคว้าลำคอของพญาครุฑหนุ่มเอาไว้พลางกอดรัดจนแน่นอย่างลืมตัว ร่างเล็กสั่นเทาทั้งตัว ทั้งกลัว ทั้งตกใจ ถ้าตกลงไปข้างล่างจะเป็นเช่นไร
หากเกิดอันใดขึ้นก็คงมิมีผู้ใดรู้เป็นแน่ ในเมื่อนางนั้นแอบหนีลงมาเที่ยวเล่นโดยมิได้บอกผู้ใด
ดวงตาสีชาด(สีเลือด) จับจ้องร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนแกร่งของตนนิ่ง พลางกวาดสายตาไล่ไปตามผิวใสเนียนละเอียดที่ปลั่งเปล่งเป็นประกาย งดงามเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์
มือหนาที่สัมผัสกับเอวคอด รับรู้ถึงความเนียนละเอียดของผิวนุ่มได้เป็นอย่างดี จู่ ๆ ใจดวงโตของพญาครุฑหนุ่มก็พลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ อึก!..”
สายตาคมของพญาครุฑหนุ่มจ้องมองไล่ไปตามผิวนวลเนียนนิ่ง ก่อนจะเผลอกลืนน้ำลายไปเอื้อกใหญ่อย่างลืมตัว
______?______
