บทที่ 4 ค่ำคืนแห่งความอลหม่าน
บทที่ 4 ค่ำคืนแห่งความอลหม่าน
“ท... ทุกคน อ... เอื้องคำหายไปแล้ว!” ต่ายที่หันมามองเอื้องคำพร้อมกับฉันร้องบอกออกมา ทำเอาความวิตกกังวลปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของกัซ แต่เขาก็สลัดมันออกไปในชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหมือนที่ลานกว้างนี่จะไม่ปลอดภัยแล้ว ทุกคนรีบกลับขึ้นบ้านไปก่อนเถอะ ฉันจะไปตามมินท์เอง”
“นายจะบ้ารึไง! นี่มันป่าตอนกลางคืนนะ! พวกเรารีบกลับขึ้นบ้านแล้วไปตามคนมาช่วยในตอนเช้าดีกว่าน่า!” เอกขัดขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจังไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นท่าทางที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเห็นจากเขามาก่อน
“ถ้าชักช้า เดี๋ยวมินท์ก็เตลิดไปไกลกันพอดีหรอก!”
“แต่ถ้านายเข้าไปในป่าตอนนี้ นายหลงป่าแน่ อย่าเพิ่มจำนวนคนที่ชาวบ้านต้องไปช่วยให้มากขึ้นเลยน่า!” เอกแย้งขึ้นมา ทำเอาหนุ่มรูปงามต้องนิ่งไปครู่ใหญ่เพราะยอมจำนนด้วยเหตุผล
“ถ้างั้นทุกคนรีบขึ้นไปบนบ้านกันก่อนก็แล้วกัน” กัซประกาศกับพวกเราที่เหลือ ก่อนจะหันไปมองเอก "ฉันจะนำหน้าไปเอง นายคอยระวังหลังให้สาวๆ ด้วย“
สิ้นเสียงหนุ่มรูปงาม เขาก็เดินนำพวกเราไป โดยมีต่ายตามไปติดๆ แต่ไม่ทันที่ฉันกับเอกจะก้าวเท้าออกจากจุดที่เคยยืน ก็มีสายลมเย็นพัดแผ่วๆ มาจากทางต้นไม้ที่พันผ้าสามสีที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งในสถานการณ์ที่กำลังสับสนแบบนี้ ลมเบาๆ มันก็ทำให้ฉันหนาวสะท้านไปทั้งตัวราวกับยืนอยู่กลางพายุหิมะ แข้งขาของฉันเริ่มสั่นระรัวจนรับน้ำหนักร่างกายไม่อยู่ แล้วร่างกายของฉันก็ทรุดลงไปนั่งพับเพียบกับพื้นดินอย่างฝืนไม่ได้!
“ฟ้า! เป็นอะไรน่ะ?” ต่ายตะโกนถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นฉันทรุดลงไป แต่ฉันไม่สามารถที่จะตอบเธอได้ เพราะฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาปิดปากเอาไว้ไม่ให้พูดตอบโต้เธอ ร่างกายของฉันสั่นไปหมดจนเหมือนคนเป็นลมชัก และฉันก็ไม่สามารถควบคุมการสั่นจากความกลัวนี้ได้ ซึ่งนั่นมันทำให้ฉันอยากจะสลบหนีจากสภาพน่าทุเรศนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยด้วยซ้ำ!
“อย่าเดินกลับมา กัซ!” เสียงของเอกตะโกนห้ามเมื่อหนุ่มรูปงามจะเข้ามาใกล้ฉัน “นายเข้าใกล้ตัวบ้านกว่าฉันแล้ว รีบพาต่ายขึ้นไปบนบ้านก่อนเถอะ ฉันจะพาฟ้าตามขึ้นไปเอง!”
“ทำตามที่เอกบอกเถอะกัซ” เด็กสาวร่างเล็กบอกด้วยเสียงออดอ้อนก่อนที่กัซจะทันได้คัดค้านอะไร แล้วหันกลับมาหาเอก “ว่าแต่นายคนเดียวจะไหวเหรอ? ยัยฟ้าตัวสั่นยังกะเจ้าเข้าขนาดนี้”
“ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอกน่า พวกเธอรีบขึ้นไปเถอะ! เร็ว!” เอกหันกลับไปย้ำให้พวกต่ายมั่นใจอีกครั้งว่าควรจะทำอะไรต่อ กัซและต่ายพยักหน้ารับคำก่อนที่จะรีบเดินกลับไปทางบ้านไม้ใต้ถุนสูง ทิ้งให้ฉันที่กำลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า อยู่กับเด็กหนุ่มผู้ชอบกวนประสาทฉันเป็นประจำกันเพียงแค่สองคน
ถึงแม้ว่าฉันจะหมดเรี่ยวหมดแรงและไม่สามารถควบคุมให้ร่างกายตัวเองหยุดสั่นด้วยความกลัวได้ก็ตามที แต่ประสาทสัมผัสของฉันยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ ฉันมองเห็นว่านอกจากเอกแล้ว ในลานกว้างที่เคยว่างเปล่าเมื่อพวกเราลงมานั้น ตอนนี้มีอะไรต่อมิอะไรที่ฉันไม่อยากจะบรรยายเต็มไปหมด
ดวงไฟประหลาดหลากขนาดหลากสีสันลอยวนเวียนรอบบริเวณอย่างช้าๆ มันวนเวียนรอบเอกที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ฉัน รอบตัวฉันที่กำลังสั่นกลัวเพราะเห็นภาพพวกนั้นเข้า และดูเหมือนว่าจะวนเวียนอยู่ใกล้อีกสองคนที่กำลังจะเดินกลับขึ้นไปบนบ้านด้วย
แต่ทำไมกัซกับต่ายถึงเดินกลับขึ้นบ้านอย่างหน้าตาเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิดกันนะ? หรือว่าจะมีแค่ฉันเพียงคนเดียวที่เห็นลูกไฟประหลาดพวกนั้นล่ะเนี่ย?
มือที่มองไม่เห็นปิดปากฉันแน่นราวกับไม่อยากให้ร้องบอกเอกว่าเห็นอะไรบ้าง เอกผู้คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ก้าวเข้ามาใกล้ฉันและนั่งยองๆ ลงต่อหน้าร่างที่กำลังสั่นเพราะขวัญกระเจิงของฉันโดยที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เขาค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันเพื่อมองให้เห็นถนัดตามประสาคนสายตาสั้น จนกระทั่งหน้าของเขาห่างจากหน้าของฉันเพียงคืบกว่าๆ! ถ้าหากใครผลักเขาหกล้มขึ้นมาตอนนี้ล่ะก็ มีหวังฉันได้เสียจูบแรกให้กับเจ้าคนกวนประสาทนี่แน่ๆ!
แต่ฉันก็ต้องอยากให้เอกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันมากกว่านี้ขึ้นมาทันที เมื่อดวงไฟสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นลอยผ่านระหว่างหน้าฉันกับเอก และมันคงจะไม่ทำให้ฉันตกใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากว่าดวงไฟดวงนั้นไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชรา ที่กำลังแสยะยิ้มมาให้ฉัน!
ดวงไฟนั้นลอยอยู่ตรงหน้าฉันและฉีกยิ้มกว้างขึ้นทุกที แถมยังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ด้วยอีกต่างหาก! ฉันพยายามจะปัดเจ้าลูกไฟออก แต่มันก็ทะลุผ่านมือของฉันไปเสียอย่างนั้น! และนั่นก็ทำให้ร่างกายของฉันสั่นยิ่งกว่าเดิมราวกับลูกหมาที่เพิ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำ ฉันพยายามกรีดร้องออกมาแต่ไม่สำเร็จ แล้วหูของฉันก็แว่วยินเสียงใสที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน กระซิบเบาๆ มาจากทางด้านหลัง
“ย่านอะหยัง? คุณเองก็บ่ได้ต่างจากหมู่เฮาเลยเน้อเจ้า ฮิฮิ”
เสียงนั่นมันเสียงของเอื้องคำชัดๆ! แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ด้านหลังฉันล่ะ? หรือเธอคือเจ้าของมือที่มองไม่เห็นนั่น? แล้วคำพูดนั่นหมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย?
ยังไม่ทันที่ฉันจะหายสงสัย ดวงไฟประหลาดนั้นล่องลอยเข้ามาจนห่างจากหน้าของฉันเพียงไม่ถึงคืบ! ราวกับอยากจะมอบจุมพิตแรกให้กับฉันก็ว่าได้!
ในเสี้ยววินาทีที่ใบหน้าของฉันกำลังจะแนบชิดเข้ากับใบหน้าบนดวงไฟประหลาดนั้นเอง เอกก็สะบัดมือผ่านระหว่างใบหน้าของฉันกับเขาอย่างรวดเร็วเหมือนกับปัดแมลงวัน ส่งผลให้ดวงไฟประหลาดดวงนั้นปลิวไปจากใบหน้าของฉันไปในทันที!
ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าเขาจงใจเพราะมองเห็นดวงไฟนั่นเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ฉันก็อยากจะขอบคุณเขาจริงๆ เพราะมันทำให้ฉันรอดพ้นจากจุมพิตสยองขวัญนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด!
“สงบไว้ก่อนฟ้า! ลุกขึ้นยืนเองไหวหรือเปล่า?” เอกถามด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใยฉันอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากผู้ชายกวนประสาทแบบเขา
ฉันรู้สึกว่ามือที่มองไม่เห็นนั้นออกไปจากปากแล้ว จึงพยายามจะพูดจาโต้ตอบ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไร้ผลเพราะขากรรไกรของฉันสั่นกระทบกันจนไม่อาจจะพูดได้ เลยได้แต่ส่ายหน้าตอบกลับไปแทนคำพูดเท่านั้น
ดูเหมือนเอกก็จะรับรู้ถึงคำตอบ เขาส่งมือมาให้จับเพื่อจะให้ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นได้ แต่ว่าตอนนี้เรี่ยวแรงของฉันที่เหลืออยู่นั้นมันยังมีไม่พอสำหรับการเอื้อมมือไปจับมือของเขาเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้อ... กลัวขนาดขยับตัวไม่ไหวเลยเหรอเนี่ย? ขวัญอ่อนสมเป็นเธอจริงเลยนะ” เอกกล่าวขึ้นมาพลางยิ้มด้วยท่าทางทียียวนกวนประสาท “ปล่อยทิ้งเอาไว้นี่ดีกว่ามั้ง อยากเห็นเธอกลัวจนฉี่ราดจริงๆ จะได้เรียกให้ให้กัซมันมาดูซะหน่อย ฮะฮะฮะฮ่า”
“อีตาบ้า!” ฉันโพล่งออกไปทันทีเมื่อรู้ว่าเอกคิดจะประจานฉันตอนอยู่ในสภาพทุเรศแบบนั้นให้กัซรู้ ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหมอนี่ถึงได้ชอบหัวเราะเยาะเมื่อเห็นฉันกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่ทุกทีเลย ที่เห็นว่ามีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเมื่อกี้คงเพราะฉันตาฝาดไปล่ะมั้ง
“อ้าว! หายสั่นแล้วแฮะ” เด็กหนุ่มผู้ชอบกวนประสาทพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ากวนโอ๊ย “งั้นก็รีบลุกขึ้นมาซะ ไม่งั้นก็จับมือฉันก็ได้ หรือจะให้อุ้ม?”
ฉันประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่ตัวเองหายสั่น ทั้งที่ตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกกลัวพวกดวงไฟประหลาดที่ลอยวนไปวนมาอยู่รอบลานกว้าง อาจเป็นเพราะว่าความโกรธที่มีต่อเอกเมื่อครู่นี้มันทำให้เลือดลมฉันสูบฉีดขึ้นมาจนหายสั่น ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหมอนั่นจงใจยั่วโมโหฉันเพราะจุดประสงค์นี้แต่แรก หรือนี่เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
“ร... รู้สึกว่าฉันจะยังลุกไม่ไหว น... นี่นายไม่กลัวอะไรพวกนี้บ้างเลยรึไง...” ฉันถามเขา หลังจากที่พลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้ว แต่แข้งขากับอ่อนแรงจนทรงตัวไม่ได้
“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวนี่นา” เอกพลางยื่นมือซ้ายมาให้ฉันจับ “ถ้าลุกไม่ไหวก็จับมือฉันไว้ แล้วก็มองมาที่ฉันก็พอ อย่ามองซ้ายมองขวาให้มันมากไป เดี๋ยวก็เห็นภาพหลอนอะไรอีกหรอก”
ฉันพยายามจะทำตามที่เอกบอก แต่ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เมื่อจู่ๆ ก็มีนกฮูกตัวหนึ่งบินมายืนอยู่ระหว่างฉันกับเอก โดยที่หันหน้าไปมองทางเด็กหนุ่ม พร้อมกับกางปีกขวางเหมือนไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวฉัน
“ถึงเวลาแล้วงั้นสินะ? นี่เจ้านายของแกต้องการให้ทำแบบนั้นจริงๆ เหรอ?” เอกบ่นพึมพำขึ้นมาหลังจากย่อตัวลงแล้วจ้องหน้านกฮูกตัวนั้นครู่ใหญ่ ก่อนที่เจ้านกประหลาดนั่นหันเพียงแค่ส่วนหัวมายังฉัน ทั้งที่ส่วนอื่นของมันยังคงหันไปทางเด็กหนุ่มร่างผอม! ดวงตากลมโตที่เรืองแสงสีแดงราวกับปีศาจของมันจับจ้องมาอยางน่าหวาดหวั่น แล้วมันก็บินพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของฉันอย่างรวดเร็ว!
ฉันร้องลั่นออกมาไม่เป็นภาษา เมื่อโดนกรงเล็บของมันจิกลงไปที่ใบหน้าอย่างรุนแรง ฉันรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลรินออกมาจากใบหน้า! จากนั้นจะงอยปากของมันจิกตามมา จนฉันรู้สึกได้ว่ามีเนื้อหนังบางส่วนหลุดออกไปจากใบหน้าเนียนนวลของตัวเองแล้ว!
หูของฉันได้ยินเสียงเอกตะโกนอะไรบางอย่าง แต่ก็ฟังไม่รู้เรื่องเพราะเสียงกรีดร้องที่ไม่เป็นภาษาของตัวเองดังกลบไปจนหมด ฉันได้ยินเสียงกัซวิ่งลงมาจากบ้านพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียก แต่เลือดที่ไหลรินเข้าตาของฉันมันทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด... แล้วขาทั้งสองข้างของฉันมันออกวิ่งไปเองเพื่อจะหลบหนีเจ้านกบ้านั่น โดยที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะวิ่งหนีไปที่ไหน!
แม้เลือดจะไหลเข้าตาจนมองไม่เห็น แต่ผิวหนังก็รู้สึกได้ว่ากิ่งไม้และพงหนามจำนวนไม่น้อยขีดข่วนผ่านเสื้อผ้า มันพอทำให้ฉันเข้าใจได้ว่าตอนนี้ตัวเองหลุดเข้ามาในป่าแล้ว ถึงแบบนั้นฉันไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไปนอกจากวิ่ง วิ่ง และวิ่งไปข้างหน้าราวกับคนเสียสติ!
แล้วเรี่ยวแรงของฉันก็หมดลง พร้อมกับความรู้สึกว่าเจ้านกบ้าไม่ได้ตามมาแล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ได้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะเลือดที่ไหลเข้าตามา มันทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด!
ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ร้องระงม ฉันนั่งลงกับพื้นและพยายามคลำทางรอบด้านก็พบว่ามีแต่ต้นไม้! ฉันรู้สึกได้ถึงเลือดสดๆ ที่ไหลรินออกมาจากใบหน้าและผิวหนังทั่วร่างเรื่อยๆ และก็คงไม่มีใครมาช่วยเหลือฉันที่กำลังหลงทางอยู่กลางป่าในตอนนี้แน่ๆ
ฉันพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยเสียงที่แหบพร่า เนื่องจากกรีดร้องด้วยความทรมานมาตลอดทางจนคอแห้ง แต่ไม่ว่าจะตะโกนไปสักกี่ครั้งก็ไม่มีใครตอบรับเสียงตะโกนของฉันเลยแม้แต่น้อย… นี่ช่างเป็นสถานการณ์นี่น่าสิ้นหวังจริงๆ
หรือว่าฉันจะต้องมาตายอย่างน่าอนาถตรงนี้ล่ะเนี่ย...
น้ำอุ่นๆ ไหลรินออกมาจากสองตาของฉันโดยไม่รู้ตัว มันชะล้างเลือดสีแดงออกจากดวงตาจนเริ่มทำให้มองเห็นทัศนียภาพรอบตัวได้ แต่นั่นมันก็ทำให้รู้สึกสิ้นหวังมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะว่าเบื้องหน้าของนั้นมีแต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายจนเกือบจะมองไม่เห็นท้องฟ้า
ดูจากความสูงของดวงจันทร์เหนือป่าโปร่งในตอนนี้แล้ว คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะมีใครสักคนเข้ามาในป่าเพื่อตามหาฉัน และคืนนี้ฉันก็คงต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ป่าที่หิวโซอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นั่นก็ยังดีที่อย่างน้อยก่อนจะตาย ร่างกายตัวเองก็ยังได้ทำประโยชน์ให้กับเพื่อนร่วมโลกบ้าง…
ฉันปิดเปลือกตาลง ขณะที่เลือดอุ่นๆ ยังคงไหลรินออกมาจากบาดแผลของฉันต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ร่างกายที่อ่อนแรงหลังจากผ่านการวิ่งมาเป็นเวลานานเริ่มต้องการอะไรสักอย่างมาดื่มดับกระหาย แต่เท่าที่ดูแล้วฉันคงไม่มีอะไรมาให้ตามที่ร่างกายเรียกร้องแน่ๆ
ช่วงเวลาที่ต้องมานอนรอความเป็นความตายแบบนี้ อะไรต่อมิอะไรหลายอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวฉันโดยไม่รู้ตัว ทั้งเรื่องคุณพ่อคุณแม่ที่รักและเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่ฉันจำความได้ ทั้งเรื่องเพื่อนๆ ทั้งหมดที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดในชีวิตมัธยมปลาย ทั้งเรื่องที่เคยทำกับเพื่อนๆ มาตลอด ราวกับว่าความทรงจำดีๆ เหล่านี้จะมาเป็นของขวัญให้ฉันจดจำติดตัวไปในโลกหน้า...
แต่แล้วห้วงความทรงจำอันแสนสุขของฉันก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อเสียงของกลุ่มคนที่พูดคุยกันมากระทบโสตประสาทของฉัน ทำให้ฉันต้องลืมตามามองดูรอบตัว เผื่อว่าจะมีใครสักคนผ่านมาช่วยเหลือฉัน แต่ก็มองไม่เห็นใครสักคน มีเพียงดวงไฟประหลาดหลากสีสันแบบเดียวกับที่ลานกว้างเท่านั้น!
“ขอสุมาด้วยเจ้า หมู่เฮาบ่อยากจะยะจะอี้ แต่เจ้านางหื้อหมู่เฮายะ หมู่เฮาขัดบ่ได้” เสียงใสที่ฉันคุ้นหูดังขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย เหมือนกับรู้สึกผิดเสียงเต็มประดา ก่อนที่เสียงเหยียบใบไม้กรอบแกรบจะแว่วมา แล้วฉันก็พบว่าร่างเพรียวงามของเอื้องคำค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ฉันทุกขณะ
“อ... เอื้องคำใช่ไหม? จ... เจ้านางที่ว่าเป็นใคร? คิดจะทำอะไรกับพวกฉันกันแน่!?” ฉันรวบรวมเรี่ยวแรงถาม แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ เด็กสาวผู้สวมเสื้อแขนกระบอกเพียงแค่ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า แล้วเอื้อมมือเข้ามาลูบใบหน้าของฉันเพียงเท่านั้น...
ฉันไม่รู้ว่าเอื้องคำตั้งใจจะทำอะไร แล้วเจ้านางหรือเจ้าหญิงเป็นใครกันแน่อะไรนั่น แต่ฉันก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะขัดขืนได้อีก... ความเงียบสงัดในป่ายามราตรีทำให้ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นช้าลงทุกขณะ ลมหายใจอันรวยรินเริ่มแผ่วเบาราวกับว่าเรี่ยวแรงที่ใช้หายใจใกล้จะหมดลง สติสัมปชัญญะก็เริ่มเลือนลางลงไป เหมือนกับใกล้จะดับวูบลงไป... ประสาทสัมผัสทั้งหลายเริ่มพร่าเลือน... ฉันรู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังจะก้าวย่างมาเยือนทุกขณะ...
แล้วความรู้สึกทั้งหมดของฉันก็ดับวูบลงไป อย่างที่มันควรจะเป็นมานานแล้ว...
