บทที่ 8 หญิงสาวที่ต้นไม้ยักษ์
บทที่ 8 หญิงสาวที่ต้นไม้ยักษ์
ฉันไม่รู้ว่าร่างนั้นจะมาดีหรือร้าย จึงพยายามส่งเสียงถามออกไป แต่คอและอวัยวะในการออกเสียงของฉันคงได้รับบาดเจ็บ จนเปล่งเสียงออกมาเลยมาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว คำพูดของฉันจึงเป็นแค่การขยับปากพะงาบ ๆ
“ฉันชื่ออรัญญาณี จะเรียกสั้นๆ ว่านี แล้วฉันก็มาดีจ้ะ ไม่ต้องกลัวไป” เธอตอบด้วยเสียงหวานหูที่มีท่วงทำนองไพเราะอย่างประหลาด พลางส่งยิ้มมาให้กับเหมือนกับรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ในใจ แล้วย่อตัวลงแตะที่ศีรษะของฉันอย่างนุ่มนวล
ฉันไม่รู้ว่าเธอทำอะไรกับตัวเองกันแน่ แต่จู่ ๆ ภาพความทรงจำทั้งหมดที่เคยเจอก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของฉัน เรื่องราวตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ ทั้งเรื่องดีที่อยากจดจำ เรื่องร้ายที่อยากจะลืมเลือนก็พรั่งพรูเข้ามาในห้วงความคิด แต่ความทรงจำทั้งหลายก็ย้อนไปแค่ภาพเหตุการณ์เมื่อฉันอายุประมาณสิบสอง จนถึงก่อนจะตกมาที่นี่เท่านั้น... แต่นั่นก็ไม่แปลกเท่าไร เพราะฉันเองก็จำเรื่องราวก่อนหน้าที่ตัวเองจะอายุสิบสองไม่ได้เหมือนกัน...
แล้วภาพทั้งหมดก็หายไปเมื่อหญิงผู้ห่มสไบเขียวปล่อยมือออกจากศีรษะของฉัน ก่อนที่เธอจะประนมมือแล้วพึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันฟังไม่ถนัด จากนั้นก็ลูบไล้ไปตามร่างกายที่เละเทะจนแทบไม่เหลือความเป็นคนของฉัน
แรกทีเดียวฉันก็ไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไร แต่หลังจากนั้นราวสิบวินาทีฉันก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา เมื่อความเจ็บปวดทั้งหลายที่มีเริ่มเลือนหายไปจากร่างกายฉัน บาดแผลภายนอกที่เปิดกว้างก็ค่อยๆ สมานกันอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ซ้ำเลือดและหนองก็ยังหายไปเมื่อสัมผัสกับมือของเธอ! พอผ่านไปไม่ถึงนาที ทั้งเลือดและหนองที่เคยไหลออกมาท่วมกายก็พลันหายไปหมด เผยให้เห็นร่างที่มีเพียงแผลแห้งตกสะเก็ด ไม่มีส่วนที่เป็นแผลที่มีเลือดและหนองไหลออกมา หรือแผลที่เกิดจากหนังกำพร้าลอกจนเห็นเนื้อแดงอีกแล้ว!
หญิงสาวถอนมือที่ออกจากร่างของฉัน จากนั้นก็นั่งพับเพียบลงแล้วนำมือไปประสานกันที่ตักด้วยอาการสงบนิ่ง พลางสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ของมือขวาหมุนวนไปมาที่พื้นดิน แล้วคนโทสีเงินพร้อมจอกสีเดียวกันก็ปรากฏขึ้นมาจากพื้นตรงนั้นราวกับเล่นมายากล!
สาวงามนามอรัญญาณีหยิบคนโทมารินน้ำใส่จอกเงิน แล้วยกมันขึ้นจิบด้วยท่าทีมีมารยาท ก่อนจะวางมันลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล แล้วหันมาบอกกับฉันด้วยเสียงหวานที่มีท่วงทำนองไพเราะ
“ลองดื่มดูนะ จะได้ดีขึ้น” เธอกล่าวจบก็จับศีรษะของฉันขึ้นไปไว้บนตักของเธอ หลังจากนั้นก็กรอกน้ำจากคนโทเข้ามาในปากของฉันอย่างนุ่มนวล ราวกับแม่ป้อนนมลูก
น้ำเย็นๆ ที่ไหลรินผ่านริมฝีปากลงไปยังลำคออย่างช้า ๆ ทำเอาฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่ใช่แค่เพียงสดชื่นเพราะได้น้ำเท่านั้น แต่ดูเหมือนทั้งร่างกายมันจะสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาราวกับได้พักฟื้นและกินอาหารมาเต็มที่ ทั้งที่ความจริงแล้วฉันเพิ่งได้กินแค่น้ำจากคนโทนี้เท่านั้น
พอฉันเห็นว่าฉันเริ่มอาการดีขึ้น เธอก็เอาคนโทออกจากปากฉันไปวางข้างจอก จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ขวาหมุนวนรอบสิ่งที่ปรากฏออกมาเมื่อครู่ แล้วมันก็หายไปจากมือของเธอราวกับว่าไม่เคยมีคนโทกับจอกอยู่ตรงนั้นมาก่อน!
ทุกสิ่งทุกอย่างทีเธอทำมันทำให้ฉันพอสรุปได้ว่าถ้าเธอไม่ใช่นักมายากลก็คงเป็นผู้วิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย! หากไม่เคยเจอเอื้องคำกับคนประหลาดๆ แบบจักร แล้วก็ฝูงช้างบิน กับนกยักษ์รูปร่างแปลกๆ มาก่อน ฉันคงจะตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปแล้ว!
“รู้สึกดีขึ้นแล้วสินะ สาวน้อย” เธอพูดพลางใช้มือลูบไล้เส้นผมแห้งๆ ของฉันอย่างทะนุถนอม
“ค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ” ฉันตอบเธอกลับไป พลางจะพนมมือไหว้เธอตามวิสัยคนมารยาทดี แต่ว่ายังไม่ทันจะได้ทำก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาไปทั่วร่างกายเอาดื้อ ๆ!
หรือความจริงแล้วเธอวางยาพิษฉันกันล่ะเนี่ย?!
“อย่างระแวงไปเลยสาวน้อย ฉันไม่ได้วางยาพิษเธอหรอก” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ด้วยท่าทีราวกับว่าอ่านใจฉันได้ “ถึงจะห้ามเลือดให้เธอแล้วก็จริง แต่เหมือนร่างกายเธอยังมีกระดูกหักอยู่หลายแห่ง คงจะขยับไม่ได้ดังใจในตอนนี้หรอก รอให้ฉันรักษาเธอเพิ่มเติมก่อนนะ”
หญิงสาวผู้ห่มสไบเขียวจับที่ขาของฉันซึ่งบิดผิดรูปไปให้เข้าที่ด้วยมือเปล่า แล้วจับร่างกายของฉันให้นอนอยู่ในท่านอนหงายเหยียดยาว แขนสองข้างแนบลำตัว ฉันสงสัยเหลือเกินว่าเธอเป็นใคร ทำไมต้องมารักษาให้กับฉัน แล้วที่นี่มันคือที่ไหน ทว่าหญิงสาวกลับเอ่ยด้วยเสียงอันไพเราะก่อนที่ฉันจะได้ถาม
“ฉันก็เป็นเหมือนแม่หนูเอื้องคำที่เธอเคยเจอมาน่ะแหละ แต่ระดับสูงกว่าแม่หนูนั่นอยู่พอสมควร แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกใจไม้ไส้ระกำชนิดที่เห็นคนจะตายตรงหน้าแล้วไม่ช่วยหรอกนะ”
ฉันถึงกับตกตะลึงในคำตอบของเธอจนต้องนิ่งไปครู่ใหญ่! เพราะนอกจากเธอจะรู้ว่าฉันกำลังจะถามอะไรแล้ว ยังรู้แม้กระทั่งเรื่องเอื้องคำอีกด้วย! แล้วการที่เธอบอกว่าเป็นเหมือนกับเอื้องคำนั่นหมายความว่ายังไงกัน?
“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกสาวน้อย ที่ฉันรู้เรื่องแม่หนูคนนั้น เพราะดูความทรงจำทั้งหมดของเธอตอนที่สัมผัสศีรษะไปเมื่อครู่นี้นี่เอง” เธอบอกขึ้นมา ก่อนจะประนมมือแล้วพึมพำอะไรบางอย่างอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้ฉันไม่กล้าจะถามเธอต่อเพราะกลัวไปรบกวนสมาธิเข้า
หญิงสาวนำมือสองข้างวางเหนือร่างกายของฉัน จากนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานประหลาดพุ่งพล่านไปทั่วตัว ความเจ็บตรงขาของฉันที่เคยบิดผิดรูป และส่วนอื่นที่ปวดระบมเหมือนกระดูกแตกร้าวก็พลันทุเลาลง ซ้ำแผลสะเก็ดแผลก็พลันหลุดร่วงออกจากร่างจนเหลือเพียงแค่รองรอยแผลเป็นเท่านั้น
“ตอนนี้กระดูก เส้นเอ็น และอวัยวะภายในของเธอถูกฟื้นฟูขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว พักผ่อนอีกสักคืนหนึ่งก็คงจะหายดีเอง” เธอกล่าวพลางปล่อยมือจากฉัน แล้วหมุนนิ้วชี้กับพื้นดิน ก่อนที่กระจกบานหนึ่งจะปรากฏขึ้นมา “จะลองดูสภาพของตัวเองหน่อยไหม?”
“เอ่อ... ค่ะ” ฉันรับคำทั้งที่ยังสงสัยว่ากระจกบานนั้นออกมาจากไหน ก่อนที่เธอจะเอากระจกมาส่องหน้าให้ฉัน ทำให้มองเห็นสภาพร่างกายของตัวเองในปัจจุบัน
ใบหน้าที่ฉันเห็นในกระจกเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่ใบหน้าซีกซ้ายของเธอมีรอยแผลเป็นที่กินเนื้อที่เกือบครึ่งหน้า ผมของแห้งและฟูเป็นกระเซิง ถ้านัยน์ตาคมบนจมูกที่แทบไม่เห็นดั้งนั้นไม่ได้มองกลับมาล่ะก็ ฉันจะไม่เชื่อเลยว่าเด็กสาวในกระจกนั่นคือตัวเอง!
“เอ่อ... หน้าตาของฉัน... จะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหมคะ” ฉันรีบร้อนถามหญิงสาวด้วยความเป็นกังวล แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของฉัน เพราะจู่ ๆ เธอก็สะดุ้งเหมือนกำลังตกใจกับบางสิ่งบางอย่าง ก่อนที่จะหันมาบอกกับฉันด้วยท่าทางร้อนรนไปกว่าทุกที
“เข้าไปในนั้นก่อน เร็ว! แล้วห้ามออกมาจนกว่าฉันจะบอก!” เธอพูดพลางชี้มือไปยังอีกทิศหนึ่ง แล้วเมื่อฉันหันไปมองก็พบว่ามันเป็นปากโพรงขนาดใหญ่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สังเกตรอบบริเวณอย่างถนัดตา ทำให้ฉันพบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนกิ่งขนาดพอกับถนนสองเลนของต้นไม้ขนาดยักษ์!
ฉันพยายามจะถามว่าเพราะอะไร แต่อรัญญาณีก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังท้องฟ้ายามราตรีด้วยท่าเคร่งเครียดกว่าที่เคยเป็น ฉันจึงรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปในโพรงต้นไม้ยักษ์ที่ดำมืดนั่น แม้จะเดินกระโผลกกระเผลกอยู่บ้างก็ตามที
แล้วเมื่อก้าวเข้าไปฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าในโพรงนั้นมีแสงสว่างจากโคมไฟสีเงินห้อยระย้าอยู่บนเพดานของโพรง แสงนั้นสว่างมากจนทำให้ฉันเห็นว่าโพรงนี้มีขนาดกว้างราวกับห้องโถงขนาดใหญ่ ซ้ำยังมีเครื่องเรือนไม้ที่แกะสลักเป็นลวดลายแปลกตาจัดวางไว้อย่างมีระเบียบ แล้วก็มีโพรงเล็กๆ อยู่ในห้องกว้างนี่อีกหลายโพรง แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจึงมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่ด้านนอกนั่น
ฉันรู้สึกประหลาดใจได้ไม่นานนัก สายตาของฉันเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากโพรงหนึ่งในห้องนี้ พวกเขาสองคนเป็นชายหนุ่มสองคนที่มีผิวดำการกับสีของตุ๊กตาดินเหนียวที่ยังไม่ทาสี ท่อนบนไม่สวมอาภรณ์ใด ๆ ท่อนล่างนุ่งผ้าสีม่วงเป็นโจงกระเบน ในของคนหนึ่งถือคนโทสีดำ มืออีกคนถือหม้อดิน ส่วนอีกคนที่เดินออกมาเป็นหญิงสาวที่มีผมฟูและสีมีผิวเดียวกับชายหนุ่ม เธอห่มผ้าแถบและนุ่งโจงกระเบนสีม่วง ในมือของเธอถือถาดที่ใส่ผ้าสีสองผืนซึ่งมีสีเหมือนกับที่เธอสวม
“เอ่อ... สวัสดีจ้ะทุกคน” ฉันพยายามจะทักทายพวกเขา แต่ไม่มีใครสนใจที่จะพูดกับฉันเลยแม้แต่น้อย ทั้งสามเดินมีท่าเหมือนไร้สติ นัยน์ตาของพวกเขาว่างเปล่าและมองตรงไปด้านหน้าเพียงอย่างเดียว เหมือนกับคนที่เหม่อลอย ไม่ก็ไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง
“ได้ยินฉันหรือเปล่า?” ฉันพูดพลางเอามือไปบังตาชายหนุ่มที่ถือหม้อดิน แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้รับคำตอบ เขาชูหม้อดินขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนที่จะเทของเหลวสีดำในหม้อนั้นลงมายังร่างกายของฉัน!
“ว้าย! นี่ทำอะไรของคุณน่ะ” ฉันโพล่งออกมาเมื่อน้ำสีดำที่กลิ่นเหม็นเหมือนโคลนตมรดผ่านร่างกาย แล้วสีผิวของฉันกลายเป็นสีคล้ายดินเหนียว ไม่ต่างไปจากพวกเขาเลยสักนิด!
แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้ทำอะไรต่อ เขาก็วางหม้อลงแล้วเข้ามารวบแขนฉันจากด้านหลัง ก่อนที่หญิงสาวผู้ถือถาดใส่ผ้าก็เดินเข้ามาแล้วปลดเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของฉันให้หลุดออกจากร่าง ก่อนจะเอาผ้าสองผืนที่อยู่ในถาด มาสวมใส่ให้ฉันแต่งกายแบบเธอ ด้วยความเร็วที่ไม่อยากเชื่อว่ามีมนุษย์ที่ไหนทำได้
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ถามอะไร ชายหนุ่มที่ถือคนโทสีดำก็ยื่นมันให้กับหญิงสาว แล้วเธอก็จับมันกรอกปากฉัน จนของเหลวหวาน ๆ เย็น ๆ ไหลผ่านลำคอของฉันไปเรื่อยจนกระทั่งหมดจากคนโท
จากนั้นฉันก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองไม่ได้อยู่ในการควบคุมของสมองอีกต่อไป ตัวฉันเคลื่อนไหวอย่างแข็งทื่อเหมือนไร้วิญญาณ แล้วเดินไปยืนข้างหญิงสาวที่จับฉันแต่งตัวแบบนี้ ก่อนจะหันไปทางหน้าปากโพรงอย่างขัดขืนไม่ได้! ฉันพยายามจะส่งเสียงกรีดร้องหรือเหลือบตามองสภาพรอบตัว แต่ก็ไม่ประสบผลใด เหมือนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้ว!
นี่อรัญญาณีสั่งให้คนพวกนี้ทำอะไรกับฉันกันเนี่ย!
