บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

บทที่ 6 ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

ฉันกรีดร้องออกมาโดยที่ไม่สนว่าคอตัวเองจะยังเจ็บอยู่ ถึงฉันรู้แล้วว่าหน้าฉันอาจจะเสียโฉม แต่ฉันไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่า มันจะเละเทะขนาดนี้!

เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งด้วยความตกใจของฉันดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลงเมื่อฉันเริ่มไอออกมาเพราะความเจ็บแสบข้างในลำคอ แถมดูเหมือนว่ามันไม่ใช่การไอเพราะเจ็บคอธรรมดา ตาขวาที่มองเห็นได้อย่าพร่ามัวของฉันมองเห็นของเหลวสีแดงสดหยดออกมาจากปากทุกครั้งที่เสียงไอของตัวเองดังขึ้นอีกด้วย

ไม่รู้ว่าหญิงสาวมีท่าทีอย่างไรกับการกระทำราวกับผู้ป่วยที่กำลังเสียสติของฉัน เพราะตัวเองก็กำลังตกอกตกใจกับการที่ไอเป็นเลือดจนไม่ได้เหลือบมองเธอ แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ เดินถอยออกไปจากที่เดิมช้า ๆ อย่างหวาดระแวง

ฉันเหลียวไปมองเธอและพยายามยกมือขึ้นกวักเรียกให้เธอเข้ามาใกล้ฉัน เมื่อเห็นว่าการไอราวกับคนป่วยระยะสุดท้ายของตัวเองนั้นเริ่มสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูท่าทางของเธอแล้วคงไม่อาจจะทำตามที่ฉันต้องการ เพราะฉันรู้สึกว่าสองขาที่อยู่ใต้ผ้าซิ่นสีแดงที่เธอนุ่งอยู่นั้นสั่นระริก ด้วยความกลัวจนเรียกว่า อย่าว่าแต่จะเดินเข้ามาหาฉันเลย แค่ยืนอยู่โดยไม่เป็นลมล้มพับลงไปก่อนก็โชคดีแล้ว!

อันที่จริงแค่โดนนกจิกมันก็ไม่ทำให้ใบหน้ายับเยินขนาดนี้ก็จริง แต่ว่าการที่ฉันนอนรอความตายกลางป่าแล้วปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรมากัดมาแทะคงเป็นสาเหตุหลักฉันเยินขนาดนี้แน่ๆ ส่วนสาเหตุที่หญิงสาวตกใจคงมาจากการที่จู่ๆ ฉันก็กรีดร้องออกมาขนาดนั้น แถมยังไอออกมาเป็นเลือดอีกมากกว่า

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเกล้าผมมวยยังคงไม่กล้าเดินเข้ามา ฉันก็คว้าขันน้ำสังกะสีเมื่อครู่มาดื่มน้ำ ของเหลวผสมกับเลือดคาวๆ ในลำคอทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนออกมา แต่ก็กล้ำกลืนดื่มเข้าไปจนเกลี้ยง แล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง

ท่าทางหวาดระแวงของหญิงสาวผู้เกล้าผมมวยเริ่มลดน้อยลงไปบ้าง แต่เธอก็ไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาเลยแม้แต่ก้าวเดียว ดวงตากลมโตของเธอยังคงจับจ้องมาที่ฉันอย่างไม่วางตา ราวกับจะมองให้แน่ใจแล้วว่าคนที่กรีดร้องราวกับเสียสติเมื่อครู่นี้นั้นได้สงบสติอารมณ์ลงได้แล้วจริง ๆ

“ขอโทษนะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งตะโกนถามจากทางด้านซ้ายที่มองไม่เห็นของฉันด้วยสำเนียงของคนเมืองหลวง ด้วยเสียงที่ฉันคุ้นเคยเหลือเกิน

“บ่มีอะหยังเจ้า” หญิงสาวนัยน์ตากลมพูดขึ้นมาก่อนที่จะมองไปทางด้านซ้ายของฉัน ซึ่งกำลังมีใครบางคนเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

“เอ่อ... หนูอยู่ด้วยได้ไหมคะ? อยู่ในบ้านคนเดียวแล้ว... หนูกลัว” เสียงที่ฉันคุ้นเคยกล่าวขึ้นมา ก่อนที่เท้าของเจ้าของเสียงจะเดินอ้อมปลายเท้าของฉันไปอย่างช้า ๆ ทำเอาฉันต้องมองไปที่เจ้าของเสียงด้วยความตกตะลึงกับภาพที่เห็นเต็มตา...

เพราะเด็กสาวร่างเล็กในชุดพื้นถิ่นสีชมพูนั่น มันยัยต่ายชัดๆ!

ฉันพยายามรวบรวมพลังเสียงทั้งหมดอ้าปากร้องเรียกเพื่อนอย่างสุดแรงเกิด แต่จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าริมฝีปากของตัวเองไม่สามารถขยับได้ดังใจคิด แรกทีเดียวฉันคิดว่าเป็นเพราะผลของการกรีดร้องอย่าบ้าคลั่งอย่างเมื่อครู่ แต่ความคิดนั้นก็ต้องหายไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงหนึ่ง

“ขอสุมาด้วยเน้อคุณขวัญนภา แต่เปิ้นหื้อคุณอู้อะหยังกับเพื่อนบ่ได้เจ้า” เสียงที่ฉันจำได้ว่าเป็นของเอื้องคำเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา เธอคงทำอะไรบางอย่างกับร่างกายฉันจนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้แบบที่ทำที่ลานกว้างกลางหมู่บ้านอีกแน่ๆ!

“พี่เขาได้สติแล้วเหรอคะ?” เสียงของเด็กสาวร่างเล็กเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่จะหันมาดูฉันด้วยสายตาที่แฝงความสงสารระคนกับสังเวชอยู่ในแววตา

“อย่าเข้าไปใกล้เปิ้นดีกว่าน่อ สติเปิ้นบ่ค่อยดีเท่าไร” หญิงสาวผมมวยกล่าวขึ้นด้วยสำเนียงท้องถิ่นปนไทยกลางที่เบาราวกับกระซิบ

“สงสัยคงเจออะไรที่น่ากลัวๆ ในป่ามาเยอะมากจนช็อกน่ะค่ะ... แถมหน้าตาก็เป็นแบบนี้ไปซะอีก” เด็กสาวในชุดพูดถิ่นกล่าวจบก็ถอนหายใจขึ้นมาครั้งหนึ่ง “ไม่รู้ป่านนี้ยัยฟ้ากับยัยมินท์ เพื่อนหนูที่เตลิดเข้าป่าไปเมื่อวานซืนจะเป็นยังไงบ้าง...”

“คงจะบ่เป็นแบบเพื่อนของเฮา” หญิงสาวชาวบ้านพูดพลางมองมาที่ตัวฉันอย่างสลดใจ

“เมื่อวานที่พี่ๆ กับเพื่อนๆ เขาไปตามหาเพื่อนหนูจนเจอคนเจ็บในป่าเข้า หนูก็นึกว่าจะเป็นเพื่อนหนูแล้วแท้ๆ แต่พอดูเสื้อผ้ากับบัตรในกระเป๋าสตางค์ที่ติดตัว ดันกลายเป็นเพื่อนของพี่ๆ ที่เข้าไปในป่าเมื่อเดือนก่อนแล้วไม่กลับมาเสียได้” ต่ายพูดพลางทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน

“ป่านนี้เพื่อนหนูสามคนกับพวกพี่นายพรานแล้วก็พวกพี่สต๊าฟรีสอร์ทจะเจอสองคนนั้นหรือยังก็ไม่รู้ แต่เราเคยสัญญากันไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้งกันเด็ดขาด พวกหนูไม่ยอมกลับถ้ายังไม่เจอสองคนนั้นแน่ ๆ! ถึงแม้ว่าจะเจอแค่... ศพก็เถอะ” ยัยต่ายนิ่งเงียบไปทันทีเมื่อกล่าวจบ สีหน้าของเธอดูซึมลงไปอย่างสังเกตได้ชัด ก่อนที่น้ำใสๆ จะไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอจนอาบสองแก้ม

ว่าแต่เมื่อกี้นี้ยัยต่ายบอกว่าเสื้อผ้ากับบัตรประจำตัวในกระเป๋าสตางค์ไม่ใช่ของฉันอย่างนั้นเหรอ? แล้วเพื่อนที่เข้าไปหาฉันในป่ามีสามคน แต่พวกเราที่เข้ามาที่หมู่บ้านนี้มีกันห้าคน ขาดฉันกับมินท์ไปสองคน แล้วถ้าไม่นับยัยต่ายจะมีสี่คนได้ยังกัน?!

“บ่ต้องสงสัยเรื่องเสื้อผ้าไปเน้อ เปิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าของคุณขวัญนภา กับศพแม่ญิงคนหนึ่งที่โดนงูกัดตายในป่าเดือนก่อนเองเจ้า” เสียงเอื้องคำกล่าวขึ้นมาอธิบาย แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะทำให้ทุกคนเข้าใจว่าฉันเป็นสาวชาวบ้านที่หลงเข้าไปในป่าเมื่อเดือนก่อนเพื่ออะไรกันแน่

“เปิ้นเคยอู้ไปแล้วว่าเปิ้นเองก็บ่อยากจะยะจะอี้เท่าใด แต่เปิ้นขัดเจ้านางบ่ได้” เอื้องคำบอก ก่อนที่ฉันจะรู้จะสึกว่ามือที่มองไม่เห็นจะเลิกปิดปากของฉัน

ฉันไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงเลิกทำแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นโอกาสอันดีที่ฉันจะได้พูดกับต่ายและหญิงสาวชาวบ้านคนนั้นว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ทว่าเสียงฝีเท้าของร่างหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากทางบันได ก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียงก่อน และเมื่อฉันหันไปมองก็พบว่าต่ายและหญิงสาวผมมวยเดินออกไปทางบันได เพื่อคุยกับคนที่ขึ้นบันไดบ้านมาเสียแล้ว

“เป็นจะใดบ้างเจ้า?” เสียงของหญิงสาวชาวบ้านกล่าวถามร่างที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดมา สายตาพร่ามัวของฉันมองเห็นว่าร่างนั้นเป็นชายคนหนึ่งที่สวมเพียงกางเกงขายาวสีน้ำตาลออกแดง ท่อนบนไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ เผยให้เห็นรูปร่างกำยำ และผิวเนื้อสีดำแดงได้อย่างถนัดตา

“น... นายกลับมาจากป่าแล้วเหรอ? เจอฟ้ากับมินท์หรือเปล่า? แล้วเพื่อนคนอื่นหายไปไหนกันหมดล่ะ?” ต่ายเริ่มถามตาม หลังจากเห็นว่าหญิงสาวถามนำไปก่อนแล้ว

“เธอหยุดถามแล้วเตรียมตัวกลับไปบ้านดีกว่า” ชายคนนั้นพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำที่แสดงอารมณ์เหมือนกับเบื่อหน่ายการตอบคำถามของต่ายเต็มที

“ม... หมายความว่าทุกคนเจอฟ้ากับมินท์แล้วใช่...”

“เปล่า แค่พวกนั้นคงอาจจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว” ชายผู้มาเยือนตอบ ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามายึดครองพื้นที่ในบริเวณบ้านไปครู่ใหญ่ แล้วเขาก็ทำลายมันด้วยน้ำเสียงเย็นชาของตัวเอง

“พวกพรานพบรอยเท้าที่น่าจะเป็นของสองคนนั้นเดินเข้าไปในถ้ำอาถรรพ์ ที่ถ้าเข้าไปแล้วจะไม่มีใครกลับออกมาได้ เจ้านักว่ายน้ำก็รีบคว้าไฟฉายแล้วเดินเข้าไปแบบไม่สนใจคำเตือนชาวบ้าน แถมยังลากเอกเข้าไปด้วยอีกต่างหาก”

“กัซ... ฟ้า... มินท์... จะไม่มีใครกลับมาแล้วงั้นเหรอ... ไม่จริง! ไม่!!!” ต่ายกรีดร้องลั่นพลางเอามือกุมหัวด้วยท่าทางสิ้นหวัง แล้วเธอก็ทรุดลงหมดสติไปตรงนั้นก่อนที่ใครจะได้ทำอะไรต่อ

“เธอช่วยพาผู้หญิงคนนี้ไปเตรียมตัวกลับบ้านด้วยแล้วกัน ส่วนคนป่วยตรงนี้เดี๋ยวจะเฝ้าให้เอง” ชายร่างกำยำพูดเหมือนไม่แยแสต่ายเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเดินไปตักน้ำในโอ่งแล้วตรงเข้ามาหาฉัน ในขณะที่หญิงสาวชาวบ้านกำลังประคองร่างของต่ายกลับเข้าตัวบ้านไป

“กินนี่ซะ เผื่อจะพูดได้คล่องขึ้น ฉันไม่ได้รู้ความคิดของคนอื่นก่อนที่เขาจะพูดออกมาแบบเอื้องคำหรอกนะ” ชายคนนั้นพูดพลางวางขันน้ำลงข้างกายฉัน แล้วยืนกอดอกอยู่ข้างแคร่ที่ฉันนอน

ถึงแม้ฉันจะไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรกันแน่ แต่ฉันก็รีบคว้าขันน้ำมาแล้วรีบกรอกน้ำผ่านปากลงไปยังลำคอทันที แล้วความทรมานจากการเจ็บคอก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง

เมื่อฉันมองผู้ที่ยื่นขันน้ำมาให้ชัดๆ ก็พบว่าดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววตาน่ากลัวราวกับอสุรกายก็จ้องฉันกลับมาเช่นกัน ผิวคล้ำดำแดงของรูปร่างบึกบึนที่เปลือยท่อนบนสะท้อนแสงแดดจนทำให้เขาดูเหมือนรูปปั้นทองแดง ผมทรงรากไทรของเขาปลิวไปกับสายลมที่พัดมาเบาๆ ร่างของเขาน่าจะสูงกว่าฉันราวห้าเซนติเมตร ซึ่งลักษณะทั้งหมดนั้น มันก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นมา

“ท... ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้? นาย... ไม่ได้มาเที่ยวกับพวกเรานี่” เสียงของฉันดังขึ้นอย่างตะกุกตะกัก ในขณะที่อารมณ์ของตัวเองก็กำลังสับสนไปหมด ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอารมณ์ดีใจ เสียใจ ตกใจ หรือว่าจะตื่นเต้น... ก่อนที่ปากของฉันจะเรียกชื่อของผู้ที่กำลังจ้องมองมาเบาๆ

”น... นายจักร”

“เคยบอกไปแล้ว คุณขวัญนภา” เขาตอบกลับมาอย่างเย็นชา

“บอกตอนไหนไม่ทราบยะ!” ฉันโพล่งออกมาอย่างหัวเสียทันที เมื่อเจอเขาพูดจาเหมือนจะกวนประสาทในสถานการณ์แบบนี้ เพราะเดิมทีแล้วฉันก็ไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไรอยู่แล้ว อันที่จริงหน้าตาเหมือนพร้อมจะชกคนคุยด้วยทุกเวลา นิสัยชอบพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่น กับพฤติกรรมขวางโลกหลายอย่างนั่น อย่าว่าแต่ฉันจะไม่ชอบเลย ใครก็ไม่อยากจะยุ่งกับเขาทั้งนั้น

แต่ถึงแบบนั้นฉันก็รู้สึกประหลาดใจ และสงสัยมากว่าทำไมเจ้าคนที่ไม่ได้คิดจะมาเที่ยวกับพวกเราเลยแบบหมอนี่ จะมาอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าที่พวกเราหลงเข้ามากันได้ แล้วทำไมถึงรู้ว่าผู้หญิงที่หน้าตาเละเทะจนแทบจำไม่ได้แบบนี้ คือเพื่อนร่วมห้องเรียนของเขาอีก

“เคยบอกไปตอนแนะนำตัวในห้องเรียนใหม่ๆ สมัยย้ายเข้ามากลางเทอมแล้ว ว่าทำไมถึงได้อยู่ที่นี่ ไม่เคยสนใจจะจำสินะ” เขาตอบพลางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ทำเอาฉันต้องลำดับความจำตัวเองใหม่ทันที

“เอ่อ... บ้านนายอยู่ที่หมู่บ้านนี้งั้นสินะ?” ฉันพยายามสงบสติอารมณ์และพูดกับเขาให้ดีขึ้น เพราะคิดว่าตัวเองคงต้องพึ่งพาเขา

“ก็แค่ที่พักชั่วคราวก่อนจะกลับบ้านจริง ๆ”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนแล้วกัน นายรู้ใช่ไหมว่าตรงนี้คือขวัญนภา ไม่ใช่คนที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นตามที่ยัยเอื้องคำอะไรนั่นต้องการ ถึงฉันจะสงสัยอยู่ว่านายรู้ได้ยังไงก็เถอะ แต่ฉันไม่ถามนายก็ได้ ขอแค่นายช่วยบอกความจริงให้ทุกคนทีได้ไหม? แล้วก็ช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยว่าเอื้องคำ กับเจ้านางอะไรนั่นเป็นใคร ต้องการอะไรจากฉันกันแน่”

“เป็นคำขอที่ยาว แต่ต้องตอบว่าไม่ล่ะ” เขาตอบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางส่งรอยยิ้มที่เหมือนจะเหยียดหยามมาให้ฉัน “สมัยเรียนเคยพูดเองไม่ใช่รึว่าถ้าจะต้องง้อให้ฉันทำอะไร สู้ยอมตายยังดีกว่า งั้นถ้าก็ตายไปสิ”

“นายมันบ้าที่สุด! นี่นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่” ฉันโพล่งออกไปด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง นี่ถ้าหากร่างกายฉันยังดีอยู่ ฉันคงจะลุกขึ้นไปตบเจ้าหมอนี่ไปสักทีแล้ว!

“เธอคงได้ยินเรื่องเพื่อนของเธอเข้าไปในถ้ำอาถรรพ์นั่นแล้วใช่ไหมล่ะ?” เขาตอบคำถามฉันด้วยคำถามกลับ

“ก็ใช่... ฉันถึงต้องการให้นายบอกเรื่องฉันให้คนอื่นรู้ไง เขาจะได้เลิกตามหาฉันจนเป็นอันตรายแบบพวกนั้นอีก แล้วฉันก็จะได้หาทางช่วยเพื่อนคนสำคัญของฉันออกมาให้ได้เอง!” ฉันบอกกับเขาด้วยท่าทางจริงจังที่สุดที่จะทำได้ ทำเอาเขาชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ราวกับจะเยาะเย้ย

“ตอนนี้พวกเขายกเลิกการตามหาเธอกันแล้ว เพราะได้ข้อสรุปแล้วว่าเธอกับเพื่อนเข้าไปในถ้ำอาถรรพ์ที่คนไม่เข้าไปกัน จากรอยเท้าที่เอื้องคำปลอมไว้หลอกคนอื่น ดังนั้นเหตุผลที่จะบอกคนอื่นว่าเธอคือคนที่พวกเขาตามหาก็ตกไป” จักรตอบพลางมองฉันด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ “แล้วเรื่องช่วยเพื่อนน่ะ สภาพน่าเวทนาแบบนี้จะไปทำอะไรได้ เธอจะช่วยเพื่อนๆ ออกมาจากถ้ำอาถรรพ์นั่นด้วยวิธีไหน คิดไว้แล้วรึไง?”

“ฉันจะไปหาเจ้านางที่เอื้องคำพูดถึง แล้วคุยให้รู้เรื่องเองว่าเธอต้องการอะไรจากพวกฉันกันแน่! ถ้าเป็นไปได้ ฉันจะแลกตัวฉันคนเดียวกับเพื่อนอีกสามคนเอง!”

“ตอบได้สมเป็นเธอจริง ๆ” เขายิ้มเหมือนจะพึงพอใจในคำตอบของฉันเสียเต็มประดา ก่อนจะหัวเราะในลำคอ แล้วอธิบายบางอย่างให้ฉันได้รับรู้

“ถ้าเธออยากจะพบกับเจ้านางอะไรนั่นล่ะก็ หาทางเข้าไปในถ้ำอาถรรพ์นั่นให้ได้ก็แล้วกัน หล่อนรอที่จะพบเธออยู่นะ” ชายผู้มีดวงตาน่ากลัวราวปีศาจกล่าวขึ้น ก่อนจะกลับหลังหันแล้วทำท่าจะเดินจากฉันไป

“นายบอกมาแค่นี้แล้วฉันจะไปถูกได้ยังไงกัน? ช่วยบอกอะไรมากกว่านี้หน่อยสิ อย่างเจ้านางเป็นใครกันแน่ แล้วเอื้องคำอีก พวกเขาต้องการอะไรจากฉันหรือเพื่อน ๆ กันเหรอ?”

“ยอมตายมากกว่าที่จะง้อฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้ายังถามมากกว่านี้อีก ฉันจะฆ่าเธอให้ตายสมกับที่พูดไว้เอง” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิด ก่อนที่จะเดินลงตัวบ้านไปอย่างไม่แยแสอะไรฉัน

จักรจากไปแล้ว ทิ้งให้ฉันนั่งอยู่ลำพังคนเดียวบนแคร่ ตอนนี้ฉันกำลังคิดอยู่ว่าชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างไรว่าฉันไม่ใช่คนที่พวกเขาเข้าใจดีไหม แต่ดูเหมือนว่าถ้าทำแบบนั้นเอื้องคำจะพยายามขัดขวางไม่ให้ฉันพูดได้ และฉันก็ไม่มีทางจะตอบโต้อะไรได้เลยสักนิด

ดังนั้นทางเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้และน่าจะเป็นประโยชน์กับฉันมากที่สุด คือตามหาตัวเจ้านางนั่นให้เจอแล้วเจรจากันให้รู้เรื่อง แล้วเจ้านางที่ว่าก็น่าจะอยู่ในถ้ำอาถรรพ์นั่นพร้อมกับเพื่อนๆ ของฉันที่เข้าไปด้านใน ทว่าตัวฉันเองยังไม่รู้เลยว่าจะไปที่ถ้ำอาถรรพ์นั่นได้ยังไงกัน

“ตามเรามาสิ”

เสียงแหลมเล็กที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านหลังทำเอา ฉันต้องสะดุ้งโหยงแล้วรีบก้มหน้าก้มตา เพราะกลัวจะหันไปเห็นอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวอีก

แต่พอก้มหน้าได้สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องความเป็นความตายของเพื่อนมันสำคัญกว่าการเจอเรื่องน่ากลัวของตัวเอง ดังนั้นฉันควรจะปลงและเลิกกลัวเรื่องสยองขวัญสักที

ฉันรวบรวมความกล้าหันหลังไปมองต้นเสียงนั้น ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่อะไรที่น่าสยอง แต่เป็นนกแก้วตัวน้อยสีสันฉูดฉาดที่กำลังเกาะอยู่ด้านหลังแคร่ และเมื่อเจ้านกน้อยรู้ว่าฉันเห็นมันเข้า มันก็รีบบินไปเกาะที่บันได พร้อมกับส่งเสียงร้องแบบเดิมออกมาทันที

“ตามเรามาสิ”

“นี่เธอ... จะมานำทางให้ฉันงั้นเหรอ?” ฉันถามเจ้านกแก้วออกไป แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าถึงนกแก้วนั้นสามารถเลียนเสียงต่าง ๆ ที่มันเคยได้ยินมาก็จริง แต่มันไม่ได้รู้ความหมายของสิ่งที่มันพูด

“อื้ม ตามเรามาสิ” คำตอบที่ออกมาจากเจ้านกแก้ว ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะคิดผิดเกี่ยวกับเจ้านกตัวนี้ก็ได้ แต่ฉันก็ไม่รู้จะวางใจมันได้แค่ไหน ถึงแบบนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหรืออะไรที่ฉันสามารถพึ่งพาได้ในสถานการณ์แบบนี้นอกจากเจ้านกนี่อีกไหม จักรก็จากไปด้วยท่าทางเหมือนไม่เต็มใจจะช่วย ส่วนเอื้องคำก็ไม่รู้ว่าจะเอาแน่เอานอนอะไรได้อีกต่างหาก

แล้วฉันก็ตัดสินใจได้ว่าตัวเองควรจะเสี่ยงดู จึงค่อยๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพยายามแกว่งแขนขาไปมาเพื่ออบอุ่นร่างกายที่ไม่ได้ขยับมานาน ให้มีความพร้อมเพียงพอที่จะหลบหนีไปได้ เมื่อเห็นว่าร่างกายพร้อมใช้งานดีแล้ว ฉันก็เดินตรงไปที่บันไดบ้านในทันที เคราะห์ดีเหลือเกินที่จุดที่มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวมีแค่ข้อมือซ้ายเพียงที่เดียวเท่านั้น การเดินของฉันจึงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร

แต่ยังไม่ทันก้าวไปที่บันไดบ้านก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เพราะผู้หญิงที่มีผ้าพันแผลพันเต็มตัวแทนเสื้อผ้า แถมหน้ายังเละไปครึ่งหน้าอย่างฉัน มันดูสะดุดตาเกินไป หากเดินออกจากตัวบ้านก็ต้องมีคนจำได้แน่ๆ ว่าเป็นใคร แล้วก็คงจะพาตัวฉันกลับมาที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งฉันก็ควรจะหาเสื้อผ้าอะไรมาใส่เพื่อทำให้ออกจากหมู่บ้านไปยังถ้ำอาถรรพ์นั้นได้อย่างไม่ถูกใครจับได้ก่อน

ก็นับว่าโชคยังเข้าข้างฉันอยู่บ้าง เพราะห่างจากแคร่ไปไม่ไกล มีราวตากผ้าที่มีเสื้อผ้าตากอยู่เต็มไปหมด ฉันจึงเดินไปที่ราวผ้าแล้วปลดเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินกับผ้าถุงสีเลือดหมูหม่นๆ มาสวมใส่อย่างไม่รอช้า เพราะชุดนี้ปกปิดร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของฉันได้อย่างมิดชิดดีทีเดียว

ถึงความจริงฉันไม่ชอบการเอาของของคนอื่นมาเป็นของตัวเองโดยไม่ขออนุญาต แต่ฉันก็จำเป็นต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแบบนั้นฉันก็ยังหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับมาคืนชุดนี้ให้เจ้าของได้ในอนาคต

ส่วนเรื่องบาดแผลที่หน้านั้น ฉันก็จัดการใช้มือสางผมแห้งๆ แหว่งๆ ของตัวเองมาปิดบังใบหน้าซีกทีมันเละจนดูไม่ได้ แต่หน้าซีกขวาที่มีบาดแผลเล็กน้อยนั้นก็ปล่อยไปตามปกติ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่บันไดบ้าน

“ตามเรามาสิ” เสียงเจ้านกแก้วดังขึ้นก่อนฉันจะเดินไปถึงบันได แล้วมันก็บินไปเกาะบนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างออกจากตัวบ้านไปไม่ไกลเท่าไรนัก

ดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับฟ้าทำให้ฉันพอจะคาดเดาได้ว่านี่เป็นเวลาเย็นแล้ว ตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยกำลังเดินกลับบ้าน และตัวฉันก็คงเดินไปมาในหมู่บ้านได้อย่างไม่มีใครสังเกตสักเท่าไรนัก ซึ่งก็คงจะพาฉันออกจากหมู่บ้านไปยังถ้ำอาถรรพ์นั่นได้แน่ๆ แล้วฉันจะได้คุยกับเจ้านางอะไรนั่นให้ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจดวงนี้คลี่คลายลงไปบ้างเสียที

คอยก่อนเถอะเจ้านาง ฉันจะไปหาเธอแล้วเอาตัวเพื่อนๆ กลับมาเอง!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel