บท
ตั้งค่า

บทที่ 15 เพลงนั้น

บทที่ 15 เพลงนั้น

แล้วฉันก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังร่วงหล่นมาจากที่สูง ภาพรอบกายทั้งหมดก็พร่าเลือนไปในทันตา! แล้วเมื่อความรู้สึกเหมือนการร่วงหล่นสิ้นสุด ฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องที่อรัญญาณีเตรียมไว้ให้ และมันก็ทำให้ตัวฉันเข้าใจได้เลยว่าเมื่อครู่นี้คงจะเป็นเพียงความฝันไปเท่านั้น

“นายหญิงให้คุณหนูทานอาหารเช้าให้เสร็จ แล้วออกไปพบนายหญิงที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” เสียงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกดังขึ้นมาจากปากของใครบางคนที่เข้ามาทำอะไรบางอย่างในห้อง แล้วเมื่อฉันหันไปมองต้นเสียงก็พบกับตุ๊กตาดินหญิงที่เป็นคนรับใช้ของอรัญญาณี ซึ่งกำลังยกถาดใส่อาหารมาวางไว้บนโซฟาหวายก่อนที่เจ้าของเสียงจะค่อยๆ กลับหลังหันแล้วเดินจากไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อันที่จริงฉันก็มีอะไรที่อยากจะถามเธออยู่เยอะแยะเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าพอกินข้าวเสร็จ ฉันก็จะไปเจอกับอรัญญาณีแล้วนี่นา ถึงตอนนั้นค่อยถามแม่คนธรรพ์เอาคงจะดีกว่ามาถามคนรับใช้ของเธอน่ะนะ

ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง แล้วหันมาเก็บที่นอนให้เรียบร้อย จะว่าไปแล้วมันก็รู้สึกแปลกดีเหมือนกันที่พอตื่นขึ้นมาแล้วไม่รู้สึกอยากจะไปทำธุระส่วนตัวใด ๆ ในห้องน้ำเลยสักนิด ถึงแม้ว่ากลิ่นของตัวเองจะเป็นกลิ่นเหมือนดินอยู่ก็เถอะ สงสัยมันจะเป็นผลของการอยู่ในโลกภพนี้หรือเปล่านะ?

ฉันเดินตรงไปที่ถาดใส่อาหารที่ตุ๊กตาดินสาวยกมาให้ ก่อนที่จะลงมือจัดการส่งก้อนข้าวในถาดเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วปล่อยให้ถาดอาหารนั้นหายไปเมื่อหมดหน้าที่ของมัน จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนชั่วคราวไปทางที่เข้ามาเมื่อคืน โดยไม่มีอาการกระโผลกกระเผลกอีก เพราะได้พักฟื้นหนึ่งคืนตามที่อรัญญาณีได้บอกไว้

เมื่อสาวเท้าก้าวเดินจนกระทั่งมาถึงห้องโถงใหญ่ของโพรงไม้ ฉันก็พบคนธรรพ์สาวที่อยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวาน กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่กับเหล่าคนรับใช้ของเธอ

เมื่อเธอเห็นฉัน ก็ทำสัญญาณอะไรบางอย่างกับพวกคนรับใช้ ก่อนที่พวกเขาจะเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดแล้วเดินกลับเข้าไปในโพรงที่น่าจะเป็นที่อยู่ของพวกเขา ทำให้ทั้งโถงนั้นเหลือเพียงฉันและอรัญญาณีเพียงแค่สองคน

“วันนี้สวยขึ้นกว่าเมื่อวานนะ สาวน้อย“ อรัญญาณีกล่าวขึ้นมาเป็นประโยคแรกเมื่อเห็นหน้าฉัน ก่อนจะค่อยๆ ยืนขึ้นมาแล้วยิ้มให้

“ก็เป็นเพราะของวิเศษที่คุณนีให้ฉันใช้ล่ะค่ะ” ฉันตอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ “ว่าแต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ทำไมคุณนีไม่ทำให้ฉันกลับเป็นเหมือนเดิมเลยล่ะคะ?”

“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะจ้ะ เดี๋ยวกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจะสวยเกินหน้าเกินตาฉัน” คนธรรพ์สาวนัยน์ตากลมพูดพลางหัวเราะอย่างขบขัน แต่ฉันไม่ขำกับเธอด้วยหรอกนะ!

“ล้อเล่นน่า สาวน้อย” เธอกล่าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้ตลกกับเธอด้วยเลยสักนิดเดียว “เอาเป็นว่าระหว่างเดินทางกัน เธอต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ไปก่อน แล้วเมื่อถึงที่หมายแล้ว หน้าตาเธอจะกลับเป็นเหมือนเดิมเอง ตกลงไหม?”

“ก็ได้ค่ะ” ฉันรับคำเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับคนที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างอรัญญาณี “ว่าแต่เราจะออกเดินทางกันตอนไหนเหรอคะ?”

“ตอนนี้เลยสาวน้อย เพราะเธอเองก็คงไม่อยากจะรู้เรื่องเพื่อนๆ ช้าลงแม้แต่วินาทีเดียวใช่ไหมล่ะ? ถ้ามีอะไรจะถามฉันก็เอาไว้ถามระหว่างทางแล้วกัน” เธอกล่าวพลางพาฉันเดินออกไปทางหน้าปากโพรง จนกระทั่งเท้าของเราทั้งสองคนนั้นก้าวพ้นปากโพรงออกมา

แสงตะวันอุ่น ๆ ในยามสายทอลงมากระทบกับผิวกาย ราวกับจะต้อนรับฉันเข้าสู่วันใหม่ดินแดนแห่งนี้ สองตาของฉันมองออกไปยังทิวทัศน์รอบตัวแล้วก็พบว่าที่ซึ่งตัวเองนั้นกำลังยืนอยู่คือกิ่งหนึ่งของต้นไม้ยักษ์ ที่กิ่งของมันก็กว้างใหญ่พอกับซอยบ้านฉันได้เลย

เบื้องหน้าของฉันเป็นหมู่นกประหลาดนานาชนิดกำลังโบยบินไปมาบนท้องฟ้านั้นเป็นผืนป่าเขียวขจีที่ไกลออกไปเกือบสุดลูกหูลูกตา ส่วนที่เส้นขอบฟ้านั้นเป็นเทือกเขาสีขาวที่ดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยหิมะ จะว่าไปแล้วที่ดินแดนนี้มันก็สวยงามสำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติอยู่ไม่น้อย

“แล้วเราจะไปที่ไหน? แล้วไปกันยังไงเหรอคะ?” ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัย ก็ในเมื่อพวกเราอยู่บนต้นไม้ที่สูงขนาดนี้นี่นา ถ้าจะให้ปีนลงไปล่ะก็ ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ!

“เจ้าตัวนั้นจะพาพวกเราขึ้นหลังไปส่งให้” อรัญญาณีกล่าวพลางชี้ไปที่ยอดไม้ที่อยู่สูงลิบ ก่อนที่เงาร่างของนกที่ขนาดมหึมาจะบินร่อนลงมาอย่างช้า ๆ จนกระทั่งร่างที่ใหญ่กว่าช้างราวสิบเท่าบินลงมาเกาะยังกิ่งไม้เดียวกันกับที่เราทั้งสองกำลังยืนอยู่

“จ... เจ้าตัวนี้คือ...”

“ใช่ มันคือนกตัวเดียวกันกับที่โฉบเธอมาไว้ที่นี่เองล่ะ” หญิงสาวผู้ห่มสไบเขียวตอบขึ้นมาก่อนที่ฉันจะถามจบ “มันมาอาศัยบนต้นไม้ที่เป็นบ้านของฉัน ดังนั้นก็เหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันนั่นแหละ”

“แต่ฉันไม่ได้สั่งให้มันโฉบเธอมาที่นี่หรอกนะ มันก็แค่ไปออกล่าเหยื่อตามปกติ แล้วจับเธอมาได้พอดีก็เท่านั้นเอง” อรัญญาณีกล่าวก่อนที่ฉันจะทันได้ถามอะไร แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเหมือนเธอกำลังโกหกหรือซ่อนความจริงอะไรบางอย่างเอาไว้ไม่ให้ฉันได้รู้

“งั้นก็หมายความว่า... คุณนีจะให้ฉันนั่งบนเจ้านกที่คิดจะส่งฉันไปให้ลูกมันกินเมื่อวานนี้งั้นเหรอ?! พูดเป็นเล่นไปหน่อยไหมคะเนี่ย?”

“ฉันไม่ได้พูดเล่น และถ้าเธอไม่คิดจะนั่งหลังเจ้าตัวนี้ไปล่ะก็ ก็มีทางเลือกให้เธอแค่สองทาง คือให้เธอเดินไปเองแล้วไปตายเอากลางทาง ไม่ก็อยู่ที่นี่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” อรัญญาณีกล่าวพลางยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก บ่งบอกให้เห็นว่าเธอกำลังดีใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวที่ได้เห็นฉันไม่มีทางเลือกอื่น

“แน่ใจนะคะ ว่ามันจะไม่จับฉันกินเอาระหว่างทาง” ฉันถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อเห็นเจ้านกยักษ์นั่นมองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลก ๆ

จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองหน้ามันชัด ๆ และฉันก็กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ตั้งแต่จำความได้ฉันยังไม่เคยเจอนกอะไรหน้าตาประหลาดขนาดนี้มาก่อน เพราะดวงตาของมันเล็กมากเมื่อเทียบกับส่วนหัว แถมมันยังมีงวงคล้ายกับช้างอีกต่างหาก!

“ไม่ต้องกลัวว่ามันจะจับเธอกินอีกหรอกน่า กลิ่นเธอในตอนนี้มันไม่ใช่กลิ่นของสิ่งที่มันกินได้เสียหน่อย วางใจเถอะ” อรัญญาณีกล่าวขึ้นมา ทำให้ฉันเข้าใจได้เลยว่าทำไมเธอจึงไม่เอากลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นดินออกจากตัวของฉัน “และแทนที่เธอจะมาระแวงมัน ฉันว่าเธอควรจะขอบคุณมันด้วยซ้ำ ที่ทำให้เธอกับฉันได้มาเจอกัน ไม่เช่นนั้นป่านนี้เธออาจจะติดไปกับฝูงช้างนั่นจนไปตายเอากลางทางแล้วล่ะ”

“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” หญิงสาวอมนุษย์กล่าวพลางพาฉันเดินตรงไปยังเจ้านกยักษ์หน้าช้าง แล้วหมุนนิ้วชี้ไปมาหนึ่งรอบซึ่งน่าจะเป็นการใช้คาถาอะไรสักอย่างของเธอ ซึ่งก็ส่งผลให้ร่างกายของทั้งฉันและเธอลอยขึ้นไปอยู่บนหลังของเจ้านกนั่น ก่อนที่นกประหลาดจะกระพือปีกและทะยานออกไปจากกิ่งของต้นไม้ยักษ์ที่เป็นบ้านของอรัญญาณีไปในทันที

ฉันหมอบลงเกาะหลังเจ้านกยักษ์เพราะกลัวตก ทว่าเมื่อลอยบนฟ้าได้ระยะหนึ่ง ฉันก็เริ่มเคยชินกับการบินจนไม่ต้องนอนเกาะที่เส้นขนของมันอีกแล้ว เลยปล่อยมือออกและลุกขึ้นมานั่ง เช่นเดียวกับอรัญญาณีที่ลุกขึ้นมานั่งก่อนหน้าฉันเรียบร้อยแล้ว แถมยังนั่งเล่นเครื่องดนตรีที่คล้ายกับพิณของไทยอยู่อีกต่างหาก

“คุณนีคะ คนที่คุณนีจะพาฉันไปหานี่เป็นใคร แล้วอยู่ที่ไหนกันเหรอคะ?” ฉันเอ่ยถามขึ้นมาถึงเป้าหมายของสายการบินนี้

“ไว้เธอไปถึงที่นั่นแล้ว เธอก็จะรู้เองล่ะจ้ะ” อรัญญาณีกล่าวขึ้นพลางหยุดดีดพิณ “แต่ฉันขอเตือนเธอเอาไว้อย่างหนึ่งนะ ว่าคนที่ฉันกำลังจะพาเธอไปหาเนี่ย เขาเป็นคนที่เก่งและฉลาดมากจนบางครั้งฉันกับเพื่อน ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาทำสักเท่าไร แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกนะ ดังนั้นถ้าเขาขอให้เธอทำอะไรบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เธอต้องการล่ะก็ เธอก็ช่วยทำตามที่เขาต้องการไปแล้วกันนะ รับรองว่าไม่มีอะไรที่เป็นผลเสียกับเธอหรอก”

“ค่ะ” ฉันรับคำ ก่อนที่จะหยุดการสนทนาแล้วมองไปยังทิวทัศน์รอบตัว ดูก้อนเมฆและหมู่นกกำลังเคลื่อนที่ผ่านฉันไปอย่างช้า ๆ มีเสียงเพลงของคนธรรพ์สาวกล่อมเบา ๆ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกินสำหรับประสบการณ์แบบนี้

เอ๊ะ! นกยักษ์เหรอ? งั้นก็หมายความว่าถ้าเจอเพื่อน ๆ ฉันหมดทุกคนแล้ว ฉันจะให้นกยักษ์นี่บินขึ้นไปส่งที่จุดที่มีการบิดเบี้ยวของมิติแบบไม่ต้องสนใจเจ้านางอะไรนั่นก็ได้น่ะสิ! ทำไมฉันถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปได้นะ

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกสาวน้อย เจ้านกตัวนี้ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงขนาดนั้นหรอก” อรัญญาณีกล่าวทั้งที่มือยังคงดีดพิณอยู่ “ปกติแล้วจุดที่มีการบิดเบี้ยวของมิติ จะถือเป็นเขตอันตรายสำหรับที่นี่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เกินครึ่งโยชน์เลยด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับกัมมันตภาพรังสีในโลกของเธอนั่นแหละ อธิบายแบบนี้พอจะเข้าใจสินะ”

“แต่ฉันก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่นา”

“ตกลงมาจากความสูงขนาดนั้นยังเรียกว่าไม่เป็นอะไรอีกรึ?” อรัญญาณีกล่าวพลางมองที่ร่างกายของฉัน เพลงที่เธอบรรเลงก็เริ่มเปลี่ยนท่วงทำนองเหมือนคนกำลังโกรธเกรี้ยว

“คนที่ทะลุมิติมาจากโลกมนุษย์อย่างเธออาจจะโชคดี ได้รับผลจากการทะลุมิติมาแค่ถูกสุ่มสถานที่ แต่สำหรับการทะลุมิติจากที่นี่ไปที่นั่นผ่านทางนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าจะไปโผล่ที่นั่นในสภาพกายหยาบหรือกายละเอียด นอกจากนี้ยังอาจมีผลข้างเคียงอย่างอื่น เช่นบาดเจ็บ พิการ หรือสูญเสียพลังไปก็ได้ สรุปคือพื้นที่ตรงนั้นเป็นที่สำหรับเข้ามาที่ดินแดนนี้อย่างเดียว ไม่ใช่ที่สำหรับกลับไป ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมิตินี้อย่างเจ้านกนี่ ถึงไม่มีทางไปส่งเธอยังจุดที่มีการบิดเบี้ยวของมิตินั่นเด็ดขาดไง”

“หมายความว่าฉันต้องไปพบกับเจ้านางอย่างเดียวสินะคะ ถึงจะกลับไปโลกมนุษย์ได้”

“บางทีถ้าเธอพบกับเจ้านางนั่น เธออาจจะไม่อยากกลับไปก็ได้ ใครจะไปรู้” คนธรรพ์สาวตอบแบบเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ ทำเอาฉันอยากจะฝึกวิชาอ่านความคิดชาวบ้านได้แบบเธอเหลือเกิน

“ฉันคิดว่าเมื่อถึงที่นั่น คำถามอะไรหลายอย่างที่เธอต้องการคำตอบ มันจะถูกเฉลยออกมาเองล่ะ ตอนนี้มาเพลิดเพลินกับเสียงเพลงดีกว่านะ” อรัญญาณีกล่าวขึ้นแบบปัดความรับผิดชอบไปยังคนที่ฉันจะไปหา ก่อนที่จะเริ่มดีดพิณเป็นทำนองสนุกสนาน

“ค่ะ” ฉันตอบเธอไปด้วยคำสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี แต่แล้วก็นึกเรื่องที่พูดขึ้นมาได้ “ช่วยเล่นเพลงตามที่ฉันขอได้ไหมคะ เพลงที่เล่นเมื่อคืนตอนที่ฉันเข้านอนแล้วน่ะค่ะ”

“เพลงที่เล่นเมื่อคืนก่อนที่เธอจะหลับ... เพลงนั้นน่ะเหรอ?” เธอกล่าวพลางหลับตาแล้วยิ้มน้อยๆ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกที่โตมาในโลกมนุษย์แบบเธอจะชอบเพลงนั้นกับเขาด้วย”

“มันเป็นเพลงอะไรเหรอคะ?”

“เพลงกล่อมเด็กของที่นี่น่ะ มีแต่ทำนองไม่มีเนื้อร้องหรอกนะ สมัยก่อนพวกคนใหญ่คนโตของที่นี่มักจะให้คนธรรพ์อย่างฉันไปเล่นกล่อมลูก ๆ ของพวกเขาน่ะ” คนธรรพ์สาวพูดพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มือของเธอจะบรรเลงเพลงเดียวกันกับที่ฉันได้ฟังเมื่อคืน

เสียงบรรเลงอันไพเราะแว่วกระทบโสตประสาทเบา ๆ มันทำให้ฉันที่กำลังคิดมากเมื่อครู่รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่ากลับไปเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ฉันจะจำไม่ได้ว่าเคยอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นก็ตามที

ท่วงทำนองเพลงยังคงบรรเลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ฉันนอนหงายหน้ามองท้องฟ้าและหมู่เมฆที่เคลื่อนตัวผ่านไป ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ฉันอยากจะหยุดช่วงเวลาที่สบายอารมณ์แบบนี้ไปนาน ๆ ปล่อยตัวไปกับเสียงเพลงและสายลม แล้วค่อยๆ หลับไปตรงนี้...

“แย่แล้ว สาวน้อย” อรัญญาณีหยุดบรรเลงเพลง ทำเอาฉันต้องออกมาจากห้วงความสบายอารมณ์อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ฉันสัมผัสได้... หนึ่งในสี่โยชน์จากด้านหลัง มีกลุ่มจิตใจที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นกำลังตามพวกเรา ตามมาด้วยความเร็วที่สูงมากด้วย!

“จิตใจที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นกำลังตามเรามา? หมายความว่าอะไรกันเหรอคะ?” ฉันถามอรัญญาณีเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดเท่าไรนัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel