บทที่ 2 เด็กสาวผู้น่าสงสัย
บทที่ 2 เด็กสาวผู้น่าสงสัย
“นักท่องเที่ยวแม่นก่อ? ยะอะหยังกันตรงนี้ล่ะนิ?” เสียงสำเนียงท้องถิ่นปนไทยกลาง อันเกิดจากความพยายามพูดไทยกลางของคนที่พูดแต่ภาษาท้องถิ่นจนเคยดังขึ้น
เมื่อพวกเราหันไปหา ก็พบเจ้าของเสียงใสซื่อไร้เดียงสา กำลังมองพวกเราด้วยนัยน์ตาคมบนใบหน้ารูปไข่สีขาวนวล ผมดำยาวสาวสยายของเธอปลิวไปตามลมเบาๆ เสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินกับผ้าซิ่นตีนจกสีเขียวอ่อนๆ ที่สวมใส่ให้กับร่างเพรียวบางของเด็กสาว ทำให้คาดเดาได้ว่าเธอคงเป็นสาวน้อยชาวบ้านแถบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เธอเป็นชาวบ้านแถวนี้สินะ พวกเรากำลังหลงป่าน่ะ ช่วยพาพวกเราไปที่หมู่บ้านของเธอหน่อยสิ” เด็กสาวหน้าขาวกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน ท่าทางของเธอดูดีใจมาก ราวกับตกลงไปในหลุมเป็นเวลานาน แล้วมีคนยื่นเชือกให้เธอตะเกียกตะกายขึ้นมา
“ได้เจ้า” เด็กสาวชาวบ้านกล่าวขึ้น ก่อนที่จะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากกลุ่มพวกฉันไปประมาณห้าเมตร แล้วหันกลับมาตะโกนบอกพวกฉันพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงแจ่มใส
“นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้วเน้อ ถ้าจะไปที่หมู่บ้านเปิ้น ก็รีบหน่อยเตอะเจ้า ขืนชักช้าอยู่มีหวังตะวันลับฟ้าไปก่อนพอดี” สำเนียงภาคกลางปนสำเนียงท้องถิ่นของเด็กสาวดังขึ้น โชคดีเหลือเกินที่พวกเราเคยเรียนวิชาภูมิปัญญาทางภาษามาก่อน ทำให้เราสามารถฟังที่เธอพูดได้โดยไม่ลำบากอะไรมากนัก
“เอาไง? จะตามไปไหม?” มินท์กล่าวขึ้นมาเบาๆ ราวกับไม่ต้องการให้เด็กสาวแปลกหน้าที่อยู่ห่างออกไปได้ยิน
“ถ้าไม่ตามไปล่ะก็ คืนนี้พวกเราคงต้องนอนรอเสือคาบไปกินกันพอดีน่ะสิ” กัซตอบด้วยเสียงที่เบาไม่แพ้กัน
“ตามไปเถอะมินท์ ตอนนี้ร่างกายฉันดีขึ้นมาเยอะแล้ว และถ้าอยู่กันกลางป่าโดยที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรสักอย่างล่ะก็ คงไม่รอดถึงวันพรุ่งนี้แน่” ฉันพูดขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสาย
ตอนนี้ร่างกายของฉันเกือบจะเป็นปกติทุกอย่างแล้ว เหลือแต่เพียงอาการแสบในช่องปากเล็กน้อยเวลาที่พยายามพูด และความรู้สึกปวดแก้วหูเพราะถูกแรงดันน้ำ ซึ่งฉันคิดว่าถ้าได้พักสักคืนหนึ่งก็คงจะรู้สึกดีขึ้นเอง
“ฉันเห็นด้วยกับฟ้านะ” ต่ายออกความเห็นบ้าง
“เอาเป็นว่า ทุกคนเห็นด้วยกับการตามน้องสาวคนนั้นไปสินะ” มินท์สรุป ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วจูงมือต่ายเดินตามเด็กสาวไปอย่างไม่รอช้า ส่วนฉันกับกัซก็เดินตามพวกเธอไปทีหลัง
“นี่ เอก! นายไม่ตามมาด้วยรึไง?” กัซร้องเรียกเพื่อนผู้กำลังสุมกองฟืนอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งอกตั้งใจก่อกองไฟมากเกินไปจนกระทั่งไม่รับรู้เลยว่าพวกเราจะตัดสินใจทำอะไรต่อ ทั้งที่ปกติก็ไม่ค่อยได้เห็นทำอะไร นอกจากหัวเราะอย่างกับคนโรคจิตแท้ๆ
เมื่อจบเสียงเรียกของกัซแล้ว เด็กหนุ่มร่างผอมก็ทำหน้างงไปชั่วขณะ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากกองฟืน แล้วพึมพำอะไรบางอย่างขณะที่เดินตามพวกเรามา จนกระทั่งตามฉันกับกัซมาจนทัน
พวกเราเดินตามเด็กสาวแปลกหน้าคนนั้นไปเรื่อยๆ ขณะที่สายตาของพวกเราจับจ้องที่เด็กสาวบ้านป่าเป็นตาเดียวกัน ถึงแม้ว่าเสื้อแขนกระบอกและผ้าซิ่นที่เธอสวมอยู่นั้นจะเป็นชุดแบบสาวน้อยชาวบ้านธรรมดา แต่ว่ามันก็ไม่สามารถทำให้ความงามของเธอลดลงไปได้สักเท่าไรนัก เพราะไม่ว่าดูยังไง เธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งเลยทีเดียว
เหมือนเธอก็รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของพวกเราอยู่ เธอจึงหันมาแวบหนึ่งพลางใช้นัยน์ตาไร้เดียงสาจ้องมาที่พวกฉันพร้อมกับโปรยยิ้มให้ ก่อนที่จะหันหน้ากลับไปและเดินต่อไปด้วยความเอียงอาย
ในตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าเธออายใคร แต่คำตอบก็ปรากฏแก่สายตาของฉัน เมื่อฉันพบว่าเป็นกัซนั่นเอง ที่ยิ้มตอบให้กับเธอไป
“นายนี่เสน่ห์แรงจังเลยนะ กับสาวบ้านป่าก็ไม่เว้นเลยรึไง?” ฉันเงยหน้าถามกัซผู้เดินอยู่ข้างๆ เพราะว่าเขาสูงกว่าฉันราวสิบเซนติเมตร
“ก็ยิ้มตามธรรมเนียมน่ะ ไม่ได้คิดอะไรจริงจังหรอก”
“ยิ้มตามธรรมเนียมของนายมันโกยคะแนนนิยมจากสาวๆ ไม่น้อยเลยนะ รู้ตัวรึเปล่าเนี่ย?” ฉันประชด
“พูดแบบนี้ หึงกัซล่ะสิท่า” เอกที่เดินตามหลังเราสองคนพูดขึ้น แต่แล้วก็ต้องเงียบไปเมื่อฉันส่งสายตาไม่พอใจอย่างแรงไปให้ ก่อนจะเดินปึงปังหนีเขาไปทางมินท์
“เป็นอะไรเหรอฟ้า หน้าแดงมาเชียว” สาวห้าวประจำกลุ่มถามขึ้นมา เมื่อฉันเดินไปใกล้ๆ
“ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่กลางป่ายามเย็นนี่จะว่าไปก็ดูสวยดีเหมือนกันนะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องพูดไปพูดชมธรรมชาติกับต่าย
“อืม... พระอาทิตย์กำลังจะตกสีแดงสวยดี” ต่ายพูดขึ้นมาพลางแหงนมองท้องฟ้าเหนือป่าโปร่งซึ่งต้นไม้ขึ้นไม่ทึบเท่าไรนัก ทำให้เห็นบรรยากาศของท้องฟ้าได้ “มันแดงเหมือนหน้าเธอเลยล่ะ”
ด้วยความที่ไม่อยากให้ใครแซวแบบนี้อีก ฉันเลยเดินฉับๆ แซงหน้าพวกเธอไปจนกระทั่งขึ้นไปเดินคู่กับเด็กสาวแปลกหน้าแทนที่จะเดินกับทุกคน แล้วเอ่ยถามเธอขึ้นมาเพื่อหาเรื่องคุย
“เอ่อ... หมู่บ้านของเธอเป็นที่แบบไหนเหรอ? แล้วอีกนานไหม กว่าจะถึงหมู่บ้านของเธอน่ะ?”
เด็กสาวหันมาทางฉันเพื่อที่จะตอบคำถาม แต่ไม่ทันที่เธอจะอ้าปากตอบ สายลมเย็นสบายก็พัดมาจากทิศทางที่พวกเรากำลังจะเดินไป ทำเอาเส้นผมดำยาวของฉันปลิวไปเล็กน้อย ลมเย็นกระทบผิวหน้าของฉันเบาๆ ราวกับจะเอ่ยทักทาย และความรู้สึกที่สายลมนั้นสัมผัสกับร่างกาย มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ถูกขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
“เข้าเขตหมู่บ้านเปิ้นแล้วล่ะเจ้า” เด็กสาวกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม หลังจากที่สายลมประหลาดนั้นพัดผ่านฉันไปแล้ว แต่รอยยิ้มของเธอก็ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกไม่แพ้สายลมประหลาดเมื่อครู่นี้เลย...
“นี่เขตหมู่บ้านของเธอแล้วเหรอ? ไม่ยักจะเห็นบ้านคนสักหลัง แล้วเธอรู้ว่าเข้าเขตหมู่บ้านของเธอได้ไงล่ะ?!” มินท์กล่าวขึ้นมาจากด้านหลังของฉันกับเด็กสาวนัยน์ตาคม แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ให้คำตอบสาวห้าวประจำกลุ่ม เธอเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ให้และกล่าวด้วยเสียงใส
“เป็นความลับเจ้า ฮิฮิ”
“ไม่อยากบอกก็ตามใจ เอาเป็นว่าใกล้จะถึงบ้านคนแล้วใช่ไหมเนี่ย? ฉันเริ่มจะหิวข้าวขึ้นมาแล้วสิ” มินท์บ่นไปก็ลูบท้องตัวเองเบาๆ
“ก็ใกล้แล้วล่ะเจ้า ดูตรงนั้นสิเจ้า” เด็กสาวในเสื้อแขนกระบอกหยุดก้าวเท้าและชี้มือไปเบื้องหน้า ทำให้พวกเราที่กำลังเดินอยู่ต้องชะลอฝีเท้าและจ้องมองไปยังทิศทางที่นิ้วอันเรียวงามของเธอชี้ไป
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทุกคู่ของพวกเราทุกคนคือ บ้านเรือนหลายหลังตั้งรายล้อมลานกว้าง ที่กลางลานมีต้นไม้ต้นหนึ่งตั้งตระหง่าน ใบเขียวชอุ่มเป็นพุ่มอยู่เต็มกิ่งก้าน ลำต้นของมันเหยียดตรงและสูงประมาณตึกสี่ชั้นเห็นจะได้
ถึงแม้ว่าความกว้างของลำต้นจะไม่มาก แต่สิ่งที่ทำให้ต้นไม้ต้นนี้ดูโดดเด่นก็คือ รัศมีประมาณสิบเมตรบริเวณรอบต้นนั้น ไม่มีต้นไม้อื่นหรือแม้กระทั่งเศษใบไม้เลยสักใบเดียว และที่โคนต้นของมันมีผ้าแพรสามสีพันอยู่รอบๆ ราวกับเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน
“นั่นต้นอะไรเหรอ? แล้วทำไมต้องพันผ้าเอาไว้ด้วยน่ะ?” กัซซึ่งเดินขึ้นมาคู่กับเด็กสาวตาคมถามขึ้น ก่อนที่จะหันไปสบตากับเธอ ทำเอาเด็กสาวต้องหลบสายตาเพราะอายม้วนต้วนจนไม่อาจสบสายตากับเขาได้นาน แต่ก็ไม่แปลกหรอก อาการแบบนี้ขนาดฉันยังเป็นเอาอยู่บ่อยๆ เมื่อคุยกับกัซเลย
“เอาไว้ถามคนอื่นดีกว่าเน้อเจ้า เปิ้นอธิบายบ่ค่อยเก่ง” เด็กสาวตอบโดยที่ไม่ได้หันไปสบตากับเด็กหนุ่มรูปงาม ฉันสังเกตเห็นใบหน้าของเธอที่ก้มหลบมาทางฉันนั้นแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ
“เดินไปที่บ้านหลังนั้นกันเน้อเจ้า” เด็กสาวที่ยังหลบตากัซกล่าวพลางชี้นิ้วเรียวงามไปที่บ้านไม้ใต้ถุนสูงที่ดูใหญ่โตและตกแต่งสวยงามกว่าบ้านหลังอื่นๆ หน้าจั่วบ้านประดับด้วยกาแลทรงอ่อนโค้งแกะสลักเป็นลายกนก ต่างจากบ้านหลังอื่นที่กาแลเป็นทรงตรงธรรมดา
“นั่นเป็นบ้านของพ่อหลวงเจ้า ไปบอกพ่อหลวงว่าสูเขาหลงทางมาหมู่บ้านนี้เน้อเจ้า พ่อหลวงคงจะดูแลสูเขาอย่างดี แล้วหาทางพาสูเขาปิ๊กบ้านเองล่ะเจ้า”
“หมายความว่า เธอจะส่งพวกเราแค่นี้เหรอ? ทำไมล่ะ?” กัซเอ่ยถามขึ้นมา
“ต้องขอโทษด้วยเน้อเจ้า คือ... เปิ้นมีอะหยังจะต้องยะต่อเจ้า”
“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรหรอก ใกล้แค่นี้เดี๋ยวพวกเราเดินไปกันเองได้” มินท์พูดขึ้นมา ก่อนที่จะเดินแซงหน้าพวกเราเพื่อจะไปที่บ้านหลังนั้น อย่างไม่รอช้า
“จะรีบไปไหนล่ะมินท์” กัซร้องทัก ทำเอาสาวห้าวผู้กำลังหิวโหยต้องหยุดฝีเท้าลง “รู้ว่าเธอหิว แต่พวกเราเดินไปพร้อมกันดีกว่ามั้ง”
“งั้นก็เร็วหน่อยสิ ฉันหิวแล้วนะ” มินท์เร่ง พวกเรามองหน้ากันพักใหญ่ก่อนที่หันไปมองเด็กสาวปริศนา แล้วฉันก็เอ่ยถามเธอขึ้นมา
“แล้วเธอไม่กลับบ้านเหรอ? นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว จะให้พวกเราไปส่งก่อนไหม?”
“ขอบคุณนักๆ เน้อเจ้า เเต่บ่ต้องก่อได้เจ้า” เด็กสาวในเสื้อแขนกระบอกเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ “หมู่บ้านนี้เปิ้นหลับตาเดินยังไหวเลยเจ้า บ่ต้องห่วง สูเขารีบไปกันเตอะเจ้า เดี๋ยวตะวันลับไปขึ้นมาแล้วสูเขายังบ่มีที่นอน จะพลอยลำบากเอาเน้อเจ้า”
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วงพวกผม” กัซพูดขึ้นก่อนที่จะยิ้มให้เด็กสาว “ว่าแต่คุณ เอ่อ... คุณ...”
“เอื้องคำเจ้า” เด็กสาวตอบขึ้นมา “เรียกเปิ้นว่าเอื้องคำเฉยๆ เตอะเจ้า บ่ต้องมีคุณนำหน้าก่อได้ อีกนานกว่าเปิ้นจะสิบแปดอย่างพวกคุณ”
“ครับ เอื้องคำ ว่าแต่เราจะได้เจอกันอีกไหมครับ ถ้าพวกเราไปพักบ้านผู้ใหญ่บ้านแล้ว?”
“ถ้าเกิดว่าสูเขาอยากป๊ะกะเปิ้นล่ะก็ ตอนกลางคืนก็ออกมาเดินเล่นชมจันทร์ดูที่ลานกว้างใต้ต้นไม้นั่นสิเจ้า เปิ้นออกมาเดินเล่นที่นั่นประจำทุกคืนแหละ แต่อย่าพาชาวบ้านคนอื่นมาด้วยเน้อ”
“งั้นคืนนี้เจอกันนะครับ พวกผมไปกันก่อนล่ะครับ” กัซกล่าวขึ้นก่อนที่จะยิ้มอย่างเป็นมิตรและเดินตามมินท์ไป โดยที่มีเอกที่แทบไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดินตามไปติดๆ
“เราคงได้เจอกันอีกนะ เอื้องคำ” ต่ายยิ้มให้เธอ เธอเองก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน พอต่ายพูดกับเธอเสร็จก็หันมาจูงมือฉันเดินไปทางพวกมินท์ทันที
“เดี๋ยวสิต่าย ขอฉันพูดอะไรบ้าง” ฉันพูดก่อนที่จะเกร็งแขนเพื่อไม่ให้ต่ายดึงตัวฉันไปได้ ก่อนที่จะหันไปหาเด็กสาว
“เรามาเป็นเพื่อนกันนะเอื้องคำ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อ...” ฉันพูดยังไม่ทันจบ เธอก็ส่งยิ้มที่ทำเอาฉันรู้สึกประหลาดมาให้ ก่อนที่จะเอ่ยถ้อยคำบางอย่างขึ้นมา... ถ้อยคำที่ทำเอาฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว...
“ยินดีที่ได้รู้จักเน้อ คุณขวัญนภา”
“เร็วหน่อยฟ้า ช้ามากเดี๋ยวก็ไม่รอหรอก” เสียงมินท์ตะโกนเร่ง ทำให้ต่ายดึงฉันที่กำลังยืนตะลึงอยู่จนไม่มีแรงขัดขืนให้เดินไปกับเธอได้สำเร็จ จนกระทั่งเดินไปจนถึงมินท์ที่รออยู่
“เอ้า! ไปกันเลย” มินท์ที่ไม่ได้สังเกตอะไรกล่าวขึ้นก่อนที่จะเดินนำลิ่วไป ส่วนกัซที่สังเกตเห็นว่าฉันมีอะไรผิดปกติไปก็หันมาถามฉันเบาๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าฟ้า?”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ช่างมันเถอะ” ฉันพูดพลางเดินตามมินท์ไป เพราะไม่อยากให้พวกเพื่อนต้องคิดมาก แต่ในหัวสมองของฉันอัดแน่นไปด้วยความสงสัยจนเจียนจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ คำพูดของเด็กสาวชื่อเอื้องคำยังคงก้องวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัวฉันราวกับใครมากดปุ่มเล่นซ้ำ
“เรียกเปิ้นว่าเอื้องคำเฉยๆ เตอะเจ้า บ่ต้องมีคุณนำหน้าก่อได้ อีกนานกว่าเปิ้นจะสิบแปดอย่างพวกคุณ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเน้อ คุณขวัญนภา”
ฉันไม่เคยพูดเลยสักคำว่าพวกเราอายุสิบแปด และที่สำคัญ พวกเราทุกคนยังไม่มีใครเรียกกันด้วยชื่อจริงเลยสักคน แล้วเธอรู้อายุพวกเรา แล้วก็ชื่อจริงของฉันได้อย่างไรกันแน่!?
สายลมเย็นสบายพัดมาจากทางบ้านของนายบ้าน ทำเอาความรู้สึกประหลาดกลับมาวนเวียนในตัวฉันอีกครั้งหนึ่ง และความรู้สึกนั้นก็ได้ไปกระตุ้นสัญชาตญาณ ให้ฉันเหลียวหลังกลับไปมองทิศที่เด็กสาวเคยยืนอยู่ตรงนั้น
แต่เด็กสาวชื่อเอื้องคำ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว!
ฉันอยากจะบอกกับเพื่อนเรื่องเอื้องคำอยู่เหมือนกัน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาทำให้ทุกคนขวัญเสียเอาตอนนี้ เพราะฉะนั้นฉันคงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้เขย่าขวัญตัวเองอยู่คนเดียวเสียแล้ว นี่ก็คงเป็นสิ่งเดียวที่คนอย่างฉันจะสามารถทำให้เพื่อนๆ ได้
“ฉันเดินไปเองได้ ไม่ต้องมาฉุดกระชากลากถูฉันหรอกน่า!” ฉันร้องบอกสาวห้าวประจำกลุ่มพลางสะบัดแขนตัวเองออกมาจากมือของเธอ
“งั้นก็รีบเดินตามมาหน่อยสิ เหม่ออีกคราวนี้ไม่เรียกแล้วนะ!” มินท์กล่าวขึ้นก่อนที่จะรีบเดินฉับๆนำหน้าทุกคนไปอีกครั้ง ปล่อยให้ฉันเดินรั้งท้ายกลุ่มเหมือนเมื่อครู่ แต่คราวนี้นายเอกคงเห็นว่าฉันมีอะไรผิดปกติ เขาจึงชะลอฝีเท้าลงจนฉันเดินทันเขา ก่อนที่จะถามฉันด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกับจะกระซิบ
“เริ่มรู้สึกตัวแล้วสินะ ฟ้า?”
“นายพูดอะไรน่ะ!? ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย?” ฉันถามกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นเดียวกัน
แต่ดูเหมือนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กชายร่างผอมที่สูงพอกับฉันคนนี้ ความพยายามที่จะกลบเกลื่อนจะไม่สำเร็จ ทั้งที่ปกติแล้วหมอนี่จะอยู่ใกล้กัซ และพึ่งพากัซเป็นประจำแท้ๆ แต่ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตอนนี้หมอนี้มีแรงกดดันขนาดนี้กันนะ!?
“เธอจะไม่ยอมรับก็ตามใจนะ แต่เดี๋ยวเธอก็รู้เองล่ะ” เขาพูดจบก็เร่งฝีเท้าจนเดินนำหน้าฉันไปทันที
“นายหมายความว่าไงน่ะ?!” ฉันถามขึ้นมาด้วยเสียงปกติ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้เพื่อนคนอื่นๆหันมามองฉันกับเอกเป็นตาเดียวกันแล้วล่ะ!
“สองคนนั้นมีอะไรกันน่ะ!” กัซเอ่ยถามขึ้นมา เมื่อเห็นว่าฉันกับเอกมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันก็แค่แซวยัยฟ้าเล่นเท่านั้นแหละ” เอกพูดขึ้นก่อนที่จะเดินไปทางกัซ
“จริงรึเปล่า ฟ้า?” กัซถามฉัน
“ใช่ นายคุมเพื่อนนายดีๆ หน่อยสิ! ปากดีได้ทุกสถานการณ์เลยนะ!” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงปกติ เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่เอกพูดเมื่อครู่นี้ ให้เหมือนกับว่าเขาเดินมาแซวฉันเล่นตามปกติ
“เอก นายหัดรู้จักสถานการณ์บ้างสิ รู้ว่าชอบแซวยัยฟ้า แต่ให้มันมีขอบเขตบ้างสิ!” มินท์หันกลับมาตะคอกเอก
“ครับ ท่านผู้บัญชาการ” เอกยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดียวกับฉัน ก่อนที่พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่บ้านหลังนั้นต่อไป โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีกสักคำเดียว
สายลมเย็นยังคงพัดมาเรื่อยๆ และดูเหมือนกับว่ามันจะยิ่งกระตุ้นความรู้สึกแปลกประหลาดของฉันทุกขณะ... ทุกครั้งที่ฉันเดินเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับสายลมแบบนี้ กับความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกว่ามันคืออะไรกันแน่... เหมือนกับว่าฉันกำลังได้กลับมายังสถานที่ซึ่งไม่ได้กลับไปเป็นเวลานานแสนนาน ทั้งที่ฉันเองก็ไม่เคยมีความทรงจำว่าเคยเห็นหรือเคยอยู่ในหมู่บ้านลักษณะนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ!
หมู่บ้านนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลสำหรับฉันแล้วสิ
