บทที่ 16 โกลาหลกลางอากาศ
บทที่ 16 โกลาหลกลางอากาศ
“ไม่มีเวลาอธิบายมากแล้วล่ะสาวน้อย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อนและวิตกกังวลอย่างที่คนธรรพ์ใจเย็นอย่างเธอไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน พลางหมุนนิ้วเรียกคนโทสีดำออกมา แล้วส่งมันมาให้ฉัน
“นี่เป็นยาสูตรลับพิเศษที่ฉันปรุงขึ้นมาเอง มีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่ดื่มมันเข้าไปตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน เธอเองก็เคยดื่มมันมาแล้วในโพรงไม้นั้น และฉันก็ต้องการให้เธอดื่มมันอีกครั้งหนึ่ง” เธอพูดขณะที่ฉันกำลังถือคนโทสีดำอยู่ในมือ
เมื่อเห็นว่าเธอต้องการแบบนั้น ฉันดื่มน้ำในคนโทนั้นเข้าไป จนกระทั่งอรัญญาณีทำสัญญาณให้พอ ก่อนที่เธอจะคว้าคนโทไปแล้วทำให้มันหายไปในอากาศ จากนั้นก็หันมาทางฉันพลางพึมพำอะไรบางอย่าง พลางยื่นพัดแบบโบราณที่เพิ่งเรียกออกมาให้กับฉัน และจู่ ๆ ร่างกายของฉันก็เริ่มขยับไปเองเหมือนคราวที่อยู่ในโพรงไม้ ฉันค่อยๆ เดินเข่าไปนั่งพับเพียบข้างอรัญญาณี ก่อนที่จะใช้พัดนั้นพัดให้เธอเบา ๆ
อรัญญาณีคงทำให้ฉันมีสภาพใกล้เคียงกับพวกคนรับใช้ของเธออีกครั้งหนึ่งสินะ ว่าแต่เธอจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ?
แล้วฉันก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เมื่อใบหน้าของฉันค่อย ๆ หันไปยังทิศทางที่เป็นทางด้านหลังของเจ้านกมีงวงที่นั่งอยู่ ทำให้มองเห็นฝูงช้างบินที่ฉันไปอยู่บนหลังของมันเมื่อวันก่อน กำลังบินตามพวกเรามาอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ยังไม่น่าตกใจเท่าบนหลังของช้างบินตัวสีทองที่น่าจะเป็นหัวหน้าฝูงนั้น มีเจ้านักกล้ามตัวเขียวที่ถูกอรัญญาณีเล่นงานไปเมื่อวานอยู่ด้วย! แถมบนหลังของเจ้าช้างบินบางตัว ก็มีคนที่หน้าตาน่ากลัวหลากสีผิวอยู่บนหลังของพวกมันอีกต่างหาก!
“นางคนธรรพ์!” เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดของเจ้านักกล้ามที่ถูกเล่นงานไปเมื่อวานดังขึ้นมา เมื่อมันเร่งความเร็วของช้างบินสีทองมาจนบินตีคู่กับนกยักษ์ที่พวกเรานั่งอยู่ “เจ้าจะบอกข้ามาแต่โดยดีว่าเอาผู้หญิงคนนั้นไปซ่อนไว้ที่ไหน รึว่าจะให้ข้ากับบริวารใช้กำลังบังคับ!”
“ตายแล้ว พูดจาน่ากลัวจังเลยนะ พ่อยักษ์ตัวเขียว” อรัญญาณียิ้มยียวนพลางลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามราวกับจะบอกว่า เธอไม่ได้กลัวพวกมันเลยแม้แต่น้อย ท่าทีวิตกกังวลของเธอในเมื่อครู่นั้นหายไปหมดจนเหมือนไม่เคยมีท่าทีแบบนั้นมาก่อน คงเป็นเพราะเธอคงสบายใจได้ที่พวกมันไม่รู้ว่าฉันคือคนที่พวกมันตามหาตัวอยู่ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะเธอเก็บอาการได้ดีอย่างมากแน่ ๆ
“อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะบังคับข้าได้ หรือจะถูกเล่นงานจนกระเด็นเหมือนคราวก่อนกันแน่ล่ะ”
“แปลว่าอยากจะให้ใช้กำลังบังคับสินะ อรัญญาณี!” เจ้าคนที่ถูกเรียกว่ายักษ์เขียวตะโกนกลับมาด้วยน้ำเสียงดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มันน่ากลัวเสียจนฉันคงจะเป็นลมล้มพับไปแล้วแน่ ถ้าหากว่าไม่ถูกบังคับร่างกายอยู่แบบนี้
“อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ใช้ฝูงสัตว์ชนิดที่เป็นอาหารเจ้านกนี่มาบินไล่ตามแบบนี้ คิดว่าข้าจะกลัวหรือ?” หญิงสาวผู้ห่มสไบเขียวกล่าวพลางสยายผมปลิวให้ปลิวไสวไปกับสายลม
“เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรจริง ๆ หึหึ” เจ้านักกล้ามตัวเขียวกล่าว “เจ้าพวกนี้เป็นสัตว์จากอาณาจักรข้า ถูกฝึกมาเพื่อการสู้รบโดยเฉพาะ ระดับมันต่างจากช้างป่าที่นกของเจ้าจับกินอยู่มากโข นกของเจ้าสู้กองทัพช้างของข้าไม่ได้แน่ ๆ!”
“ฟังดูน่ากลัวจังเลยนะ ช้างป่าทั้งฝูงรุมจัดการนกตัวเดียว ผู้ชายทั้งกลุ่มคิดจะมาเล่นงานผู้หญิงคนเดียวเนี่ย” อรัญญาณีพูดยั่วโมโห “ว่าแต่ผู้ชายไล่ตามผู้หญิงมาแบบนี้ ถ้าจับได้แล้วคิดจะทำอะไรกันเหรอจ๊ะ?”
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น! เมื่อไม่ยอมบอกมาว่าเจ้าเอานางคนนั้นไปซ่อนไว้ที่ไหนแต่โดยดี ก็คงต้องจับเจ้ามาทรมานให้บอกความจริงแล้วล่ะ!” เจ้านักกล้ามบนหลังช้างทองกล่าวพลางทำสัญญาณอะไรบางอย่างกับบริวารบนหลังช้างบินที่ตามมาทางด้านหลัง
“จัดการมันได้!” เสียงตะโกนของเจ้ายักษ์เขียวดังขึ้น ตามมาด้วยลูกธนูจำนวนมากที่พุ่งออกมาจากพวกพลธนูบนหลังช้างบินเข้ามาหาอรัญญาณีและฉัน แต่คนธรรพ์สาวก็ไม่ได้แสดงท่าทีวิตกกังวลแต่อย่างใด แถมเธอยังนั่งลงและลงมือดีดพิณอย่างสบายใจอีกต่างหาก
ทันใดนั้นร่างกายของฉันก็ขยับไปเองอีกครั้ง ฉันวางพัดในมือลงและลงไปนอนหงายกับแผ่นหลังนกยักษ์ พลางเกาะเส้นขนของมันไว้แน่น ก่อนที่จะรู้สึกว่าเจ้านกที่ฉันนอนอยู่บนหลังกำลังบินฉวัดเฉวียนไปมาด้วยความเร็วสูงจนฉันตาลายไปหมด และเมื่อร่างกายของฉันขยับไปนั่งพับเพียบเหมือนเดิม ฉันก็พบว่าพวกเราทิ้งห่างกองทัพช้างบินนั่นมาไกลหลายร้อยเมตรเลยทีเดียว แถมลูกธนูของพวกนั้นก็ไม่ได้โดนพวกเราหรือเจ้านกตัวนี้เลยแม้แต่น้อย
“ใช้ดนตรีสื่อสารกับพาหนะของตัวเองงั้นเรอะ ฉลาดมาก แต่ยังไม่พอที่จะเอาตัวรอดจากพวกข้าหรอกนะ นางคนธรรพ์!” เจ้ายักษ์เขียวกล่าวพลางบังคับช้างบินสีทองที่มันขี่ให้เร่งความเร็วเข้ามาหาพวกเราจนห่างจากเราไม่ถึงห้าสิบเมตร แล้วเรียกหอกเหล็กขนาดใหญ่ที่ปลายหอกเป็นสีแดงส้มเพราะความร้อนออกมาแบบอรัญญาณีเรียกสิ่งของ ก่อนจะซัดหอกนั่นเข้าไปที่ศีรษะของเจ้านกมีงวงที่พวกเรานั่งอยู่ในทันที!
อรัญญาณีถึงกับแสดงสีหน้าตระหนกไปชั่วขณะเมื่อหอกพุ่งข้ามหัวเธอไปทางศีรษะของนกยักษ์ แต่เธอก็เรียกโล่เหล็กออกมากลางอากาศจนป้องกันหอกนั่นได้ทันท่วงที ส่งผลให้เจ้าหอกเหล็กและโล่กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง แต่โชคร้ายไปนิดที่มันกลับกระเด็นมาทางฉันที่เคลื่อนไหวเองไม่ได้!
โล่เหล็กที่มีหอกปักอยู่กระแทกเข้ากับศีรษะของฉันพอดิบพอดี ถึงแม้ว่าอรัญญาณีจะทำให้มันหายไปกลางอากาศก่อนที่มันจะทำความเสียหายรุนแรงถึงชีวิต แต่แรงกระแทกแค่นั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีเลือดอุ่นๆ ไหลออกมาจากศีรษะ และความเจ็บปวดนั้นเจ็บจนฉันแทบจะร้องออกมาเลยทีเดียว เพียงแต่ฉันไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้ด้วยตัวเองในเวลาที่ถูกอรัญญาณีควบคุมร่างแบบนี้
“อรัญญาณี! เจ้าพลาดแล้ว!” เจ้าคนที่อรัญญาณีเรียกว่ายักษ์เขียวตะโกนลั่น เมื่อมันมองมาที่ฉัน“แต่ข้าก็ต้องชื่นชมในความฉลาดของเจ้าไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ทำให้คนที่พวกข้ากำลังตามหามีสภาพคล้ายกับพวกตุ๊กตาดินของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง กลิ่น หรือว่าแววตา แต่เจ้าคงลืมไป ว่าพวกตุ๊กตาดินหุ่นพยนต์ทั้งหลายน่ะ มันไม่มีเลือด!”
เจ้ายักษ์เขียวพูดจบ อรัญญาณีก็หมุนนิ้วชี้หนึ่งรอบแล้วชี้มาทางฉัน ซึ่งทำให้ฉันกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะหันกลับไปมองเจ้าคนบนหลังช้างบินสีทองอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เพิ่งมาฉลาดเอาตอนนี้เหรอ? ก็ยังดีนะ นึกว่าเจ้าจะโง่เง่าตลอดชีวิตเสียอีก” เธอกล่าวขึ้นมาก่อนที่จะหันมาทางฉันแล้วพูดขึ้น “ถ้าซ่อนเธอจากพวกมันไม่พ้น ก็คงต้องหนีด้วยความเร็วเต็มที่ล่ะนะ”
“คิดว่าทำได้ก็ลองดู” เจ้ายักษ์นั่นกล่าวพลางเรียกหอกเหล็กแบบเดียวกับเมื่อครู่นี้ออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้วแสยะยิ้มที่น่ากลัวราวกับปีศาจร้ายกระหายเลือด
