บทที่ 9 ผู้มาเยือนจากฝันร้าย
บทที่ 9 ผู้มาเยือนจากฝันร้าย
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ไม่ต้องตกใจไปนะสาวน้อย ทั้งหมดนี่เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง” อรัญญาณีที่ยืนนอกโพรงหันมาบอกกับฉันด้วยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ก่อนที่จะหันกลับไปมองอะไรบางอย่างที่พุ่งจากฟากฟ้าลงมาบนกิ่งไม้ที่เธอยืนอยู่
โครม!
เสียงวัตถุที่มีมวลมหาศาลพุ่งกระทบกิ่งไม้ยักษ์ดังลั่น จนฉันเป็นห่วงว่ากิ่งไม้ยักษ์จะหักเพราะรับน้ำหนักของมันไม่ไหว! แล้วเมื่อได้เห็นสิ่งนั้นด้วยตาตัวเอง ฉันก็ไม่แปลกใจที่มันทำให้เกิดเสียงดังได้ปานนั้น เพราะมันคือช้างมีปีกสีทองที่ประดับประดาไปด้วยยุทธภัณฑ์ทั้งหลายจนดูคล้ายช้างศึก และมีใครบางคนกำลังก้าวลงมาจากหลังของมัน!
“อรัญญาณี!” เสียงที่ทุ้มต่ำและดุดันราวกับสัตว์ป่าที่พูดภาษามนุษย์ดังมาจากหน้าโพรง เสียงนั้นมันดังมากจนฉันที่อยู่ใกล้ปากโพรงแทบสะดุ้ง และก็ต้องตกตะลึงหาคำบรรยายไม่ถูก เมื่อเห็นผู้ที่ร้องเรียกชื่ออรัญญาณีเมื่อครู่
เพราะผู้ที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว มีร่างกายสูงเกือบสามเมตรและอุดมไปด้วยมัดกล้ามขนาดใหญ่ และการที่เขาไม่ได้สวมเสื้อ มีเพียงเครื่องประดับรูปร่างแปลกๆ ทำให้ฉันมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผิวกายของเขานั้นสีเขียวราวกับมนุษย์กลายพันธุ์ในภาพยนตร์! แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับใบหน้าที่มีริมฝีปากซึ่งมีเขี้ยวขาววาววับโง้งออกมาจากมุมปาก และดวงตาโปนสีแดงบนใบหน้าสีเขียวนั่นอีก!
มันช่างเหมือนกับใบหน้าในความฝันร้าย ที่คอยตามหลอกหลอนฉันตั้งแต่ฉันจำความได้ไม่มีผิด!
“สวัสดียามราตรี ท่านผู้มาเยือน” เสียงของอรัญญาณีถามขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น ประหนึ่งว่าอาการตกใจและร้อนรนเมื่อครู่ไม่เคยมีอยู่ “แล้วถึงท่านไม่ต้องเรียกชื่อข้า ข้าก็รู้ชื่อตนเองดีอยู่แล้ว”
“เล่นลิ้นเก่งสมกับที่เป็นเผ่าพันธุ์ของพวกท่านจริง ๆ!” เสียงของร่างมหึมาพูดอย่างขึงขัง “ข้ามาที่นี่เพราะต้องการความร่วมมือจากท่าน ในการทำภารกิจบางอย่างที่นายเหนือหัวข้ามอบให้”
“เช่นนั้นท่านจงบอกมาว่าท่านอยากให้ข้าช่วยในสิ่งใด เพราะเครื่องรางของท่านมันทำให้ข้าอ่านความคิดท่านไม่ได้” อรัญญาณีตอบกลับไปด้วยเสียงอันอ่อนโยน แต่ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจบางอย่าง “แต่ข้าขอบอกท่านไว้ก่อนว่านายเหนือหัวของท่านไม่ได้มีอำนาจเหนือดินแดนของข้า และข้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำขอนั้นถ้าหากว่ามันไม่สมควร”
“ข้าต้องการตัวผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าได้รับรายงานว่านางร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า แล้วเข้ามายังอาณาเขตของท่าน” ร่างยักษ์ที่กำลังกอดอกออกเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าต้องการให้ท่านช่วยหาตัวนางให้พบ เพื่อข้าจะได้นำนางไปถวายนายเหนือหัวของข้า”
“แล้วนายของท่านจะเอานางไปทำอะไรงั้นรึ?” อรัญญาณีเอ่ยถามพลางอ้อมไปอยู่ด้านหลังมนุษย์ตัวเขียว แล้วชำเลืองมองมาทางฉันแวบหนึ่ง เหมือนจะบอกเป็นนัยว่ามันกำลังพูดถึงฉัน
“ข้ามีเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ที่นี่ เพราะเรื่องนี้เป็นภารกิจลับ โปรดนำข้าไปคุยกันในที่ที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ด้วย” ร่างที่มีกล้ามใหญ่โตผิดมนุษย์หันไปส่งสัญญาณบางอย่างกับช้างบินสีทอง แล้วมันก็ทิ้งตัวลงจากกิ่งไม้ยักษ์ ก่อนจะโผบินขึ้นไปในอากาศ
“เช่นนั้นท่านจงตามเข้ามาในที่รับรองแขกของข้า” สาวงามผู้เสียบผมด้วยดอกไม้สีม่วงเอ่ยขึ้น พลางเดินนำหน้าร่างยักษ์เข้ามาในโพรงที่ฉันกับอีกสามคนยืนสงบนิ่งอยู่
แล้วอรัญญาณีก็พาเจ้าของร่างกายมโหฬารผิดมนุษย์เข้ามาในโพรง มันเดินผ่านฉันไปอย่างไม่แยแส แล้วนั่งลงบนพรมสีเขียวที่ปูกลางห้อง ก่อนที่อรัญญาณีจะหันมาออกคำสั่งกับฉันและอีกสามคนที่ยืนรออยู่
“พวกผู้ชายไปเอาชามาให้แขกของข้า พวกผู้หญิงจงมาปรนนิบัติพวกข้า”
สิ้นเสียงสั่งของหญิงสาว ชายหนุ่มทั้งสองก็เดินกลับเข้าโพรงไป ส่วนสองเท้าของฉันก็พาตัวเองเคลื่อนที่ไปอยู่ด้านหลังของมนุษย์ตัวเขียวที่ขัดสมาธิบนพรมผืนเดียวกับอรัญญาณี ก่อนที่สองมือของฉันที่ถูกอะไรบางอย่างควบคุมจะค่อยๆ ขยับไปสัมผัสกับไหล่ของเขา และ บรรจงบีบนวดลงไปบนกล้ามเนื้อกำยำ ราวกับว่าฉันเป็นคนรับใช้ที่เจ้านายเรียกมานวดเฟ้น! ทั้งที่ในใจของฉันอยากจะออกห่างเจ้านี่ออกไปให้ไกลที่สุด!
“ผู้คนด้านนอกจะไม่เห็นและไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรในโพรงนี้ และไม่มีใครเข้ามาได้หากข้าไม่อนุญาต ดังนั้นท่านจงแจ้งแก่ข้ามาเถิด ว่านางเป็นใคร และพวกท่านต้องการนางไปเพื่ออะไร?” อรัญญาณีเอ่ยถามขึ้นมา หลังจากที่พวกผู้ชายไปชงชาในออกมารินให้กับเธอและร่างยักษ์ แล้ววางกาน้ำไว้ระหว่างทั้งคู่ จากนั้นก็ถอยไปยืนมุมห้อง
“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกท่าน!”
“แล้วทำไมจึงต้องการเจรจากันเป็นส่วนตัวกับข้าด้วยเล่า? ในเมื่อท่านไม่ยอมบอกรายละเอียดของสิ่งที่ตนเองต้องการมาอยู่ดี” อรัญญาณีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหมือนสงสัยเสียเต็มประดา
“เพราะข้าจะบอกว่าพวกเรามีวิทยาการก้าวหน้ากว่าที่ท่านคิด พวกเรารู้ว่าท่านเอานางเข้ามาอยู่ในโพรงนี้ ดังนั้นท่านจงมอบนางมาให้เราแต่โดยดี! แล้วเราจะได้ไม่ต้องผิดใจกัน!” ชายกล้ามโตเปล่งเสียงดังลั่น ก่อนที่จะส่งถ้วยชาคืนให้หญิงสาว โดยไม่ได้ดื่มไปเลยแม้แต่น้อย
“ตายแล้ว! เป็นผู้ชายตัวใหญ่ แล้วคิดจะใช้กำลังข่มขู่ผู้หญิงงั้นเหรอ?” อรัญญาณีตอบด้วยน้ำเสียงยียวนเล็กน้อย และเนื่องจากฉันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอพอดี จึงเห็นได้ว่าสีหน้าของเธอนั้นไม่ได้ฉายความหวาดกลัวเจ้าคนร่างใหญ่นี่เลยสักนิด
“แต่ข้าจะบอกท่านไว้ว่าในโพรงนี้ไม่มีคงใครที่ท่านต้องการ ท่านก็เห็นแค่ข้ากับหุ่นพยนต์ตุ๊กตาดินที่ข้าสร้างไว้แก้เหงาพวกนี้ ถ้ามีผู้อื่นอยู่จริงท่านก็ต้องได้กลิ่นหรือสัมผัสได้แล้วสิ”
ฉันไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของพวกเขาสักเท่าไร แต่ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วว่า เธอทำให้ฉันมีลักษณะและท่าทางที่คล้ายกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าหุ่นพยนต์ตุ๊กตาดิน เพื่อที่จะรอดพ้นจากสายตาของมนุษย์ตัวเขียวที่กำลังตามหาฉัน แต่มนุษย์ตัวเขียวนั่นจะตามหาฉันไปเพื่ออะไรกันล่ะ?
“อย่ามาโกหกกันให้ยาก! พวกข้ารู้ดีว่านางอยู่นอกโพรงนี้จนถึงเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน เจ้าจะมาทำไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไรกัน! จะบอกมาดี ๆ หรือจะให้ข้าใช้กำลังบังคับ?!” มนุษย์ตัวเขียวเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกหญิงสาว พลางเกร็งกล้ามเนื้อจนฉันที่กำลังบีบนวดไหล่รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่อยู่ได้ผิวหนังของมัน กล้ามเนื้อที่ใหญ่และแข็งแรงจนฉันเชื่อว่าอาจจะต่อยวัวควายล้มได้อย่างไม่ยาก!
ถ้าเกิดว่าหญิงสาวอย่างอรัญญาณียังคงพูดจาเล่นลิ้นกับมันอยู่แบบนี้ คงโดนมันฆ่าตายแน่ๆ!
“เด็กๆ หลบไปหน่อย” อรัญญาณีกล่าวขึ้นมา ก่อนที่ร่างกายของฉันและพวกคนที่ถูกเรียกว่าตุ๊กตาดิน จะค่อยๆ พากันเดินเรียงแถวกันไปอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องในโพรงใหญ่ แล้วหันหน้าไปหาพรมที่อรัญญาณีกับเจ้านักกล้ามนั่นกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
“อาการแบบนี้ แปลว่าเจ้าอยากจะลองดีกับข้าใช่ไหม? เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!” เจ้าตัวเขียวกล่าวพลางลุกขึ้นยืน แล้วทุบกำปั้นลงไปยังศีรษะของหญิงสาวผู้ห่มสไบเขียวอย่างรวดเร็ว!
โครม!
เสียงอะไรบางอย่างกระแทกกันอย่างรุนแรงดังขึ้น จนฉันแทบอยากเบือนหน้าหนีเนื่องจากไม่อยากจะเห็นผลลัพธ์ที่หมัดของนักกล้ามกระแทกศีรษะสาวงามจนแหลกเละ แต่ว่าฉันในตอนนี้ถูกควบคุมร่างกายอยู่ จึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้! จึงต้องมองภาพเหตุการณ์นั้นด้วยสองตา และนั่นก็ทำเอาฉันต้องตกตะลึงจนอยากจะร้องออกมาดังๆ กับภาพที่เห็น...
เพราะอรัญญาณีเพียงแค่นำมือมาประนมแล้วพึมพำอะไรบางอย่าง เจ้ามนุษย์ตัวเขียวนั่นก็ปลิวกระเด็นอย่างแรงราวกับโดนไดโนเสาร์ฟาดหางใส่ ก่อนที่มันจะปลิวกระเด็นไปอย่างรุนแรงจนออกนอกโพรงไป!
หญิงสาวนัยน์ตากลมหายใจหอบ ก่อนที่เธอจะหมุนนิ้วชี้เบาๆ แล้วชี้มาทางฉัน หลังจากนั้นก็ทำสัญญาณมืออะไรบางอย่างกับพวกที่ถูกเรียกว่าตุ๊กตาดิน
พวกที่ถูกเรียกว่าตุ๊กตาดินทั้งหลายค่อยๆ เดินเข้าไปในโพรงไม้ที่พวกเขาเดินจากมาในก่อนหน้านี้จนหายลับไปจากสายตา ทิ้งให้ฉันอยู่กับอรัญญาณีเพียงแค่สองคนเท่านั้น...
หญิงสาวผู้ห่มสไบเขียวเรียกคนโทสีเงินออกมา ก่อนที่จะเทน้ำในคนโทลงไปในถ้วยชาแล้วดื่มจนหมดเกลี้ยง แล้วเริ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอโทษนะ สาวน้อย ที่ต้องบังคับร่างกายของเธอแบบนั้น แถมยังทำอะไรน่าตกใจต่อหน้าเธออีก”
“ม... ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฉันพูดตอบเธอเมื่อร่างกายของตัวเองเริ่มกลับมาขยับตามใจคิดได้แล้ว ถึงแม้ว่ากลิ่นร่างกายฉันจะเป็นกลิ่นดินอยู่ก็ตามที “ว่าแต่คุณนีไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม? แล้วเจ้านั่นจะกลับมาอีกหรือเปล่า?”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แล้วเจ้านั่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใกล้อาณาเขตของฉันอีกต่อไปแล้วด้วย” เธอรับคำก่อนที่จะชี้พื้นที่บนพรมซึ่งว่างอยู่เพื่อเชื้อเชิญให้ฉันเดินไปนั่ง ซึ่งฉันเองก็เดินกระโผลกกระเผลกไปนั่งที่พรมนั้นอย่างที่เธอต้องการ ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ? แล้วเจ้าตัวเขียวเมื่อกี้มาที่นี่ทำไมกัน? แล้วคนที่มันกำลังตามหาอยู่คือฉันใช่ไหมคะ? แล้ว...” ฉันยิงคำถามออกมายังไม่ทันจบเธอก็ทำสัญญาณมือให้เงียบเสียก่อน จากนั้นเธอก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอันนุ่มนวล
“เก็บคำถามพวกนั้นไปก่อนดีกว่านะ เพราะดูเหมือนคำถามที่เธอถามฉันเมื่อคราวก่อนฉันยังตอบเธอไม่หมดเลยนี่นา” เธอกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร “แถมยังมีคำถามอีกหลายอย่างที่เธอกำลังสงสัยอยู่ก่อนหน้านั้นแต่ไม่ได้ถามออกมาด้วยนี่นา ฉันจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังทีเดียวตอนนี้เลยแล้วกัน ดีไหมสาวน้อย?”
“ก็ดีเลยค่ะ” ฉันตอบอย่างตื่นเต้น เพราะจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับฉันและเพื่อนๆ ว่าตั้งแต่ตกน้ำมาเจอหมู่บ้านของเอื้องคำมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกฉันกันแน่ แล้วฉันจะพาเพื่อนๆ กลับไปที่ที่จากมากได้ด้วยวิธีไหน แล้วเจ้านางที่เอื้องคำพูดถึงจะเป็นอรัญญาณีหรือเปล่า?
“ฉันจะเริ่มอธิบายตั้งแต่สถานที่ที่เธอกำลังอยู่ก่อนแล้วกันนะ” เธอกล่าวพลางรินน้ำชาจากในกา แล้วยื่นมันมาให้กับฉัน
“อันดับแรกก็ขอให้เธอเข้าใจก่อนนะว่า ดินแดนที่เธอกำลังอยู่นั้น มันเป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่อยู่ต่างภพต่างมิติกับโลกที่เธอจากมา และมันก็มีอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์มากกว่าที่เธอเคยพบเห็นมาในความทรงจำที่มีเลยทีเดียว”
“ต่างมิติ?” ฉันทวนคำอย่างประหลาดใจ นี่หมายความว่าสถานที่ที่ฉันกำลังอยู่นี่ไม่ใช่โลกของฉันงั้นเหรอ? มันถึงได้มีอะไรประหลาดๆ มามากมายขนาดนี้ ตั้งแต่ช้างบิน นกยักษ์ที่กินช้างเป็นอาหาร หรือจะเจ้านักกล้ามตัวเขียวเมื่อครู่! นี่ฉันทะลุผ่านมิติมาเจอแดนพิศวงเข้าให้แล้ว!
“ใช่... เธอมายังภพนี้ได้ผ่านทางถ้ำซึ่งมีการบิดเบี้ยวของมิติ ที่พวกเธอเรียกว่าถ้ำอาถรรพ์ เนื่องจากไม่มีใครที่เข้าแล้วกลับออกมาได้ สาเหตุเป็นเพราะภายในถ้ำนั้นมีการบิดเบี้ยวของมิติเกิดขึ้น จนทำให้ทุกสิ่งที่เข้าไปในถ้ำถูกส่งมาทางมิตินี้ไงล่ะ”
“งั้นก็หมายความว่าเพื่อนของฉันเองก็ถูกส่งมายังที่ภพนี้เหมือนกันใช่ไหมคะ?! แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง?” ฉันถามอย่างกระวนกระวาย ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนๆ ฉันโชคดีที่ตกมาเจอฝูงช้างบิน แล้วร่วงลงมาเจออรัญญาณี แล้วคนอื่นเขาจะโชคดีแบบฉันกันหรือเปล่านะ?
“ใจเย็นก่อนเถอะแม่หนู เพื่อนเธอทุกคนถูกส่งมายังที่นี่อย่างแน่นอน แต่ว่า... ฉันไม่รู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ของพวกเขาเลยน่ะสิ” อรัญญาณีตอบขึ้นมาพลางถอนใจเล็กน้อยด้วยความกังวล แต่คำตอบนั้นมันทำเอาฉันกังวลมากกว่าเธอเป็นล้านเท่า!
