บทที่ 10 สิ่งที่เคยได้ยินเพียงแค่ตำนาน
บทที่ 10 สิ่งที่เคยได้ยินเพียงแค่ตำนาน
“ไม่รู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ของพวกเขา? หมายความว่าไงกันคะ? หรือว่า...” ฉันถามอย่างกระวนกระวาย เมื่อคิดไปว่าเพื่อนของฉันทุกคนจะตายกันไปหมดแล้ว...
“ใจเย็นก่อนแม่หนู ฉันรู้ดีว่าเธอจะพูดอะไรต่อ แต่มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เธอคิดก็ได้” หญิงสาวกล่าวพลางใช้ดวงตาคู่งามมองมาที่ฉัน
“ที่ฉันจะพูดก็คือ... ฉันมีความสามารถที่จะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ และอารมณ์ของสิ่งต่างๆ ได้ในรัศมีหนึ่งโยชน์ ถ้าเรียกให้เข้าใจง่ายหน่อยก็รัศมีสิบหกกิโลเมตร ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าเพื่อนของเธอไม่ตายกันหมดแล้วล่ะก็ พวกเขาจะต้องอยู่นอกรัศมีการรับรู้ของฉันแน่นอน”
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วยิ้มดีใจขึ้นมาด้วยความดีใจในทันทีที่ได้ยินเธอพูดจบ และฉันก็ขอภาวนาให้มันเป็นแบบหลัง
“เอ่อ... แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนกันล่ะคะ? คุณนีพอจะรู้ไหม?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่เก่งพอที่จะรู้เหมือนกัน เพราะช่องว่างระหว่างมิติส่งพวกเธอมาบนท้องฟ้านอกอาณาเขตของฉัน แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกมนุษย์แบบพวกเพื่อนของเธอนั้นจะรอดมาจากการตกจากความสูงขนาดนั้นได้ไหม หรือถ้าบังเอิญรอดมาได้จริงๆ พวกเขาจะเจออะไรกันบ้าง” อรัญญาณีกล่าวพลางถอนใจออกมาด้วยความกังวลพลางส่ายหัวช้า ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอเองก็จนปัญญาเหมือนกันกับเรื่องนี้
“แล้วคุณนีเสกพวกเครื่องบินหรืออุปกรณ์ติดตามตัวคนไม่ได้เหรอคะ? ฉันเห็นคุณนีเสกนั่นเสกนี่ออกมาตั้งเยอะตั้งแยะ”
“เข้าใจผิดแล้วสาวน้อย” อรัญญาณีกล่าวขึ้นมา พลางมองไปยังคนโทและกาน้ำชา แล้วอธิบายออกมาด้วยเสียงอันไพเราะ
“สิ่งของพวกนี้เป็นสิ่งที่ฉันได้ทำพันธสัญญากันพวกมัน และเก็บเอาไว้ในคลังส่วนตัว ทุกครั้งที่อยากจะใช้อะไร ฉันเพียงแค่เรียกของในห้องที่เก็บพวกมันเอาไว้ออกมาต่างหาก แล้วที่มันหายไปจากสายตาเธอมันก็ไม่ได้หายไปไหน แค่เพียงกลับไปอยู่ในห้องนั้นตามเดิมก็เท่านั้นเอง”
“ทำไมเรื่องแบบนั้นฟังดูเหมือนง่ายจังเลยล่ะคะ? แล้วฉันจะทำแบบคุณได้หรือเปล่า หรือว่าต้องเป็นผู้วิเศษแบบคุณนีเท่านั้น ถึงจะทำได้?” ฉันถามด้วยความสนใจ เพราะหวังว่าตนเองจะทำแบบนั้นได้บ้าง แล้วความสามารถนี้ก็อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเพื่อนๆ ของฉันกลับบ้าน
“ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษอะไรอย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะ ความจริงแล้วสิ่งที่เธอเห็นในว่าฉันทำวันนี้หลายอย่าง ไม่ว่าจะพลังพลังในการรักษา อ่านความคิด ดูภาพความทรงจำ หรือเรียกสิ่งของออกมา สำหรับพวกฉันแล้วเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า แทบจะเป็นปกติในกิจวัตรประจำวันเลยล่ะ”” อรัญญาณีกล่าวพลางส่ายหัวช้าๆ แล้วอมยิ้มเหมือนขบขันเสียเต็มประดา
“พวกฉัน? คุณนี้หมายความว่าทุกคนที่อยู่ในมิตินี้ ทำเรื่องที่คุณนีพูดไปได้ทุกคนงั้นเหรอคะ?”
“ไม่ใช่ทุกคนหรอก เพราะหลายเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้สนใจจะฝึกบางสิ่งบางอย่าง แต่ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์ของฉัน จะทำสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่ได้ทุกคนนั่นแหละ”
“บางเผ่าพันธุ์? หมายความว่าในมิตินี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์แบบคุณนีกับเจ้าตัวเขียวเมื่อกี้งั้นเหรอคะ?”
“อะไรกันสาวน้อย ฉันไม่เคยพูดสักคำเลยนะ ว่าฉันเป็นมนุษย์” หญิงสาวผู้มีดวงหน้ากลมตอบพลางยิ้มให้ ทำเอาฉันต้องนิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็นึกถึงคำพูดของคุณนีเมื่อไม่นานนี้ขึ้นมาได้
“ฉันก็เป็นเหมือนแม่หนูเอื้องคำที่เธอเคยเจอมาน่ะแหละ แต่ระดับสูงกว่าแม่หนูนั่นอยู่พอสมควร แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกใจไม้ไส้ระกำชนิดที่เห็นคนจะตายตรงหน้าแล้วไม่ช่วยหรอกนะ”
“หมายความว่าคุณนีกับเอื้องคำเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันงั้นเหรอคะ? ป... แปลว่าคุณนีเป็นผีเหมือนกับเอื้องคำงั้นเหรอเนี่ย...” ฉันพูดออกไปด้วยความสะพรึงกลัว แล้วนั่นก็ทำให้คุณนีต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เข้าใจผิดแล้วสาวน้อย พวกฉันไม่ใช่ผีสักหน่อย”
“ถ... ถ้าไม่ใช่ผี แล้วเอื้องคำกับคุณนีเป็นอะไรกันคะ?”
“อืม... เธอชอบอ่านนิทานหรือวรรณคดีสินะ? แถมยังชอบการดนตรีและนาฏศิลป์ด้วยสินะ…” อรัญญาณีเปลี่ยนเรื่องพลางยิ้มน้อยๆ แล้วมองฉันเหมือนผู้ใหญ่กำลังเอ็นดูเด็กไร้เดียงสา “พวกเราเองก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบในการดนตรีและนาฏศิลป์เช่นเดียวกับเธอ”
“เรื่องราวของพวกเรามีอยู่ในวรรณคดีหลายเรื่องที่เธอเคยอ่าน มีอยู่ในนิทานจำนวนไม่น้อยที่เธอเคยฟัง เธอเองก็คงจะเคยได้ยินเรื่องราวตำนานของพวกมนุษย์ ที่กล่าวถึงพวกเราอยู่ไม่ใช่น้อยเลยล่ะ โดยเฉพาะคนที่สนใจในดนตรีและนาฏศิลป์แบบเธอ”
“หรือว่าเอื้องคำกับคุณเป็น....” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกักเมื่อพอจะคาดเดาคำตอบของคำถามได้
“ใช่แล้ว เธอเข้าใจไม่ผิดหรอก” หญิงสาวผิวขาวนวลกล่าวตอบอย่างนุ่มนวล ก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูเรื่อๆ ของเธอจะปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“พวกเรามีทั้งระดับล่างที่อาศัยอยู่บนโลกของเธอ ในฐานะเจ้าแห่งภูตในป่าแถบนั้น ที่พวกคนโลกนั้นเรียกกันว่านางไม้ประเภทหนึ่งจากอีกหลายประเภท แบบแม่หนูเอื้องคำ หรือระดับกลางแบบฉันที่อาศัยในดินแดนแห่งนี้ และยังมีพวกระดับสูงอย่างพวกที่อาศัยกันในที่ที่พวกเธอเรียกกันว่าสวรรค์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระดับไหน พวกเราก็ล้วนแต่หลงใหลในสิ่งบันเทิงและชื่นชอบในอิสระเสรีกันทั้งนั้น... ใช่แล้วล่ะ ฉันกับแม่หนูเอื้องคำนั่นล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์...”
“คนธรรพ์ หรือว่าอัปสร งั้นเหรอคะ?”
“ฉันเป็นธิดาคนธรรพ์ผู้ดูแลป่าแถบนี้รุ่นก่อนจ้ะ นับว่าเป็นเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ก็ได้” อรัญญาณีเฉลย ทำเอาร่างกายของฉันในตอนนี้มันสั่นไปหมดด้วยอารมณ์ที่ฉันไม่ทราบว่ามันจะเป็นอารมณ์หวาดกลัว ตื่นเต้น ดีใจ หรือว่าตกใจ เมื่อตัวเองก็มานั่งอยู่ตรงหน้าของสิ่งที่อยู่ในตำนานที่พ่อแม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งยังเด็ก!
“แต่เท่าที่ฉันรู้มา พวกคุณเป็นภูตหรือเทวดานี่นา! ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็น่าจะแตะตัวคุณนีหรือยัยเอื้องไม่...”
“แล้วเธอตบหนูเอื้องคำโดนไหมล่ะ?” อรัญญาณีพูดพลางยิ้มแล้วมองมาด้วยสายตาเอ็นดู
“ตามความรู้ของฉันที่นิยามผ่านคำศัพท์อันเธอพอจะเข้าใจแล้ว ถ้าอยู่ในโลกนั้น พวกเราจะอยู่ในสถานะอทิสมานกาย ที่พวกเธอเรียกว่ากายละเอียด เป็นพลังงานอีกรูปแบบซึ่งดวงตาของทิสมานกาย หรือที่พวกเธอเรียกว่ากายหยาบ แบบพวกเธอส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักจะมองไม่เห็น และสัมผัสพวกเราไม่ได้ นอกจากจะเป็นผู้ที่มีความผูกพันหรือเกี่ยวข้องกันจริง ๆ จึงทำให้เรื่องราวของพวกเราเป็นเพียงแค่ตำนานสำหรับพวกเธอไป”
“แต่ในดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนพิเศษ ทุกเผ่าพันธุ์ใต้ระดับดาวดึงส์พิภพที่มาอยู่ในนี้จะมีสถานะจะสามารถมองเห็นและจับต้องกันได้เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นเธอในตอนนี้ รวมทั้งเพื่อนๆ ของเธอที่อาจจะยังมีชีวิตอยู่ ตัวฉัน หรือสิ่งต่างๆ ในมิตินี้ก็มองเห็นและสัมผัสกันได้ แบบที่เธอรับรู้ถึงการมีอยู่ของฉันหรือเจ้ายักษ์นั่นเหมือนเห็นคนปกติได้ยังไงล่ะ”
ฉันนั่งนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เหมือนกับความฝัน แต่ฉันก็เริ่มสงสัยว่าเมื่อมีสภาพไม่ต่างจากภูตผีเทวดาแบบนี้แล้ว ถ้ากลับไปที่โลกของพวกเรา มันจะกลับเป็นร่างกายปกติที่คนอื่นสามารถมองเห็นและจับต้องได้ไหม หรือว่าจะต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนกันแน่...
ระหว่างที่ฉันกำลังครุ่นคิดหนัก อรัญญาณีก็ทำให้คนโทและกาน้ำชาหายไปจากตรงนั้น พลางหันมาส่งรอยยิ้มที่แฝงความรู้สึกแต่แล้วฉันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เอ่อ... จะว่าไปแล้ว คุณนีรู้จักเจ้านางที่เอื้องคำบอกกับฉันหรือเปล่าคะ? หรือว่าคุณนีคือเจ้านางที่เอื้องคำพูดถึง?” ฉันถามถึงบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังโชคร้ายทั้งหมดของฉัน เพราะถ้าเป็นไปตามที่เอื้องคำบอกล่ะก็ ฉันจะได้กลับไปที่นั่นโดยปลอดภัย ซึ่งน่าจะหมายถึงกลับไปได้ในสภาพมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อได้พบกับเจ้านาง
“ฉันไม่ใช่เจ้านางที่เธอต้องการจะพบนักหรอก แต่ฉันก็รู้ดีว่าเธอพูดถึงใครอยู่” เธอตอบพลางยิ้มให้อย่างมีความหมายบางอย่างแอบแฝง “แล้วเธอก็คิดไว้ไม่ผิดนัก เพราะเจ้านางที่เอื้องคำพูดถึงจะเป็นคนกำหนดเองว่าเธอจะได้กลับไปที่โลกที่เธอจากมาได้หรือไม่ และจะได้กลับในสภาพไหน ดังนั้นถ้าเธออยากจะกลับไปโดยปลอดภัย ก็คงต้องไปพบกับคนที่เอื้องคำเรียกว่าเจ้านางเท่านั้น”
“แล้วเจ้านางที่ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหนกันเหรอคะ? คุณนีพาฉันไปพบกับเขาได้ไหม?”
“ฉันคิดว่าไม่บอกเธอเรื่องเจ้านางที่แม่หนูเอื้องคำพูดถึงจะดีกว่า แต่ว่าฉันจะพาเธอไปยังที่ที่สามารถพบเจ้านางได้ในวันรุ่งขึ้นเอง” อรัญญาณีตอบกลับมา แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ถามว่าเพราะอะไรเธอจึงไม่อยากบอกเรื่องเจ้านาง หญิงสาวที่มีผ้าแถบสีม่วงพันรอบอกก็เดินออกมาจากโพรงหนึ่งในห้อง พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ไร้ชีวิตชีวา
“นายหญิงเจ้าคะ มีการติดต่อมาทางกระจกวิเศษเจ้าค่ะ”
“กลับไปบอกอีกฟากของกระจกด้วยว่าฉันกำลังจะไป” อรัญญาณีบอกกับหญิงสาวที่เธอเรียกว่าตุ๊กตาดิน จากนั้นร่างสีผิวเหมือนดินจะเดินกลับเข้าไปในโพรง แล้วหญิงสาวผู้ห่มสไบเขียวก็จ้องมองฉันด้วยสายตาเอ็นดู
“วันนี้เราคงคุยกันได้เท่านี้ เพราะมีเพื่อนของฉันติดต่อมาผ่านทางกระจกวิเศษ แล้วฉันก็คงจะต้องคุยกับเขาอีกนานพอตัว” หญิงสาวกล่าวพลางยันกายลุกขึ้นยืน แล้วผายมือไปยังโพรงที่ด้านหนึ่งของห้อง “เธอจงเดินเข้าไปในโพรงนั้น จะมีห้องพักสำหรับเธออยู่ พักผ่อนตามสบายเถิด แล้วพบกันอีกในวันรุ่งขึ้น”
“แล้วกระจกวิเศษที่ว่านี่ มันคืออะไรกันเหรอคะ?”
“คงคล้ายกับโทรศัพท์ในโลกที่เธอจากมา แต่ว่าเราสามารถสนทนากันแบบเห็นหน้าของอีกฝ่ายได้น่ะ” หญิงสาวผู้ห่มสไบพูดพลางส่งสายตาบอกกับฉันว่าควรจะแยกกันตรงนี้ แต่ฉันยังมีบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่
“ขอถามอะไรอีกสักอย่างหน่อยสิคะ คำถามสุดท้ายแล้ว” ฉันบอกกับเธอเพราะตัวเองมีคำถามสำคัญมากอีกคำถามหนึ่งที่อยากจะถามมาตั้งแต่แรก และฉันควรจะรู้ให้ได้ เพื่อที่จะไม่ต้องไปนอนค้างคาใจในคืนนี้
“แล้วฉันจะตามหาเพื่อนๆ ของฉันได้ยังไงกันคะ? ฉันตั้งใจเข้าถ้ำอาถรรพ์จนทะลุมาที่มิตินี้ก็เพราะอยากจะพาเพื่อนกลับไป ถ้าเจอเจ้านางอะไรนั่นแล้วกลับไปโลกมนุษย์ได้ แต่ถ้าไม่เจอใครก่อนหน้านั้นก็ไม่มีความหมายไม่ใช่เหรอคะ?”
“เธอจำที่ฉันบอกได้หรือเปล่า? ว่าฉันยังไม่เก่งพอที่จะรู้ความเป็นไปของเพื่อนเธอได้” อรัญญาณีถามขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มเอ็นดูให้ แล้วนั่นมันก็ทำให้ฉันคิดอะไรออก
“นั่นหมายความว่า มีคนที่เก่งพอจะรู้ความเป็นไปของเพื่อนฉันได้ใช่ไหมคะ?” ฉันถามอย่างมีความหวัง เพราะในเมื่อเธอบอกเองว่าตัวเองยังไม่เก่งพอ นั่นก็หมายความว่าเธอรู้จักคนที่เก่งกว่าและทำเรื่องต่างๆ ที่เธอยังทำไม่ได้แน่ๆ!
