บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 จุดเริ่มต้นกลางพงไพร

บทที่ 1 จุดเริ่มต้นกลางพงไพร

เรือยางทั้งหกลำแล่นไปตามกระแสน้ำกลางป่าเขาที่เชี่ยวกราก แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อสต๊าฟและเหล่านักท่องเที่ยววัยรุ่นที่มาเล่นล่องแก่งสักเท่าไร เกือบทุกคนพยายามกันอย่างแข็งขันในการฝ่าฟันกระแสน้ำด้วยความสนุกสนาน

ขอย้ำอีกทีว่า “เกือบทุกคน”

“ว้าย! ใครก็ได้ เอาฉันลงไปที!” ฉันตะโกนขึ้นด้วยประโยคนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ตั้งแต่ตัวเองต้องมาอยู่บนเรือยางกลางลำน้ำแบบนี้

ฉันก็ไม่ได้อยากจะมาเล่นล่องแก่งอะไรนี่เลยสักนิด ถ้าหากว่าเพื่อนไม่อุตส่าห์ทั้งขอร้อง ทั้งขู่ ทั้งบังคับ จนต้องมาเล่นด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ฉันคงไม่มาเล่นอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้หรอก!

แต่ดูเหมือนว่าเสียงกรีดร้องของฉัน มันจะไปกระตุ้นความสนุกสนานของเพื่อนๆ เสียมากกว่า เพราะพวกเขาแต่ละคนไม่ได้ดูเห็นอกเห็นใจฉันเลยสักนิด

“แม่ย่านางเรือเราร้องอีกแล้วเว้ย ฮะฮะฮะฮ่า” เสียงเด็กหนุ่มร่างผอมที่พายเรือยางอยู่ด้านซ้ายมือกล่าวพลางระเบิดเสียงหัวเราะ เขามีชื่อว่าเอก เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องของฉันเองล่ะ

“ได้ยินยัยฟ้ากรี๊ดแบบนี้ ยิ่งสนุกใหญ่เลยวุ้ย” เสียงเด็กสาวผิวขาวนัยน์ตากลม ผมยาวปรกไหล่ร้องขึ้นมาด้วยความสนุกไม่แพ้กัน

ชื่อของเธอคือมินท์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันที่รู้จักกันตั้งแต่มัธยมต้น ถึงแม้ว่าเธอจะดูสวยใสราวกับดาราญี่ปุ่นหรือเกาหลี แต่นิสัยของเธอคงไม่ผิดไปจากผู้ชายสักเท่าไร ตอนนี้เธอตะโกนอย่างบ้าคลั่งเมื่อเรือล่องไปตามกระแสน้ำ และดูเหมือนความสะใจของเธอจะทวีคูณทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฉันกรีดร้องเสียด้วย

“ไม่ต้องกลัวนะฟ้า พวกพี่ๆ สต๊าฟเราคุมเรือเก่งอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มรูปงามที่พายเรืออยู่ทางขวาของฉันพูดปลอบใจ

ผิวขาวและหน้าตาคมคายของเขาทำเอาสาวหลายคนแทบใจละลายเมื่ออยู่ใกล้ แถมรูปร่างที่สมส่วนเพราะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำก็ทำเอานักเรียนหญิงทั้งหลายในโรงเรียนพากันหลงใหล ถ้าจะบอกว่าหมอนี่เป็นผู้ชายที่ป๊อบที่สุดในโรงเรียนก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก หมอนี่มีชื่อว่ากัซ เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนอีกคนหนึ่งของฉันเหมือนกัน

“ใช่ๆ กัซพูดถูก ไม่ต้องกลัวนะฟ้า พี่ๆ เขาเก่งจะตาย แถมพวกเราก็ใส่เสื้อชูชีพ รับรองปลอดภัยไร้กังวล” เด็กสาวร่างเล็ก ผู้มีผมสีดำยาวตัดหน้าม้าและหน้าตาอ่อนวัยกว่าทุกคนพูดเสริม ขณะที่ตัวเองก็นั่งพายเรืออยู่ด้านหน้ากัซอย่างไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อย เธอมีชื่อว่าต่าย เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของฉัน

เอ้อ... ลืมบอกไปสนิท ฟ้าคือชื่อของฉันเอง ส่วนชื่อจริงคือขวัญนภา เป็นสาวน้อยวัยสิบเจ็ดที่จะเปลี่ยนเป็นสิบแปดในไม่กี่วันข้างหน้า รูปร่างหน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดีพอตัว ถึงแม้จะไม่ได้อ่อนวัยดูน่ารักน่าถนอมแบบยัยต่าย ไม่ได้ขาวสวย ตาโต หน้าใสแบบยัยมินท์ แต่ฉันเองก็ภูมิอกภูมิใจกับใบหน้าที่งามอย่างไทย นัยน์ตาคม และผมยาวสลวยของฉันเหมือนกัน

“พาย! พาย! ข้างหน้าเป็นโค้งหักศอก ออกแรงกันหน่อย ระวังหลบหินไม่พ้นนะ!” เสียงพี่สต๊าฟนายท้ายเรือตะโกนขึ้นแข่งกับเสียงคลื่นน้ำ ทำเอาทุกคนบนเรือหันไปจดจ่อกับพายของตัวเองแล้วเร่งฝีพายอย่างสุดกำลัง เนื่องจากเรือยางลำที่ฉันนั่งเป็นเรือยางลำแรกในขบวนเรือ

กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก บวกกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเรือยางลำที่ฉันนั่งอยู่โคลงเคลงไปมาเหมือนจะพลิกคว่ำได้ทุกเวลา จนฉันหวาดเสียวจนสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้ไม่ได้

“จะคว่ำแล้ว! ใครก็ได้ พาฉันลงไปที!”

แต่เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาก็พบว่า เรือยางที่ฉันและเพื่อนอีกสี่คนนั่งอยู่ กำลังพุ่งตรงไปที่โขดหินใหญ่โขดหนึ่งเพราะแรงพายของพวกเราสู้กระแสน้ำไม่ได้ และที่สำคัญ ตอนนี้โขดหินนั้นอยู่ห่างจากเรือยางเราไปไม่ถึงเมตร! และอีกไม่ถึงวินาที เรือพวกฉันคงต้องชนมันและพลิกคว่ำแน่ๆ!

โครม!

เสียงเรือยางกระแทกโขดหินจนพลิกคว่ำดังสนั่น ตามด้วยเสียงของสมาชิกบนเรือยางที่กระจัดกระจายตกจากเรือยางลงไปในกระแสน้ำ

“ใครก็ได้ ช่วยด้วย! ฉันยังไม่อยากตาย!” ฉันกรีดร้องขึ้นด้วยความหวาดเสียว หลังจากตัวเองหงายหน้าลอยตัวพ้นผิวน้ำจากแรงพยุงของเสื้อชูชีพ ตามวิธีที่พี่สต๊าฟสอนเอาไว้ก่อนจะลงเรือ แต่ฉันก็ได้แค่หลับตาปี๋ และปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปตามกระแสน้ำ และภาวนาให้มันพัดพาฉันไปเกยฝั่ง

ในที่สุดร่างของฉันถูกซัดจนเกยติดตลิ่ง และฉันรู้สึกได้ถึงเชือกที่หย่อนลงมากระทบกับมือ จากนั้นประสาทรับฟังของฉันก็แว่วยินเสียงร้องเรียกของเพื่อนๆ

“จับเชือกสิ ฟ้า!” เสียงของมินท์ดังขึ้น ฉันพยายามลืมตาขึ้นมาและคว้าเชือกที่หย่อนลงมา พอคว้าเชือกได้ พวกพี่สต๊าฟออกแรงดึงอย่างเต็มแรง จนกระทั่งฉันตะเกียกตะกายขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้สำเร็จ

“แม่ย่านางเรือเรากลายเป็นลูกหมาตกน้ำไปเลยแฮะ” เอกที่เปียกโชกไปทั้งตัวพูดไปก็หัวเราะอย่างสะใจ แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไร เพราะเป็นห่วงพวกเพื่อนคนอื่นมากกว่าที่จะไปสนใจคำล้อเลียน

“คนอื่นปลอดภัยไหม?”

“ไม่มีใครเป็นอะไรสักหน่อย ทุกคนเขาขึ้นมาก่อนเธอกันตั้งนานแล้วย่ะ” มินท์ที่เปียกปอนไม่แพ้เอกพูด และพอฉันมองซ้ายมองขวาก็พบว่าทุกคนนั้นปลอดภัยดี ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำกันหมดก็ตาม

“สนุกไหมฟ้า?” เอกถามเหมือนคิดว่าฉันจะสนุกกับเรื่องหวาดเสียว ทั้งที่คำถามนี้น่าจะไปถามยัยมินท์มากกว่า

“สนุกอะไรเล่า! ไม่เล่นต่อแล้ว ฉันจะกลับรีสอร์ท! รู้แบบนี้ฉันไม่มาเที่ยวด้วยแต่แรกแบบตาจักรก็ดี!” ฉันอ้างถึงเพื่อนคนเดียวในห้องที่ไม่ยอมมาเที่ยว ก่อนจะถอดเสื้อชูชีพแล้วขว้างทิ้งไว้กับพื้น แต่ดูเหมือนว่าพวกเพื่อนจะไม่ยอมให้ฉันทำตามที่ฉันต้องการ แต่ละคนล้วนมองมาด้วยสายตาราวกับว่าฉันทำอะไรสักอย่างผิดเสียอย่างนั้น

“อย่าไปเทียบกับหมอนั่นเลยน่า หมอนั่นบอกว่าต้องรีบกลับบ้านไปทำธุระ เลยมาเที่ยวกับพวกเราไม่ได้แต่แรก ไม่ได้เหมือนเธอที่มาได้แต่ทำโอดครวญสักหน่อย” เอกพูดไปก็ส่งยิ้มกวนประสาทมาให้

“เรื่องเจ้านั่นน่ะช่างมันเถอะฟ้า ถ้าเธอยังยืนกรานจะไม่เล่นต่อล่ะก็...” มินท์กล่าวพลางส่งสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมาที่สาวน้อยขวัญอ่อนอย่างฉัน

“ล... เล่นต่อก็ได้จ้า” ฉันตอบอย่างจำยอมก่อนจะก้มลงคว้าเสื้อชูชีพ แต่ดูเหมือนกับว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะจงใจเขย่าประสาทคนขวัญอ่อนอย่างฉัน เสื้อชูชีพเจ้ากรรมดันลื่นหลุดมือของฉันเอาดื้อๆ แถมมันยังกลิ้งไปใกล้ลำน้ำที่กระแสน้ำกำลังเชี่ยวกรากอยู่เสียอีก!

“มือไม่มีแรงรึไง ฟ้า!” กัซพูดขึ้น ก่อนจะเดินมาข้างฉัน “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วยเก็บมาให้เอง”

“ไม่เป็นไรหรอก! เดี๋ยวฉันเก็บเองได้” ฉันเดินแซงเขาไปที่เสื้อชูชีพ เพราะคิดว่าถึงฉันจะเป็นคนที่ดูขวัญอ่อนที่สุดในหมู่เพื่อน แต่ฉันก็ไม่ได้อยากให้เพื่อนมาช่วยฉันทุกเรื่องหรอก

“มันใกล้น้ำนะ เดี๋ยวเธอตกลงไปจะทำยังไง? ไปอยู่ด้านหลังเถอะ ฉันเก็บให้เอง” กัซพูดก่อนที่จะดันฉันไปอยู่ด้านหลัง แล้วเดินแซงหน้าไป

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงใจกลั่นกลั่นแกล้ง เท้าของฉันจึงสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่แถวนั้น ส่งผลให้ฉันล้มกลิ้งลงกับพื้นไปทางกัซที่กำลังเก็บเสื้อชูชีพ จนชนกับเขาที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว และแรงปะทะนั้นก็ส่งผลให้ฉันและเขากลิ้งตกลงไปในลำน้ำทันที!

เราทั้งสองกระทบกับผิวน้ำดังเสียงสนั่น ก่อนที่จะไหลไปตามกระแสน้ำที่รุนแรงราวกับจะฉีกกระชากร่างของฉันเป็นชิ้นๆ ฉันพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ แต่ดูเหมือนความพยายามจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไรนัก เพราะดูเหมือนกับว่าร่างกายที่ปราศจากชูชีพของฉันมันจะอยากลงไปอยู่ใต้น้ำมากกว่า!

ฉันพยายามร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่เสียงกลับไม่ออกมา เพราะน้ำทะลักเข้าไปในปอด ฉันพยายามลืมตามองรอบๆ แต่ว่าก็ไม่สำเร็จ เพราะน้ำเข้าตาจนแสบไปหมด! แล้วเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนต่อไปก็หมดลง และสติสัมปชัญญะของฉันก็ดับวูบลงไป...

.

.

.

ความรู้สึกที่กลับคืนมาอย่างช้าๆ ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงสองมือของใครบางคนที่กดที่หน้าอก ฉันพยายามลืมตาแม้จะยากลำบาก และก็ได้รู้จากสภาพท้องฟ้าเหนือป่าโปร่ง ว่าตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ส่วนตัวฉันเองนอนหงายหมดสภาพอยู่ใกล้ลำน้ำ โดยที่มีพวกเพื่อนที่อยู่ในเรือยางลำเดียวกันเมื่อครู่นี้ล้อมวงอยู่รอบๆ โดยที่สีหน้าของแต่ละคนไม่สู้จะดีเท่าไรนัก

ฉันพยายามจะขยับตัวขึ้นนั่งแล้วอ้าปากถาม ทว่ากลับทำได้อย่างยากลำบาก เพราะสภาพร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดีเท่าไร

ระหว่างที่ยังเคลื่อนไหวดังใจคิดไม่ได้ ฉันก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ว่าฉันตกน้ำมากับกัซแค่สองคน แล้วทำไมเพื่อนทุกคนถึงอยู่กันพร้อมหน้า? หรือนี่เป็นความฝัน? ฉันพยายามจะถามทุกคนให้รู้เรื่อง แต่กัซก็กล่าวขึ้นมาก่อนที่ฉันจะพูดอะไรเสียก่อน

“อย่าเพิ่งพูดอะไรนะฟ้า เธอยังอาการไม่ค่อยดีอยู่ เดี๋ยวพวกเราจะเล่าให้ฟังเองว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เรื่องมันมีอยู่ว่า....” เด็กสาวหน้าอ่อนวัยที่นั่งข้างกัซกล่าวขึ้น “เอ่อ... พวกเราทุกคนหลงป่าน่ะ ก็เพราะว่า เธอซุ่มซ่าม แล้วก็...”

“พูดอะไรจับต้นชนปลายไม่ถูกแบบนี้จะรู้เรื่องไหม? ฉันเล่าเอง! ฟังนะยัยฟ้า” มินท์ที่นั่งกับเอกอยู่ด้านหลังกัซเริ่มเล่าแทน “เรื่องมีอยู่ว่า เธอดันซุ่มซ่ามสะดุดก้อนหินแล้วกลิ้งพานายกัซตกน้ำไปด้วยกัน ซึ่งพี่สต๊าฟบอกว่า ทางน้ำที่พวกเธอตกลงไป มันจะพัดพวกเธอไปอีกเส้นทางที่ไม่ได้ใช้ล่องแก่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่อันตรายมาก”

”ยัยต่ายได้ยินก็เกิดบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ กระโดดตามลงไปบอกว่าจะลงไปช่วยพวกเธอ แต่ไม่ได้ดูตัวเองเลย ว่าว่ายน้ำไม่แข็ง พลอยจะจมลงไปอีกคน นายเอกกับฉันก็เลยส่งเชือกให้ยัยต่าย แต่ดันพลาดลื่นลงมาด้วยกัน จนถูกซัดติดตลิ่งที่ไหนสักที่แบบนี้แหละ”

“ตอนนี้พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว คือทุกคนถูกน้ำซัดมาเกยฝั่งที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราทุกคนควรจะใจเย็นๆ แล้วก็ช่วยกันหาทางออกนะ ไม่ใช่เอาแต่ทะเลาะกันแบบนี้!” กัซเอ่ยขึ้นมา และคำพูดที่ดูมีเหตุมีผลของกัซทำให้พวกเราเงียบกริบขึ้นมาทันตาเห็น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างกายของฉันเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ จนฉันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างที่ต้องการ และเรี่ยวแรงก็เริ่มกลับคืนมาแล้ว ฉันจึงใช้โอกาสที่ทุกคนกำลังเงียบกริบพูดขึ้นมา

“ล... แล้วพวกเราตอนนี้ควรจะ ท... ทำ อะไรต่อไปล่ะ?”

“นั่นล่ะปัญหา อยู่กลางป่ากลางเขาที่ไม่รู้ว่าที่ไหน แถมไม่มีอุปกรณ์อะไรสักอย่าง คิดแล้วน่าหนักใจแฮะ” กัซพูดอย่างกังวลใจ

“ฉ... ฉันว่าเราน่าจะก่อไฟเป็นสัญญาณให้มีคนรู้นะ ว่าพวกเราอยู่ตรงนี้ ล... แล้วก็จะได้ป้องกันพวกสัตว์ป่าด้วย” เด็กสาวหน้าอ่อนพูดอย่างตะกุกตะกักเพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะปกติแล้วเธอไม่ค่อยได้เปิดบทสนทนาสักเท่าไรนัก ส่วนใหญ่จะเอาแต่เสริมคำพูดคนอื่นเอาเสียเป็นส่วนมาก

“เป็นความคิดที่ดีนะ ว่าแต่พวกเราจะใช้อะไรจุดไฟล่ะ?” มินท์กล่าวขึ้นมา ทำเอาต่ายที่เหมือนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองอยู่แล้วดูเสียความเชื่อมั่นเข้าไปอีก

“ฉันเคยเห็นในโทรทัศน์นะ เขาเอากิ่งไม้แห้งมาเสียดสีกันแล้วมันจะจุดไฟได้น่ะ” เอกบอกกับทุกคน

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย?” มินท์ถามขึ้นมาด้วยความสนใจ “ว่าแต่นายพอจะทำเป็นไหม?”

“ถึงทำไม่เป็นงานนี้ก็ต้องเป็นล่ะ ไม่งั้นมีหวังตายกลางป่าแน่”

เอกพูดจบประโยคก็เดินไปเอาเศษไม้ระเกะระกะอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเพื่อเอามาทำฟืน ก่อนที่จะแบกกิ่งไม้พวกนั้นตรงกลับมาหาพวกเรา แต่ยังไม่ทันได้ลงมือจุดไฟตามที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก ร่างหนึ่งที่ดูไม่คุ้นตา ก็เคลื่อนที่มาทางพวกฉันเสียก่อน...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel