บทที่ 3 ลำนำยามราตรี
บทที่ 3 ลำนำยามราตรี
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงนับตั้งแต่พวกฉันเข้ามาในหมู่บ้าน ตอนนี้พวกเราอยู่บนเรือนรับรองแขกที่นายบ้านจัดให้เป็นที่พัก และกำลังนั่งๆ นอนๆ ดูดวงจันทร์ครึ่งดวงบนฟากฟ้าอยู่ที่นอกชาน หลังจากกินข้าวและอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่ชาวบ้านให้ยืมใส่กันเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจิตใจของฉันจะยังเต็มไปด้วยความกลัวระคนกับความสงสัยในเรื่องของเอื้องคำ แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะปริปากบอกเพื่อนๆ ออกไปในคืนนี้ เพราะเกรงว่าพวกเขาจะกลัวหรือขวัญเสียขึ้นมา
“แกงที่พี่เขาให้พวกเรากินเมื่อกี้อร่อยจังเนอะ เขาเรียกว่าแกงอะไรมีใครพอจะรู้บ้างเปล่าเนี่ย?” เสียงของมินท์ในชุดเสื้อแขนสั้นผ่าอกสีฟ้าเอ่ยถาม หลังจากพวกเรานั่งมองท้องฟ้ากันมาพักใหญ่
“เขาเรียกว่าแกงอ่อม ไม่รู้จักหรือไง? โง่จริงๆ” เอกในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำกล่าวขึ้นมา ขณะที่ตัวเองหลับตานอนตะแคงเหมือนไม่ได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำไปกับพวกเราเลยสักนิด
“ก็เพราะไม่รู้น่ะสิ ถึงได้ถาม แค่นี้ต้องว่าฉันโง่เลยรึไง?!” มินท์พูดพลางหันไปมองเอกด้วยแววตาไม่พอใจ “ว่าแต่นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย? ไม่ออกมาดูเดือนดูดาวแล้วจะออกมาทำไมไม่ทราบ?”
“ออกมานอนรับลมน่ะ มันเย็นดี และฉันก็ไม่ได้เอาแว่นมา มองท้องฟ้าไม่ชัดหรอก” เอกกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจต่อรังสีอำมหิตจากมินท์เลยสักนิด อาจเป็นเพราะว่าหลับตาอยู่ เลยมองไม่เห็นสายตาของเด็กสาวผิวขาว ว่าสายตาของเธอนั้นมันเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาขนาดไหน
“เอ่อ... แล้วพวกเราจะได้กลับบ้านกันตอนไหนน่ะ? แล้วใครจะมารับพวกเรากลับเหรอ? ไปพูดเรื่องนี้กันตอนไหนเนี่ย?” ฉันถามด้วยความสงสัย เพราะว่าตอนที่กินข้าวกันไม่เห็นมีใครพูดเรื่องกลับบ้านกันเลยสักคน
“ก็คุยกันตอนเธอไปอาบน้ำน่ะ คือพรุ่งนี้เช้านายบ้านเขาจะให้คนพาพวกเราไปรีสอร์ท ป่านนี้พวกนั้นคงออกตามหาพวกเรากันจ้าละหวั่นอยู่เหมือนกันแหละ” กัซในชุดเดียวกับเอกเอ่ยขึ้นมา ขณะที่ตัวเองกำลังนั่งพิงผนังและเหม่อมองไปยังท้องฟ้ายามดึก
“ถ้าจู่ๆ เราโผล่ไป มีหวังพวกนั้นคงตกใจกันน่าดูเลยเนอะ ฉันล่ะอยากเห็นหน้าเจ้าพวกนั้นจัง” มินท์ยิ้มเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะมองไปที่ใครบางคนซึ่งกำลังนั่งเงียบ
“ว่าแต่เธอจะไม่พูดอะไรเลยรึไง?”
“ก็… ไม่มีใครให้โอกาสฉันพูดเลยนี่” ต่ายในชุดเสื้อแขนสั้นผ่าอกสีชมพูพูดพลางมองหน้ามินท์กลับมาด้วยสายตาน่าสงสาร
“โอ๋... อย่าร้องนะน้องหนู” มินท์กระเซ้าต่ายเล่น “จะพูดอะไรก็พูดเลยจ้ะ พี่ไม่กัดหรอก”
“จ้า… พี่สาว” ต่ายรับมุก แล้วพูดออกมาบ้าง “อยากจะบอกว่า... ทุกคนลองมองยัยฟ้าดูให้ดีสิ”
“ทำไมเหรอ?!” ทุกเสียงรวมทั้งฉันดังประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมายทันที นี่ฉันมีอะไรเกาะที่หน้าหรือว่าเสื้อแขนกระบอกกับผ้าซิ่นที่ใส่ตอนนี้มันดูไม่เข้ากับฉันมากรึไง?! ยัยต่ายถึงได้พูดอะไรทำนองนี้ออกมาได้
“อยากรู้ก็ยืนขึ้นสิฟ้า” ต่ายพูดขึ้น ฉันจึงรีบทำตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เธอเล่นละครโรงเรียนทุกปี ถ้าฉันจะให้ลองทำอะไรหวังว่าคงสมบทบาทนะ” ต่ายพูดขึ้นมาก่อนที่จะอมยิ้ม ทำเอาฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะให้ฉันทำอะไรบ้าๆ ให้ผองเพื่อนดูกันหรือเปล่า
“จะให้ทำอะไรก็ว่ามา แต่ถ้ามันติงต๊องเกินฉันไม่เอาด้วยนะ!” ฉันดักคอไว้ล่วงหน้า เพราะฉันก็ไม่อยากจะทำอะไรที่มันไม่น่าดูให้พวกผู้ชายเห็นด้วยสิ โดยเฉพาะกัซ
“ลองกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปสักพักแล้วหยุด แล้วก็หันกลับมามองพวกเราแล้วก็ยิ้มแบบเด็กไร้เดียงสาดูสิ ฮิฮิ” ต่ายบอกไปพร้อมแอบหัวเราะนิดๆ ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยว่าจะให้ทำไปเพื่ออะไร แต่ฝีมือการแสดงระดับฉันแล้ว คงทำได้ไม่ยากเท่าไรหรอกน่า
ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินแบบเด็กวัยกำลังซน ก่อนที่หยุดกะทันหันแล้วเหลียวกลับมามองพวกต่ายด้วยท่าทางไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ตามที่ต่ายต้องการให้ทำ ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่ต่าย มินท์ แล้วก็กัซกลับทำหน้าตะลึงเล็กน้อย
“มินท์ว่าคล้ายหรือเปล่า?” ยัยต่ายเอ่ยถาม
“คล้ายมาก จะว่าเหมือนก็ได้เลยนะเนี่ย... ว่าไหมกัซ?” มินท์หันไปถามกัซอีกต่อหนึ่ง ซึ่งหนุ่มรูปงามก็พยักหน้าบอกว่าเห็นด้วยเช่นเดียวกัน
“ถ้าขาวกว่านี้อีกนิด แล้วก็เตี้ยลงอีกหน่อยล่ะก็... ใช่เลยล่ะ” ยัยต่ายพูดขึ้น ก่อนที่เสียงของยัยมินท์กับกัซจะดังประสานกันเป็นเสียงเดียวว่า
“เห็นด้วยเลยแหละ”
“จะบอกว่าฉันเหมือนอะไรไม่ทราบ?!” ฉันถามขึ้นมาด้วยเสียงดังพอดู เพราะอยากรู้คำตอบ ก็เล่นแอบขำกันโดยที่ฉันไม่รู้ว่าขำเรื่องอะไรแบบนี้ฉันไม่ชอบเลย
“เหมือนเอื้องคำไง ทั้งทรงหน้า ตาคม ผมก็ยาวเหมือนกัน แถมชุดที่ใส่ก็คล้ายกันอีก” ต่ายตอบพลางยิ้มแป้น
“จะบ้าเหรอ! ใครจะไปอยากเหมือนกับ...” ฉันหยุดคำพูดไปดื้อๆ เมื่อคิดได้ว่าพวกเพื่อนยังไม่รู้ว่าสาวน้อยที่พวกเขาพูดถึงนั่นทำเอาฉันต้องประหลาดใจขนาดไหน
“กับอะไรเหรอ? เอื้องคำกับเธอมีลับลมคมในอะไรกันมิทราบ? หรือเคยรู้จักกันมาก่อน?” มินท์พูดพลางมองหน้าฉันเขม็งราวกับจะกระโดดมาบีบคอถ้าฉันไม่ยอมพูดต่อให้จบ
“ช่างมันเถอะน่า” ฉันพยายามตัดบทสนทนาและเดินหนีไป แต่ดูเหมือนว่าความพยายามหนีของฉันมันเทียบกับความอยากรู้อยากเห็นของยัยนั่นไม่ติด เพราะยัยนั่นเดินมาขวางหน้าเพื่อไม่ให้ฉันหนีได้ แถมยังมองหน้าฉันเหมือนกับครูฝ่ายปกครองที่กำลังบังคับให้นักเรียนสารภาพผิดอย่างงั้นแหละ!
แต่ความพยายามที่จะคาดคั้นให้ฉันเปิดปากพูดของยัยนั่นก็สิ้นสุดลง เมื่อเสียงหวานๆ เย็นๆ ที่กำลังขับขานบทเพลง แว่วมาจากทางต้นไม้ใหญ่ที่ผูกผ้าแพรสามสี ทำเอาทุกคนที่กำลังอยู่ที่นอกชานต้องปิดปากเงียบเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงเพลงนั้น
“ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกายมิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ
ค่ำคืนเอ๋ย.……
ยามนภาคล้ำไปใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอกเจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย.... เอ๋ย…..เล่านกเอย”
“นี่มันเสียงของเอื้องคำนี่นา” กัซพูดขึ้นก่อนที่จะลุกขึ้นยืน แล้วหันหน้าไปทางทิศที่เป็นลานกว้างกลางหมู่บ้าน ต่ายเห็นแบบนั้นก็ลุกขึ้นยืนตามกัซ แล้วหันมาบอกมินท์
“ถ้าเกิดว่าเธออยากรู้ว่าเอื้องคำกับฟ้ามีลับลมคมในอะไรกัน ฉันว่าเราลงไปถามเอื้องคำกันดีกว่าไหม?”
“ต่ายพูดเข้าท่าดีนี่” มินท์กล่าว ก่อนที่จะละสายตาแฝงรังสีอำมหิตไปจากฉัน “พวกเราลงไปหาเอื้องคำกันดีกว่า เนอะ”
“อย่าดีกว่า! ทำแบบนั้นแล้วคิดว่ามันจะดีแน่เรอะ!? พี่ที่ดูแลก็กำชับนักกำชับหนาว่าหมู่บ้านมีกฎห้ามลงไปข้างล่างตอนดึกเด็ดขาดเนี่ยนะ!” เอกคัดค้านเสียงแข็ง
“แหกกฎนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า” กัซพยายามเกลี้ยกล่อม “ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอันตรายเท่าไร ถ้ามีอันตรายจริงๆ เด็กผู้หญิงจะกล้ามาเดินเล่นคนเดียวตอนดึกเหรอ? และอีกอย่าง พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับกันแล้ว ไม่คิดจะไปลาเธอหน่อยหรือไง? เธออุตส่าห์พาพวกเรามานี่นะ ไม่งั้นหลงทางกันกลางป่าไปแล้ว”
“จะไปก็ไปเถอะ ฉันอยู่เฝ้าบ้านดีกว่า” เอกพูดจบก็ล้มตัวลงนอนต่อ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงของต่ายพูดขึ้นมา ขณะเดินไปที่บันไดกับกัซและมินท์
“คนทิ้งเพื่อน ฉันล่ะเกลียดที่สุดเลย!”
“เดี๋ยวๆ! ฉันไปด้วยก็ได้” เอกรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตามพวกนั้นไปทันที ปล่อยให้ฉันยืนพูดอะไรไม่ออกอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง
ทุกคนกำลังไปหาผู้หญิงที่ทำฉันต้องขวัญผวาเหรอเนี่ย! หวังว่าเธอคงไม่ทำอะไรพวกเพื่อนฉันนะ!
“จะไม่ลงไปด้วยกันหรือฟ้า? อยู่คนเดียวไม่กลัวผีเหรอ” มินท์กล่าวขึ้นพลางหัวเราะข่มขวัญ “ฉันเห็นนะ ว่าตอนพวกเราแยกมาจากเอื้องคำแล้ว พวกเธอก็ยังคุยอะไรกันอยู่น่ะ รึว่ามีความลับอะไรกะเอื้องคำละสิท่า”
“ป... ไปสิ! ฉ... ฉันกับเธอไม่ได้มีเรื่องอะไรกันซะหน่อย” ฉันพูดขึ้นก่อนที่จะรีบเดินตามพวกเธอไป แม้จะสังหรณ์ใจว่าถ้าลงไปแล้วจะเจออะไรเขย่าขวัญตัวเองอีก แต่การโดนเขย่าขวัญร่วมกับเพื่อนๆ มันคงจะดีกว่ามานั่งขวัญผวาคนเดียวเป็นไหนๆ
พวกเพื่อนทั้งสี่คนของฉันรีบเดินลงบันไดกันไปอย่างรวดเร็วราวกับจงใจที่ไม่รอกัน แต่ฉันก็รีบสาวเท้าเดินลงบันไดตามพวกนั้นไปอย่างรวดเร็วจนทัน เพราะบรรยากาศวังเวงน่ากลัวแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากเดินรั้งท้ายขบวนนักหรอก!
พวกเราใส่รองเท้าแตะที่พวกพี่ในหมู่บ้านวางไว้ให้ ก่อนที่จะพากันมุ่งหน้าไปที่ต้นไม้ใหญ่กลางลานหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ที่เสียงเพลงเมื่อครู่แว่วมาจากทางนั้น แต่ว่าในตอนนี้เสียงร้องเพลงนั้นเงียบหายไปแล้ว
แสงจากดวงจันทร์ครึ่งดวงส่องสว่างมากจนฉันสามารถมองเห็นทัศนวิสัยรอบตัวได้อย่างชัดเจน ความสว่างนั้น มันก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะสังเกตบริเวณรอบๆ บ้านไม้ใต้ถุนสูงทุกหลังที่อยู่รายรอบลานกว้างมืดสนิท ปราศจากแสงจากหลอดไฟหรือตะเกียง ราวกับว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้ต่างพากันนอนหลับกันหมด แม้แต่บนลานกว้างที่พวกเรามากันได้ราวครึ่งทางก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านอย่างไก่ เป็ด หรือสุนัขเลยแม้แต่ตัวเดียว
แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าแสงจันทร์จะสว่างขนาดไหน แต่ฉันกลับมองไม่ค่อยชัดเจนเลยว่า ใต้ต้นไม้ที่พันผ้าสามสีนั้น มีใครหรืออะไรอยู่หรือเปล่า ที่เห็นก็เป็นเพียงเงาตะคุ่มเท่านั้น
ฉันรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ทำให้ความเงียบสงัดยังคงกินเวลาต่อไป และมันทำให้ความหวาดกลัวค่อยๆ มาเกาะกินจิตใจของฉันเรื่อยๆ
ตอนนี้ฉันขอล่ะ ใครก็ได้ช่วยพูดอะไรออกมาสักคำทีเถอะ!
“อกฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาว... พระพายที่พัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่นทอน.....
ยามนี้เราหลงทาง กลางค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร ฉันร่อนเร่พเนจร
ไม่รู้จะนอนไหนเอย เอ๋ย...โอ้...หัวอกเอย.....”
เสียงหวานๆ เย็นๆ แบบเดียวกับที่ทำให้พวกเราต้องเดินไปที่ต้นไม้นั้น ขับขานบทเพลงต่อจากเดิมแว่วมาจากทางต้นไม้ใหญ่ที่เป็นจุดมุ่งหมาย ทำให้พวกเราที่ต้องหยุดนิ่งเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงร้องนั้น เสียงร้องที่ไพเราะจับใจ แต่วังเวงจนทำเอาฉันขนลุกไปทั้งตัว!
“มาไม่เสียเที่ยวแล้วล่ะ! เสียงเอื้องคำร้องเพลงยังมาจากทางต้นไม้นั่นอยู่เลย” มินท์กล่าวขึ้นมาอย่างมั่นอกมั่นใจพลางชี้มือไปที่ต้นไม้ แต่ว่าฉันกลับมองไม่เห็นและก็ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าใต้ต้นไม้นั้นมีใครหรือว่าอะไรอยู่!
แล้วถ้าอย่างนั้น เสียงนั่นมาจากไหนกันล่ะ?
“น....นี่ ทำไมไม่ลองตะโกนเรียกเธอจากตรงนี้เลยล่ะ?” ฉันเสนอความคิดเห็นหลังจากที่เงียบมานาน “ถ...ถ้าเกิดว่าที่อยู่ตรงนั้นใช่เอื้องคำจริงๆ เธอจะได้ตะโกนกลับมา ถ้าไม่ใช่จะได้กลับกันเลยไง”
“เป็นความคิดที่เข้าท่านะ ลองทำแบบที่ฟ้าบอกก็ดี” กัซพูดขึ้นกับทุกคนหลังจากฟังความเห็นของฉันพลางมองมาด้วยสายตาที่เข้าอกเข้าใจดี ว่าฉันไม่อยากจะอยู่ที่ลานกว้างนี่อีกแล้ว!
“อืม... ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเวลามาก” มินท์ตอบรับความเห็น
“แต่ว่า...” ต่ายพยายามขัดสาวห้าวประจำกลุ่ม แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอสายตากดดันของมินท์เข้า เด็กสาวหน้าอ่อนจึงปล่อยให้มินท์ทำอะไรตามใจโดยที่ไม่กล้าขัดเหมือนกับทุกครั้ง
“เอื้องคำ! อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?! ถ้าอยู่ช่วยตอบด้วย!” มินท์ป้องปากและตะโกนไปทางต้นไม้ที่พันผ้าสามสี ซึ่งเป็นที่ที่พวกเราคิดว่าเอื้องคำอยู่ตรงนั้น
“เอื้องคำ! อยู่นั่นหรือเปล่าครับ!” กัซป้องปากตะโกนร้องเรียกไปบ้าง
ฉันก็พยายามจะป้องปากเพื่อตะโกนเรียกชื่อเด็กสาวปริศนาคนนั้นบ้าง แต่ยังไม่ทันที่จะทำแบบนั้นก็ต้องหยุดชะงักไปก่อน เพราะรู้สึกเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่าง ลูบไล้เรือนร่างของตัวเองจากทางด้านหลัง ตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงสะโพก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะฉันยืนรั้งท้ายกลุ่ม และนอกจากพวกเราแล้ว ก็ไม่มีใครที่ลานกว้างนี้เลยสักคน!
แล้วใครอยู่ข้างหลังฉันล่ะ!?
ถ้าหากว่ามีความกล้ามากกว่านี้อีกสักนิดล่ะก็ ฉันก็คงจะหันไปให้มันรู้ดำรู้แดง แต่ฉันไม่กล้าพอ เพราะถ้าเกิดว่าฉันหันไปแล้วเจออะไรที่มันน่าสยดสยอง หรือว่าไม่เจออะไรเลย มีหวังฉันคงเป็นลมล้มพับไปคนเดียวแน่!
ฉันพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี เดินเข้าไปใกล้ชิดกับพวกเพื่อนทั้งที่แข้งขาเริ่มสั่นจนยืนแทบไม่ไหว เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าอยู่ใกล้เพื่อนแล้วเกิดเจออะไรที่มันน่ากลัวขึ้นมา ก็ได้ไม่ต้องมานั่งขวัญผวาอยู่คนเดียว
“เอื้องคำ! อยู่หรือเปล่า?!” เสียงต่ายตะโกนขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มีการตอบรับมาจากต้นไม้นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“สงสัยจะไม่อยู่” เอกกล่าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าทุกคนตะโกนกันมานานพอดูแล้ว “รีบกลับขึ้นไปบนบ้านกันดีกว่ามั้ง”
“ยัยฟ้า ลองเรียกเอื้องคำดูบ้างสิ เผื่อเธอจะตอบกลับมาบ้าง” ยัยมินท์บอกกับฉันด้วยสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ในเมื่อตะโกนกันขนาดนี้แล้วไม่มีใครตอบกลับมา ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครอยู่ หรือถ้าอยู่ เขาก็คงไม่อยากจะคุยกับเรานักหรอก
“เอ่อ... ก็ได้” ฉันรับคำยัยมินท์เมื่อเห็นสายตากดดันของเธอ ก่อนที่จะเอามือป้องปากและตะโกนไปทางต้นไม้ใหญ่นั่น
“เอื้องคำ! อยู่หรือเปล่า?”
“อะหยังล่ะก๊ะ?” เสียงที่ฟังดูใสซื่อไร้เดียงสาแว่วขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเราทุกคน ทำให้พวกเราทั้งห้าต้องหันกลับไปมองจนเกือบจะพร้อมกัน และพบว่าเด็กสาวบ้านป่าที่กำลังตามหานั้น ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเรานั่นเอง!
แต่เสียงของเธอมันดังมาจากต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าพวกเรานี่! แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ด้านหลังได้ล่ะ?
“เอื้องคำ!” ฉันกล่าวชื่อเธอออกไปอย่างประหลาดใจ ขณะที่เสียงของเอกก็พึมพำอะไรบางอย่างขึ้นมาเบาๆ จนฟังไม่ออกว่าพูดอะไร ส่วนคนอื่นนั้นนิ่งสนิท อาจจะเป็นเพราะกำลังประหลาดใจกับการปรากฏตัวจากทิศทางที่คาดไม่ถึงของเด็กสาวที่พวกเรากำลังตามหา จนไม่พูดอะไรไม่ออกไปตามกันแน่ๆ
“ธ... เธอมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันน่ะ?” สาวห้าวผู้รวบรวมสติของตัวเองมาได้ก่อนใครถาม เด็กสาวชาวบ้านได้ยินก็ยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ก่อนที่จะเอ่ยถ้อยคำสำเนียงไทยกลางปนสำเนียงท้องถิ่น
“ช่างมันเต๊อะ ว่าแต่พวกคุณมายะอะหยังตรงนี้ล่ะนิ?”
“พวกเราก็มาลาเธอน่ะสิ คือพรุ่งนี้หัวหน้าหมู่บ้านจะให้คนพาพวกเรากลับกันแล้วน่ะ” กัซที่เริ่มตั้งสติได้แล้วกล่าวขึ้นมา ตอนนี้เขาคงไม่อยากจะพูดเรื่องอื่นให้มากความอีกแล้ว เพราะเขาคงเข้าใจดีว่าถ้ายังอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกสักหน่อยล่ะก็ วันนี้ฉันคงได้สลบอีกรอบแน่ๆ
“ขอบคุณเธอมากนะ ที่พาพวกเราเข้ามาที่นี่ ไม่งั้นเราคงต้องหลงทางกันกลางป่าแล้วแน่ๆ แล้วก็พวกเราขอลา...” กัซพยายามจะกล่าวลาเธอแทนพวกเรา แต่ว่ายังไม่ทันจะจบ เด็กสาวที่ใส่ชุดเหมือนกับฉันก็ชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อน
“บ่ต้องอู้ว่าลาก่อนก่อได้เจ้า” เธอกล่าวพลางส่งยิ้มที่แฝงความรู้สึกประหลาดมาให้ ราวกับว่าตอนนี้เธอกำลังวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้
“หมายความว่าไงกันแน่...” มินท์กล่าวถามด้วยความสงสัย แต่ดูเหมือนว่าความสงสัยของเธอนั้นจะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เมื่อเด็กสาวไม่ได้ตอบอะไรให้เธอหายข้องใจเลยแม้แต่น้อย นอกจากมองหน้าพวกเราทุกคนแล้วโปรยยิ้มให้
“เป็นความลับเจ้า... เปิ้นก็ต้องขอบคุณพวกคุณนักๆ เน้อเจ้า ที่อุตส่าห์มาหากันก่อนกลับ ทั้งที่ดึกดื่นขนาดนี้” เอื้องคำเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนตามสไตล์ของเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” เสียงของเด็กสาวร่างเล็กในชุดเสื้อสีชมพูกล่าวขึ้นมาเมื่อมีโอกาสพูด “แค่นี้มันเทียบกับที่เธอพาพวกเราเข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอก”
“ว่าแต่ทำไมเธอถึงกล้ามาอยู่ที่ลานกว้างนี้ในตอนนี้ล่ะ?” มินท์ถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้ง “ทั้งที่คนอื่นในหมู่บ้านทุกคนดูเหมือนกับว่า... กลัวตอนกลางคืนกันยังไงยังงั้น พอตกค่ำก็เห็นรีบเข้านอนกันหมด ไม่เห็นมีใครออกมาเดินเพ่นพ่าน หรือมีบ้านไหนเปิดไฟเลยสักหลัง”
“ก็เปิ้นชอบยามนี้น่ะเจ้า”
“เหตุผลง่ายดีนะเนี่ย…” เสียงต่ายพึมพำขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่จะเขย่งขึ้นมากระซิบกับฉัน “เอื้องคำเธอไม่กลัวผีบ้างเลยหรือไง บรรยากาศออกจะวังเวงขนาดนี้ ขนาดฉันยังขนลุกเลย…”
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะก้มลงไปกระซิบตอบเพื่อนสนิทร่างเล็ก สาวห้าวประจำกลุ่มก็หันกลับมาที่พวกเราทั้งคู่และชิงพูดขึ้นมาก่อน
“พูดเรื่องอะไรงี่เง่าน่าต่าย! ผีมีจริงที่ไหนกันเล่า! ถ้ามีจริงป่านนี้ก็ต้องโผล่หัวมาบ้างแล้วล่ะ! อย่ามาไร้สาระน่า ยัยเตี้ย! คนหมู่บ้านนี้ก็แค่ไร้สาระไปงั้นเองแหละ” เธอกล่าวขึ้นมาราวกับได้ยินที่ต่ายกระซิบบอกฉัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก เพราะตอนกลางคืนของหมู่บ้านนี้มันเงียบมากจนแม้กระซิบกันเบาๆ ก็ได้ยินอยู่ดี
“ถึงพวกคุณจะบ่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็บ่มีสิทธิ์ที่จะมาดูถูกความเชื่อของหมู่เฮาเน่อ!” เอื้องคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร แถมสีหน้าของเธอก็ดูจริงจังมากกว่าที่เคยเป็นเสียด้วย “คนที่เอาความคิดตัวเองมาตัดสินว่าคนอื่นที่บ่ได้คิดคือกันว่าผิดจะอี้ เปิ้นชังนักๆ"
คำพูดของเอื้องคำทำเอาสาวห้าวประจำกลุ่มของพวกเราถึงกับต้องลดระดับความห้าวลงในทันตา และนอกจากคำพูดที่บอกถึงความไม่พอใจของเอื้องคำแล้ว นัยน์ตาคมของเธอก็มองมาที่มินท์ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความโกรธเคืองอย่างรุนแรงอีกต่างหาก!
“ขอโทษแทนมินท์ด้วยนะครับ เอื้องคำ” กัซชิงขอโทษแทนมินท์ขึ้นมาอย่างทันควัน “มินท์เขาเป็นคนไม่ค่อยระวังคำพูดคำจา อาจจะพูดอะไรไม่ดีไป แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ”
“เปิ้นยกโทษให้ก็ได้เจ้า” เด็กสาวตาคมกล่าวขึ้นมา ก่อนที่ร่องรอยของความไม่พอใจจะจางหายไปจากแววตาของเธอ ทำให้แววตาของเธอกลับมาเป็นดวงตาที่สดใสร่าเริงขึ้นอีกครั้ง ทำให้ฉันถึงกับแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ทำให้เธอโกรธไปมากกว่านี้ เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กสาวลึกลับคนนี้ จะทำอะไรกับพวกเราบ้างเมื่อโมโห เพราะดูเหมือนเธอมีความสามารถที่จะทำอะไรที่คนธรรมดาทำไม่ได้แน่ๆ
“แต่คนอื่นตรงนั้น เปิ้นบ่ฮู้ด้วยเน้อ ว่าจะคิดคือกันก่อ” เธอพูดอย่างขี้เล่น พลางชี้นิ้วไปยังเบื้องหลังของพวกเรา ซึ่งทำให้พวกเราต้องหันขวับกลับไปดูเกือบจะพร้อมกัน แต่ภาพที่เราได้เห็นก็คือต้นไม้ใหญ่ที่พันผ้าแพรสามสีเพียงเท่านั้น ไม่มีสิ่งแปลกประหลาดอื่นที่น่าตกอกตกใจเลยแต่อย่างใด
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่! เอื้อง...” มินท์กล่าวขึ้นมาก่อนที่จะหันกลับไปหาเด็กสาวบ้านป่า แต่จู่ๆ คำพูดของเธอต้องหยุดชะงักลงไปก่อนโดยที่ฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงอีกเสียงหนึ่ง
“กรี๊ด!!!” มินท์กรีดร้องขึ้นมาอย่างสุดเสียงอย่างที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อมาก่อน ว่าสาวห้าวอย่างเธอจะส่งเสียงแสดงความตกใจได้ดังถึงขนาดนี้! แต่มันก็ไม่น่าตกใจเท่ากับที่จู่ๆ เธอก็วิ่งพรวดออกจากลานกว้างที่พวกเรายืนอยู่ แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในป่า!
“หยุดก่อนมินท์! จะวิ่งไปไหนกัน!” กัซร้องเรียกพลางเอื้อมมือไปคว้าร่างสาวห้าว แต่ฝีเท้าของเธอไวกว่าที่เขาจะจับไว้ได้ มินท์วิ่งออกจากลานกว้างเข้าไปในป่ายามดึกสงัดเสียแล้ว!
“ม... มันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะเอื้อง...” ฉันรีบหันไปถามเด็กสาวชาวบ้านป่า ด้วยความสงสัยว่าอะไรที่ทำให้มินท์กลัวจนสติแตกแบบนั้น
แต่ตรงที่เคยมีเอื้องคำยืนอยู่กลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยที่น่าจะทำให้มินท์ตกใจกลัวจนสติแตกเลยสักนิด นอกจากใบไม้แห้งสี่ห้าใบที่กองอยู่ที่พื้น... ไม่มีเด็กสาวที่ชื่อเอื้องคำยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว...
