บทที่ 14 ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
บทที่ 14 ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แล้วฉันจะเอาไงต่อดีล่ะเนี่ย? จะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อนายเอกดี? แล้วถ้าเกิดว่าที่เขียนมามันเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่ากัซชอบฉัน แต่ยัยต่ายก็ชอบกัซ! ถ้าหากว่าฉันเป็นแฟนกับกัซ ไม่กลายเป็นว่าฉันทำร้ายจิตใจยัยต่ายเหรอเนี่ย? แต่ว่าดูท่าทางเจ้าตัวก็อยากให้ฉันคบกัซเต็มที่เลยนี่นา! แล้วจะทำยังไงดีกันล่ะเนี่ย?
“พี่ฟ้า!” เสียงของใครบางคนที่เพิ่งก้าวข้ามพ้นประตูดังขึ้นมา เล่นเอาฉันที่กำลังคิดมากต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ และหันไปมองต้นเสียงในทันที
และต้นเสียงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเด็กสาวผู้เป็นตากล้องในตอนที่ฉันเพิ่งแสดงละครเสร็จนั่นเอง เธอมาพร้อมกับเพื่อนสาวผิวเข้มที่ถ่ายรูปคู่กับฉันไปเมื่อตอนนั้น ซึ่งในตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ในชุดนักเรียนกันเรียบร้อยแล้ว
“อ้าว! พวกเธอนี่เอง ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชมรมของพี่นะจ๊ะ” ฉันต้อนรับรุ่นน้องทั้งสองด้วยท่าทางที่เป็นมิตร และยิ้มทักทายให้กับพวกเธอ รุ่นน้องทั้งสองเห็นก็ยิ้มทักทายกลับมาเช่นกัน ก่อนที่เด็กสาวตากล้องจะเอ่ยขึ้นมา
“ขอโทษนะคะพี่ฟ้า หนูมารบกวนเวลาของพี่กับ... เอ่อ... กับเพื่อนหรือเปล่าคะ?” เธอพูดขึ้นพลางมองไปที่เอกที่นั่งอยู่ข้างฉัน อย่าบอกนะว่าเธอเข้าใจผิดเรื่องฉันกับนายเอกน่ะ!!
“ไม่รบกวนอะไรหรอกจ้ะ พี่กับเพื่อนคุยกันเรื่องงานเฉยๆ น่ะ ว่าแต่น้องสองคนมีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่าเอ่ย?”
“ตอนแสดงละครเสร็จ หนูยังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับพี่เลยน่ะค่ะ” เด็กสาวตากล้องกล่าวขึ้นมาพลางส่งกล้องของเธอให้กับเพื่อน ส่วนนายเอกก็คงเห็นว่าตรงนี้คงไม่ใช่ที่ของเขาแล้ว ก็เลยลุกขึ้นไปยังมุมอื่นอย่างเงียบๆ
“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ว่าแต่มันก็ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วนี่ ทำไมเพิ่งมากันล่ะ?”
“เอ่อ... พวกหนูไปดูเขาแข่งว่ายน้ำกันมาน่ะจ้ะ” เด็กสาวผิวเข้มกล่าวขึ้นพลางยิ้มเจื่อนๆ
“อ้าว! งั้นเหรอ?” ฉันอุทานขึ้นมาอย่างสนอกสนใจเมื่อพบว่ารุ่นน้องทั้งสองนั้นได้ลงไปดูนายกัซแข่งว่ายน้ำมาด้วย “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ? โรงเรียนเราชนะโรงเรียนอื่นใช่ไหม? พี่ก็อยากไปดูเหมือนกันนะ แต่ว่าไม่ว่างเลย”
“ใช่ค่ะ” เด็กสาวผิวเข้มกล่าวพลางยิ้มอย่างดีใจ แล้วยื่นกล้องดิจิตอลของเธอมาให้ฉัน “พี่ฟ้าจะลองดูรูปที่พวกหนูถ่ายกันมาก็ได้นะคะ”
“จ้ะ ขอดูแป๊บนึงนะ” ฉันกล่าวพลางรับกล้องดิจิตอลจากรุ่นน้องมาดู และเปิดภาพไปยังภาพแล้วๆมาที่พวกเธอได้ถ่ายเก็บเอาไว้ ซึ่งก็คือรูปพวกนักกีฬาที่กำลังเตรียมตัวลงแข่ง ภาพพวกนักกีฬาตอนกำลังแข่งขัน และภาพตอนพวกเขารับรางวัลกันอย่างดีอกดีใจ
“พี่ฟ้าคะ แอบยิ้มอะไรเหรอ?” เด็กสาวตากล้องเอ่ยถามอย่างสงสัย ก่อนที่จะชะโงกหน้ามาดูที่กล้องดิจิตอลที่ฉันกำลังเปิดดูรูปอยู่ แล้วหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“ตายแล้ว พี่ฟ้าแอบปลื้มพี่กัซเหรอเนี่ย? ดูรูปพี่กัซแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลย” เด็กสาวตากล้องอุทานขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง แต่เคราะห์ดีที่เสียงประกาศจากทางโรงเรียนดังขึ้นมาเสียก่อน เลยกลบเสียงเธอไปจนหมด ฉันก็เลยรอดตัวไปหวุดหวิด
“ประกาศจากฝ่ายกิจการนักเรียน ขอให้นักเรียนและบุคลากรโรงเรียนมัธยมวีรวิทยาทั้งหมด มาที่ห้องพยาบาลในเวลานี้ด้วยครับ”
เสียงอาจารย์ฝ่ายกิจการนักเรียนดังขึ้นมาจากลำโพง ทำเอานักเรียนทุกคนในห้องที่จัดนิทรรศการชมรมญี่ปุ่นถึงกับนิ่งเงียบไประยะใหญ่ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงซุบซิบกันจนระงมไปทั้งห้องด้วยความสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ฝ่ายกิจการนักเรียนถึงได้เรียกคนจากโรงเรียนนั้นไปรวมตัวกันที่ห้องพยาบาล จะว่าไปแล้วโรงเรียนนี้มันก็คือโรงเรียนของพวกที่จะมาจีบฉันเมื่อกี้นี่นา!
“เมื่อกี้คุยกันถึงไหนแล้วนะ เอ้อ! ใช่ๆ พี่ฟ้าน่ะ...” เด็กสาวตากล้องพยายามจะพูดขึ้นมาอีก แต่ฉันก็เอามือไปปิดปากของเธอเอาไว้ก่อน
“พอเถอะจ้ะ” ฉันยิ้มเจื่อนๆ และส่งสายตาให้เด็กสาวที่ฉันปิดปากอยู่อย่าพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ “มาถ่ายรูปคู่กันดีกว่าจ้ะ พี่ยิ่งงานเยอะอยู่ด้วย เดี๋ยวต้องไปทำงานต่อแล้ว”
“ค่ะ” เด็กสาวตากล้องกล่าวขึ้นเมื่อฉันเอามือออกจากปากเธอ ก่อนที่จะมองมาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเธอเข้าใจแล้วว่าฉันไม่อยากให้พูด ก่อนที่จะส่งกล้องจากมือของฉันไปยังเด็กสาวผิวเข้ม แล้วโพสต์ท่าเพื่อถ่ายรูปคู่กับฉัน
“พี่ฟ้าขยับเข้าไปใกล้ๆ อีกหน่อยนะคะ” เด็กสาวผิวเข้มที่รับหน้าที่เป็นตากล้องกล่าวขึ้น ฉันก็ขยับตามเธอโดยดี ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ ให้กล้อง เพื่อให้เธอกดชัตเตอร์ถ่ายรูป
“เสร็จแล้วค่ะ สวยมากเลย ยังกะเจ้าหญิงญี่ปุ่นแน่ะ” เด็กสาวผิวเข้มกล่าวขึ้นมาก่อนที่จะยื่นกล้องให้ฉันและเพื่อนของเธอดู จะว่าไปแล้วคนหน้าตาอย่างฉันนี่ใส่ชุดอะไรก็ดูดีนะเนี่ย!
“นี่! เกอิชาตรงนั้นน่ะ! ชงชาให้หน่อยซิ” ใครบางคนที่เพิ่งก้าวผ่านประตูและเดินมาที่ซุ้มชากล่าวขึ้น ก่อนที่ใช้สายตาที่น่ากลัวกวาดมองมายังพวกฉัน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในมุมชงชา หมอนี่ก็คือนายจักรที่ฉันเพิ่งเจอระหว่างทางมาชมรมนั่นเอง
“ฉันไม่ใช่เกอิชานะยะ! ว่าแต่นายไม่คิดจะช่วยชมรมเราบ้างหรือไง? เอาแต่เดินไปเดินมา แล้วนั่นไปกินอะไรมาน่ะ? เสื้อถึงได้เปื้อนรอยยังกะน้ำจิ้มหกใส่” ฉันพูดพลางชี้ไปที่เสื้อนักเรียนของเขาที่เปื้อนอะไรบางอย่างแดงๆ น้ำตาลๆ ที่ตรงท้อง ยังกะน้ำจิ้มสุกี้หรือเลือดหกใส่
“ช่างมันเถอะ” ชายหนุ่มผิวคล้ำตัดบท “ชงชามาให้ทีแล้วกัน อยากลองกินดูหน่อย”
“ก็ได้” ฉันกล่าวพลางลุกขึ้นเดินไปที่ถ้วยชา ขณะที่รุ่นน้องทั้งสองนั้นหันมามองหน้าฉันพลางทำไม้ทำมือประมาณว่า ตรงนี้น่ากลัวเกินไปที่อยู่แล้ว ฉันก็พยักหน้าและให้พวกเขาทั้งสองเดินไปที่มุมโอริงามิ ขณะที่ตัวเองก็ก้มหน้าก้มตาชงชาให้กับอีตาบ้าจักรต่อไป
“เอ้า! นี่” ฉันพูดพลางส่งถ้วยชาที่ชงเสร็จอย่างลวกๆไปให้นายจักร แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รับไว้ แถมยังนั่งกอดอกแล้วมองกลับมาด้วยสายตาที่เหมือนจะดูถูกอีกต่างหาก!
“พูดกับคนมาเยี่ยมชมแบบนี้เหรอ? ไม่น่ารักเอาซะเลยนะ” เด็กหนุ่มผิวคล้ำกล่าวขึ้นด้วยเสียงนิ่งๆ ทำเอาฉันต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธ ก่อนที่จะยิ้มขึ้นมาด้วยสปิริตของเด็กชมรมญี่ปุ่น แล้วแล้วพูดด้วยเสียงใสเหมือนกับพูดจาต้อนรับแขกคนอื่น
“ชาร้อนๆ ที่ต้องการได้แล้วค่ะ เชิญชิมเลยนะคะ”
หนุ่มตาดุหัวเราะในลำคอ ก่อนที่เอื้อมมือมารับด้วยชาจากมือฉันไปหลับตาดื่มอย่างเงียบๆ แล้วก็วางถ้วยชาลงแล้วเดินออกจากห้องไป
ฉันอยากจะตะโกนด่าไล่หลังเจ้าหมอนั่นไปเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าความรู้สึกนั้นก็ต้องมลายหายไปแทบจะทันที เมื่อเพื่อนหนุ่มรูปงามปานเจ้าชายในเทพนิยายเดินสวนกับตาบ้านั่นเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วชำเลืองสายตามายังฉัน
“อยู่ที่นี่เอง ฟ้า ว่างอยู่หรือเปล่าน่ะ?” เขาถามขึ้นมาด้วยเสียงนุ่มๆ เมื่อเห็นว่าฉันกำลังเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ชงชาให้นายจักรเมื่อครู่ จะว่าไปแล้วพวกประจำมุมชงชานี่ก็ไปแล้วไปลับเลยนะเนี่ย! ไม่มีใครกลับมาทำงานต่อเลยสักคน! ไปหลบอยู่ไหนกันหมดนะ!?
“ว่างจ้ะ” ฉันตอบกลับไปด้วยความเขินอายและตื่นเต้น นี่ถ้าที่นายเอกบอกมาเป็นเรื่องจริงล่ะก็... เขาจะมาสารภาพรักฉันงั้นเหรอเนี่ย?! แล้วฉันจะทำไงดีล่ะเนี่ย!? ทำอะไรไม่ถูกใหญ่แล้วฉัน!
“ฟ้า ฉันแข่งว่ายน้ำได้ที่หนึ่งด้วยล่ะ” เขาพูดขึ้นก่อนที่จะทั้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“จ...จริงเหรอ? เก่งจริงๆ เลย ส...สมเป็นนายเลยนะเนี่ย ดีใจด้วยนะ แล้วก็ ข.. ขอโทษด้วยที่ลงไปดูไม่ได้” ฉันพูดอย่างค่อนข้างตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อจ้องตาของกัซ ตอนนี้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวเพาะความอายไปแล้ว! เขาจะจับได้ไหมเนี่ยว่าฉันคิดอะไรอยู่?
“อืม... แค่เธอส่งใจไปเชียร์ฉันก็มีกำลังใจแล้วล่ะ” เขาพูดพลางยิ้มมาให้ฉัน เล่นเอาฉันแทบจะละลายอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว! ฉันจึงพยายามหลบสายตาไปทางอื่น แต่ก็ต้องหันกลับมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเองกับกัซตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนๆ สต๊าฟชมรมญี่ปุ่น และผู้เข้าชมที่เป็นเด็กในโรงเรียนไปแล้ว!
“ฟ้า... ในฐานะที่เรารู้จักกันมานาน ทำงานอะไรด้วยกันมาก็ไม่น้อย ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม?” เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ราวกับจะสะกดฉันก็ไม่ปาน
“อ่า... ได้สิ” ฉันตอบไปราวกับคล้อยตามมนต์สะกดของเขา
“ตอนนี้เธอมีแฟนหรือยัง?”
“ย... ยัง” ฉันตอบอย่างตะกุกตะกัก
“งั้นเธอมาเป็นแฟนฉันได้ไหม?” เขาพูดอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของฉันราวกับกลัวใครจะมาได้ยิน
นี่ที่นายเอกบอกมาเป็นความจริงจริงๆ ด้วย! ฉันควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะเนี่ย? เมื่อจู่ๆ ชายในฝันก็มาขอเป็นแฟนแบบนี้! มันเป็นโอกาสที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตคงหาไม่ได้จากที่ไหนแน่ๆ!
แล้วความตื่นเต้นก็ครอบงำฉันถึงขีดสุด สติสัมปชัญญะของฉันเริ่มขาดๆ หายๆ ฉันพูดตอบเขาไปด้วยคำตอบว่าอะไรก็ไม่รู้สึกตัวเหมือนกัน ฉันทำอะไรต่อไปก็ไม่รู้ เพราะจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ดูเหมือนสติของฉันมันเริ่มจะรางเลือน ความทรงจำเริ่มพร่ามัว...
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อฝ่ามือของใครบางคนกระทบเข้าที่ใบหน้าของฉันอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ...
เผียะ!!!
“ยัยบ้า ทำไมเธอถึงได้พูดแบบนั้นไปได้!” เสียงของยัยมินท์กับฝ่ามือที่กระทบใบหน้าฉันอย่างแรงเรียกสติของฉันให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่ที่ระเบียงที่ตึกที่ไม่ได้จัดนิทรรศการ ที่เป็นทางผ่านระหว่างที่ฉันแสดงละคร กับที่จัดนิทรรศการญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ซึ่งเด็กสาวหน้าขาวเคยเล่าเรื่องตัวเองให้ฉันฟัง
“น... นี่ฉันทำอะไรลงไปเหรอ? จำอะไรไม่ได้เลย” ฉันตอบกลับไปอย่างงุนงงกับที่เธอพูดมา นี่ฉันทำอะไรร้ายแรงลงไปรึเปล่าเนี่ย?
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะว่าเรื่องเป็นไงมาไง เพราะตอนเกิดเรื่องฉันเพิ่งขึ้นมาพอดี” มินท์พูดขึ้นมาก่อนที่จะถอนใจครั้งหนึ่งแล้วมองหน้าฉัน “แต่เธอปล่อยโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตไปแล้วล่ะ แถมยังลากฉันเข้าไปเกี่ยวอีกเต็มๆ”
“ฉันทำอะไรลงไปกันล่ะ? เล่ามาเถอะ คงไม่มีใครมาฟังหรอก” ฉันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ฉันอยู่กับเธอเพียงสองคนเท่านั้น
“เธอบอกกัซที่มาขอเธอเป็นแฟนว่า... เธอเป็นแฟนกับเขาไม่ได้จริงๆ เพราะว่า...” เด็กสาวในยูกาตะลายซากุระสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่อ ”เธอไม่ได้ชอบผู้ชาย เพราะเธอเป็นเลสเบี้ยนที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน และเธอก็แอบชอบฉัน”
“หา!! นี่ฉันพูดอย่างงั้นไปจริงเหรอ!”
“เออสิ แล้วเราจะเอายังไงต่อล่ะเนี่ย?” ยัยมินท์กุมขมับด้วยความเครียด “ฉันไม่ต้องไปต่อยกับนายกัซเพราะแย่งเธอมาเรอะ? แล้วฉันจะสู้หน้าพวกแฟนคลับเธอได้ไงเนี่ย? โอ๊ย! วันหลังหัดตั้งสติให้มันอยู่กับเนื้อกับตัวหน่อยเซ่!”
“ฟ้า!” เสียงเล็กๆ ของต่ายดังขึ้นมาจากทางทางเชื่อม ก่อนที่เธอจะวิ่งเหยาะๆ มาอย่างยากลำบากเพราะกิโมโนสีชมพูของเธอมันทำให้วิ่งได้ไม่สะดวกนัก
“เธอพูดอะไรออกไปเนี่ย?” เด็กสาวหน้าอ่อนกล่าวขึ้นพลางมองฉันด้วยสายตาน่าสงสารที่คลอไปด้วยน้ำตา “ไหนเธอบอกฉันว่าเธอชอบกัซไง!? แล้วทำไมพูดออกมาแบบนี้!? ทำไมต้องโกหกกันด้วย!?! ทำไม ต....” เธอกล่าวเพียงเท่านั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อเลยแม้แต่คำเดียว เพราะสะอื้นกับการร้องไห้ไปจนพูดไม่ออกไปแล้ว
“ฉ...ฉันขอโทษ” ฉันพูดพลางลุกขึ้นมาจะไปกอดเพื่อปลอบเธอ แต่เธอปัดมือฉันออกไปเอาอย่างไม่ใยดี ก่อนจะร้องไห้ต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับม้านั่งที่ระเบียง แล้วซบหน้าลงกับมือคู่เล็กของเธอ
ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลยเมื่อเห็นเธอต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ มันทำเอาฉันรู้สึกวังเวงและหดหู่ยังไงก็ไม่รู้ แถมจู่ๆ ข้อมือของฉันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาราวกับถูกข่วนเอาดื้อๆ และฉันก็พบว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง เมื่อถลกแขนกิโมโนแล้วพบรอยคล้ายเล็บคนพาดผ่านข้อมือข้างซ้ายของตัวเองไปจนถึงข้อพับ!
ขณะที่ฉันกำลังสงสัยและมึนงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น และกำลังเป็นห่วงเพื่อนที่กำลังร้องไห้อย่างไม่ทราบสาเหตุนั้นเอง ฉันก็รู้สึกได้ถึงเล็บที่มองไม่เห็นกำลังพาดผ่านแก้มขวาฉันไปเหมือนกับที่แขน และฉันก็เห็นสายตายัยมินท์มองมาที่แก้มขวาฉันอย่างตกตะลึง คงเป็นเพราะว่าจู่ๆ มันก็มีรอยเหมือนโดนข่วนที่แก้ม แต่ฉันคงไม่มีเวลาจะไปวิตกกังวลกับมันสักเท่าไรหรอก เพราะตอนนี้ความเข้าใจกันระหว่างฉันกับต่ายสำคัญกว่านั้นเยอะ
“ต่าย... ฟังฉันนะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับจะกล่อมเด็ก “ที่ฉันพูดต่อหน้ากัซ มันคือเรื่องโกหก... แต่ที่ฉันบอกเธอ มันคือเรื่องจริง...”
“ล...แล้วทำไมต้องพูดแบบนั้นกับกัซ กัซเขาตกใจมากนะ ร...รู้ไหม?” ต่ายพูดพลางสะอื้นพลาง “ก...ก็ในเมื่อเธอชอบกัซ ล... แล้วทำไมถึงต้องบอกเขาไปยังงั้นด้วย?”
“เพราะว่า.... ฉันน่ะ แค่ชอบเขา” ฉันตั้งสติให้แน่วแน่ ไม่สนใจว่าจะมีรอยข่วนพาดผ่านตรงไหนอีกหรือเปล่า แล้วบอกเธออกไป “แต่เธอน่ะ... เธอรักเขา ถึงได้ยอมทำทุกอย่างให้เขามีความสุข ถึงแม้ว่าความสุขนั้นคือการเป็นแฟนกับคนอื่น! ฉันก็เลยไม่อยากแย่งเขาไปจากเธอ!”
เด็กสาวในกิโมโนสีชมพูหยุดการร้องไห้ลงในทันทีทันใดเมื่อฉันพูดอะไรที่ฉันไม่น่าจะรู้เข้า ก่อนที่จะเงยหน้าที่ซบฝ่ามืออยู่ขึ้นมามองฉันอย่างสงสัย
“ธ... เธอรู้ได้ไง?”
“ก...ก็สังเกตเอาจากคำพูดเธอน่ะสิ” ฉันโกหกคำโตเพราะไม่อยากให้ต่ายไม่สบายใจไปมากกว่านี้
“ฉันขอบคุณเธอมากนะที่ยอมเสียสละให้ฉันไปคบกับเขา แต่ฉันแย่งเขาไปจากเธอไม่ได้จริงๆ ฉันแย่งเขาจากเพื่อนที่แสนดีอย่างเธอไม่ได้ ฉันอยากให้แฟนของเขาเป็นเธอมากกว่าที่จะเป็นฉัน! ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจเธอเท่าไรก็เถอะ แต่ว่าถ้าเธอพยายามเข้าเรื่อยๆ สักวันหนึ่ง ความดีของเธอต้องเอาชนะใจเขาได้แน่ๆ!”
“ฟ้า...” ต่ายมองหน้าฉัน ด้วยสายตาที่แฝงความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกไหนกันแน่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วโถมตัวเข้ามากอดฉันแน่นราวกับเด็กกอดแม่
“ข...ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกต่าย... เธอไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น... ฉันกับมินท์ก็จะไม่มีทางทรยศหรือทอดทิ้งเธอไปไหนแน่ๆ” ฉันพลางลูบหลังของเธอเบาๆ แบบเดียวกับที่ทำกับมินท์เมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
มันช่างเป็นวันที่น่าแปลกจริงๆ ที่เพื่อนๆ ต่างมากอดฉันแล้วก็ร้องไห้ระบายความรู้สึกแบบนี้... มินท์เองก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกันล่ะมั้ง และเธอก็คงเข้าใจความรู้สึกของยัยต่ายดีด้วย เธอจึงเอื้อมมือมาลูบศีรษะของต่ายเบาๆ ราวกับจะปลอบโยน
“ต่าย... ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป” มินท์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง
“ข... ขอบใจมาก ฟ้า มินท์” ต่ายพูดพลางคลายอ้อมกอดออกจากฉันหลังจากที่ร้องไห้มาได้สักพักใหญ่ ก่อนที่จะใช้ชายกิโมโนปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม แล้วยื่นนิ้วก้อยของมือทั้งสองข้างมาที่ฉันและสาวห้าวหน้าญี่ปุ่น
“สัญญานะ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราจะไม่มีวันทอดทิ้งกันเด็ดขาด”
“แน่นอนจ้ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราคือเพื่อนกันตลอดไป มีอะไรก็จะช่วยกันให้ถึงที่สุด แล้วก็จะไม่มีวันทอดทิ้งกันเด็ดขาด” ฉันยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยสัญญากับเธอ
“อื้ม” ยัยมินท์กล่าวขึ้นมาแล้วทำแบบที่ฉันทำบ้าง
ช่างเป็นวันที่ดีมากอีกวันจริงๆ เพราะเป็นวันที่ฉันได้เข้าใจเพื่อนสนิททั้งสองคนมากยิ่งขึ้น แล้วก็คงจะเป็นความรัก ความสนิทสนม และความเข้าใจที่มีให้กัน ไปอีกตราบนานเท่านานเลยล่ะ... ฉันจะจำไปถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตเลยทีเดียว... ฉันจะไม่ผิดสัญญาว่าเราจะไม่ทอดทิ้งกันเด็ดขาด!
ฉันจะช่วยมินท์กลับไปที่โลกให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
