บทที่ 5 ฝันร้ายยามตื่น
ฉันกำลังวิ่งหนีชายร่างยักษ์ที่มีผิวสีเขียวไปที่ทะเลสาบเบื้องหน้า แต่มันก็กลายเป็นหลุมประหลาด และตัวฉันเองก็กำลังถูกฉุดกระชากเข้าไปในหลุมนั่นอีกแล้ว...
ถูกฉุดเข้าไป เหมือนกับความฝันซ้ำไปซ้ำมาตลอดหกปีที่ฉันจำความได้
ใช่... เวลาที่ฉันจำความได้แตกต่างจากคนอื่นๆ อยู่บ้าง เพราะฉันจำเรื่องราวก่อนตัวเองอายุสิบสองสิบสามไม่ได้เลย
พ่อแม่บอกว่าตอนนั้นพาฉันมาเที่ยวป่า แล้วพลัดหลงกันไปเกือบอาทิตย์ พอเจอตัวก็อยู่ในสภาพที่ยับเยินและจำเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย เหมือนกับว่าไปเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนทำให้ความทรงจำทั้งหมดที่มีอยู่หายไป พ่อกับแม่เลยต้องมารื้อฟื้นความทรงจำให้ฉันใหม่ตั้งแต่ต้น
กว่าฉันจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองได้ก็กินเวลาไปหลายเดือน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็จำอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้เลยสักนิด... รวมถึงความทรงจำในช่วงที่ฉันหายไปในป่า และไปเจอกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันลืมเรื่องก่อนหน้านั้นทั้งหมดด้วย...
สิ่งเดียวที่พอเชื่อมโยงกับความทรงจำที่หายไปได้ มีเพียงความฝันประหลาดที่ตามหลอกหลอนอยู่ตลอดหกปีที่ผ่านมา สถานการณ์แบบที่ฉันกำลังเผชิญ วิ่งหนีชายร่างยักษ์ และเกิดหลุมประหลาดที่ฉุดกระชากร่างเข้าไปในนั้น ก่อนที่จะสะดุ้งตื่น...
แต่คราวนี้แปลกว่าความฝันทุกครั้งในช่วงเกือบหกปีที่ผ่านมา ตรงที่ฉันไม่ได้สะดุ้งตื่น!
ฉันยังคงรู้สึกได้ถึงความหวาดเสียวจากการร่วงหล่นลงจากปากหลุม ไปสู่ก้นหลุมที่ฉันไม่รู้ได้เลยว่าลึกเพียงใด รู้แต่เพียงว่าตัวเองร่วงหล่นมานานมาก และความห่างระหว่างตัวฉันกับแสงสว่างที่ปากหลุมก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันไม่เห็นแสงสว่างนั่น และไม่เห็นอะไรอีกเลย...
แล้วร่างกายของฉันก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศเหมือนอยู่ในสภาพปราศจากแรงโน้มถ่วง อากาศที่ฉันหายใจเข้าไปมันอึดอัดราวกับว่ามีอากาศบริสุทธิ์อยู่น้อยเต็มที... ฉันพยายามดิ้นรนโดยการแหวกว่ายไปในความมืดนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเคลื่อนที่ไปได้มากแค่ไหน เพราะฉันมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด
ในที่สุดฉันก็ต้องหยุดการดิ้นรนที่ไร้ประโยชน์ลงเพราะหมดเรี่ยวแรง ความเงียบเหงาวังเวงก็เกาะกินเข้าไปในหัวใจของฉันทีละน้อย... ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรจะกระเสือกกระสนดิ้นรนต่อไป หรือควรจะปล่อยตัวเองในลอยเคว้งคว้างไปตามบุญตามกรรมดี เพราะผลของมันก็คงไม่ต่างกันเลย
คำถามหนึ่งแวบขึ้นมาในห้วงความคิด ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนการที่ตัวเองลอยคว้างอยู่กล้างความมืดในสภาพคล้ายไร้แรงโน้มถ่วง หลังจากตกลงมาในหลุมที่เหมือนไร้ก้นแบบนี้ เป็นเรื่องที่เคยพบเคยเจอมาแล้วกันนะ ทั้งที่ความฝันที่คอยตามหลอกหลอนฉันมาตลอดเกือบหกปี ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้อยู่เลยแท้ๆ
ระหว่างที่ฉันกำลังสงสัย แสงสีขาวที่ไม่ทราบที่มาก็สาดส่องเข้ามา และเมื่อมันกระทบกับร่างกายของฉัน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด อากาศที่ฉันหายใจเริ่มบริสุทธิ์ขึ้นมาทีละน้อย จนทำให้ฉันหายใจได้อย่างไม่ลำบากเท่าไรนัก และแสงนั่นมันทำให้ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันควรจะดิ้นรนต่อไปหรือไม่
ฉันพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ แหวกว่ายเข้าไปหาที่มาของแสงสว่างนั้น... แสงสว่างที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของฉันในความมืดมิด... และเมื่อฉันเข้าไปใกล้ที่มาของแสงปริศนานั่น ร่างกายของฉันก็พุ่งเข้าไปหาแสงสว่างนั้นอย่างรวดเร็วจนฉันไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้!
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองต่อจากนั้น เพราะแสงสว่างนั่นทำให้ตาพร่ามัว แต่สักพักใหญ่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเพราะถูกฉุดกระชากสิ้นสุดลง ก่อนจะเริ่มรู้สึกได้ถึงร่างกายที่กำลังนอนหงายเหยียดยาวอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ฉันพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นมา แต่แสงสว่างจ้าทำให้ต้องกลับไปหลับตาเช่นเดิม ฉันพยายามขยับปลายนิ้วมือ แม้ว่าจะทำได้อย่างยากลำบากพอควร และเมื่อเริ่มขยับนิ้วไปได้สักพัก ฉันก็พยายามจะขยับร่างกายส่วนอื่นดูบ้าง เริ่มจากขยับแขนขวาเพื่อใช้คลำรอบตัวดูว่าเป็นสถานที่แบบไหน และพบว่ามันเป็นเหมือนกับผ้าหรืออะไรสักอย่างที่ปูรองรับร่างกายอยู่
ฉันพยายามจะรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะไม่พอที่จะทำแบบนั้น แถมยังรู้สึกว่าเคลื่อนไหวได้ยากลำบากมากกว่าทุกครั้งอีกด้วย...
ระหว่างที่กำลังพยายามเคลื่อนไหวร่างกาย ความคิดของฉันก็พลันปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฉันคิดว่าเรื่องที่ผ่านมาคงเป็นแค่ความฝันเหมือนกับทุกครั้ง ส่วนที่ฉันกำลังเผชิญในตอนนี้ก็คือความจริง แต่อะไรที่เป็นความฝันบ้างล่ะ? เรื่องที่มาล่องแก่งนั่นด้วยหรือเปล่า?
“เอื้อยๆ เปิ้นตื่นแล้วเน้อเจ้า!!” เสียงใสที่ฟังเหมือนเสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ดังขึ้นมาจากข้างกายฉัน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใครสักคนเดินตามเสียงเรียกมาอย่างเร่งรีบ ทำเอาฉันหลุดออกมาจากห้วงความคิด แล้วเสียงฝีเท้านั้นก็หยุดลงเมื่อเข้ามาใกล้
“บ่หันเปิ้นจะยะจะใด๋เลยนิ” เสียงของหญิงสาวซึ่งน่าจะเป็นคนที่เพิ่งมาถึง ทำลายความเงียบขึ้นมา
“บ่ได้จุ๊เน้อเอ้ย ยะหยังข้าเจ้าต้องจุ๊ด้วย?” เสียงเด็กหญิงกล่าวตอบเสียงหญิงสาว หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ว่ามีมือเรียวๆ ของใครสักคน มากุมที่หลังมือข้างขวาของตัวเองเอาไว้ แล้วเจ้าของมือที่มากุมนั่นก็พูดนั้นเบาๆ ด้วยเสียงที่อ่อนโยน
“ถ้าน้องเฮาบ่ได้ขี้จุ๊... ตั๋วก็ยะอะหยังให้เฮาฮู้หน่อยเต๊อะ ตั๋วเป็นจะอี้มาหลายมื้อแล้ว หมู่เฮาบ่ซว่างใจ๋เลยน่อ”
ฉันฟังที่หญิงสาวพูดมาออกเพียงนิดหน่อย เพราะเธอแทบไม่ได้ใช้ภาษาไทยกลางปนในคำพูดเธอเลย เธอพูดกับฉันเหมือนกับพูดกับคนในท้องถิ่นเดียวกันมากกว่า แต่ถ้าที่หญิงสาวผู้กุมมือของฉันอยู่พูดมาเป็นความจริงล่ะก็... เท่ากับว่าที่เหตุการณ์ที่มาล่องแก่งจนเตลิดเข้าป่าเป็นความจริง และฉันก็ยังไม่ตาย แถมยังสลบไปหลายวันสินะ... แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกันล่ะ?!
ฉันพยายามขยับมือขวาที่ถูกกุมอยู่เพื่อทำให้เธอรู้ว่าฉันรู้สึกตัวแล้ว พร้อมทั้งพยายามส่งเสียงผ่านปากที่ขยับได้อย่างยากลำบาก แต่ว่าเสียงที่ออกมาจากปากกลับแหบพร่าจนฟังไม่เป็นภาษา
“ไปเอาน้ำมาหื้อเปิ้น” เสียงหญิงสาวร้องสั่งเด็กสาวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเร่งรีบ ครู่ต่อมาฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเท้าคู่น้อยวิ่งห่างออกไปอย่างว่องไว ก่อนที่เท้าคู่นั้นจะเดินกลับมาที่ฉันในเวลาอันสั้น หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่าศีรษะของตัวเองถูกใครบางคนยกให้สูงขึ้น แล้ววัตถุแข็งๆ ก็มาแตะที่ริมฝีปาก ของเหลวเย็นๆ ไหลผ่านลงไปยังลำคอไปอย่างช้าๆ
ฉันรู้สึกเจ็บในคออยู่ไม่น้อย แต่ก็รีบดื่มมันเอาไว้จนหมด ก่อนจะกระแอมออกมาเบาๆ เพื่อทดสอบเสียงของตัวเอง
ฉันพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นมองสิ่งต่างๆ รอบตัวอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบาก แต่สุดท้ายเปลือกตาขวาของฉันก็เปิดขึ้นมา ทำให้เห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าได้ ถึงแม้ว่ามันจะพร่ามัวอยู่นิดหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเท่ากับเปลือกตาซ้ายที่ปิดสนิทแน่นจนไม่ยอมเปิดออกมาตามที่สมองฉันสั่งเลยสักนิด!
ฉันกวาดสายตาที่ใช้ได้เพียงข้างขวาไปรอบบริเวณ และพบว่าตัวเองนอนหงายเหยียดยาวอยู่บนแคร่ไม่ไผ่ที่ปูด้วยใบตอง นอกชานของบ้านไม้ใต้ถุนสูงของใครสักคน ตัวฉันแทบจะปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ปิดกาย จะมีก็แค่ผ้าพันแผลที่พันรอบอวัยวะต่างๆ ที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
ฉันมองเห็นหญิงสาวเกล้าผมมวยนั่งอยู่บนแคร่ที่ฉันนอน ดูแล้วอายุของเธอคงประมาณยี่สิบต้นๆ เธอกำลังจ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตากลมโตบนใบหน้ากลมๆ ใบหน้าของเธอแสดงสีหน้าประหลาดใจและแฝงความดีใจ ราวกับว่าญาติสนิทของเธอเพิ่งฟื้นจากความตาย เธอยิ้มอยู่สักพักก็หันไปทางเด็กหญิงที่น่าจะอายุประมาณสิบสองสิบสาม ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมา
“เอาน้ำมาหื้อเปิ้นแห็มโอ” หญิงสาวเกล้าผมมวยที่สวมเสื้อแขนกระบอกสีเขียว กล่าวขึ้นกับเด็กหญิงที่แต่งกายอย่างคนพื้นถิ่น ก่อนจะส่งขันสังกะสีที่เป็นภาชนะใส่น้ำไปให้กับเด็กหญิง ซึ่งเธอก็รับขันนั้นมาแล้วรีบวิ่งไปที่โอ่งใส่น้ำที่อยู่ด้านในตัวบ้านทันที
“อ่า... ท... ที่นี่ที่ น... ไหน? ล... แล้ว.. มันเกิดอะไร ข...ขึ้นเหรอ?” ฉันพยายามถามกลับไปด้วยเสียงอันแหบพร่าเพราะขาดน้ำมานาน แต่ดูเหมือนสภาพเสียงของฉันตอนนี้มันยังไม่ดีพอที่จะใช้สื่อสารเท่าไร
ฉันเห็นสีหน้าของหญิงสาวเกล้าผมมวยคนนั้นฉายแววประหลาดใจอีกครั้งเมื่อฉันพูด แต่เธอยังไม่ทันกล่าวอะไรต่อ เด็กหญิงที่วิ่งไปตักน้ำเมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำเต็มขัน ก่อนที่จะส่งขันใส่น้ำใบนั้นให้กับหญิงสาวที่น่าจะเป็นพี่สาวของเธอแล้วซุบซิบอะไรบางอย่างกันก่อนที่เด็กหญิงจะวิ่งลงไปจากตัวบ้าน
หญิงสาวรับขันน้ำนั้นมาแล้วทำท่าจะกรอกปากฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะยกมือเป็นเชิงปฏิเสธไปแล้วก็ตามที แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจ ฉันจึงต้องพูดออกมาให้เธอฟังทั้งที่เสียงยังคงแหบพร่าแบบนั้น
“ย... อย่า ฉ... ฉันขอดื่มเอง ด... ดีกว่า” ฉันพูดพลางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยื่นแขนที่เรี่ยวแรงเริ่มมีแล้วไปรับขันน้ำ ทำให้ฉันรู้ในตอนนี้เอง ว่าแขนซ้ายของฉันได้รับบาดเจ็บมากจนไม่มีแรงพอที่จะหยิบของด้วยมือเดียว เหมือนกับว่าเส้นเอ็นข้อมือจะเสียหายไปไม่น้อย
ดวงตาของหญิงสาวในเสื้อแขนกระบอกสีเขียวฉายแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อฉันได้รับขันน้ำไป เหงื่อของเธอผุดบนใบหน้าทั้งที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนสักเท่าไร ราวกับเธอกำลังทำผิดอะไรแล้วถูกจับได้ และดูเหมือนกับว่าความกังวลของเธอจะมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฉันก้มมองลงไปที่ขันน้ำใบนั้น!
เงาสะท้อนบนผิวน้ำในขันนั้นสะท้อนให้เห็นใครบางคนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มันเป็นใบหน้าของคนที่น่าจะเป็นผู้หญิง เพียงแต่ว่าใบหน้านั้นเหวอะหวะไปด้วยแผลจำนวนมากที่เริ่มจะแห้งตกสะเก็ดไปบ้างแล้ว! บริเวณใบหน้าซีกซ้ายของเธอนั้นเละเทะมากเป็นพิเศษ หนังหน้าของเธอบางส่วนนั้นหลุดหายไป เผยให้เห็นเนื้อแดงๆ บริเวณแก้ม! ริมฝีปากของเธอบวมเจ่อและยับเยินราวกับเพิ่งกินพริกมาสักสิบเม็ดติดต่อกัน! เส้นผมบนศีรษะเธอแห้งเสียและแหว่งเป็นหย่อมๆ ราวกับถูกหนูรุมแทะ!
ถ้านั่นไม่ใช่เงาสะท้อนบนผิวน้ำล่ะก็... ฉันคงไม่เชื่อแน่นอน ว่านั่นคือใบหน้าของตัวเอง!
