บทที่ 12 ฟ้ากับมินท์
บทที่ 12 ฟ้ากับมินท์
โชคดีเหลือเกินที่ทางที่พวกเราเดินนั้นมันไม่มีใครใช้ เพราะไม่ได้เป็นพื้นที่ของชมรมไหนเลย ไม่งั้นคนคงได้ยินกันเยอะแน่ๆ
“ขอโทษนะฟ้า เมื่อกี้ใส่อารมณ์มากไปหน่อย” มินท์พูดขึ้นมาก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนอารมณ์เมื่อครู่ “พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไม่ค่อยอยากเล่าแล้วแฮะ”
“เอ่อ... ว่าแต่แม่ของเธอไปทำอีท่าไหนถึงได้รู้จักกับผู้ชายแบบนั้นได้...”
“ยัยนั่นไวไฟยิ่งกว่าอะไรดี” มินท์ชิงตอบก่อนที่ฉันจะถามจบ และเหมือนว่าคำพูดของฉันไปจี้ใจดำของเธอโดยไม่รู้ตัวเข้าอีกคน
“เธอรู้ไหม ตอนสาวๆ ยัยนั่นร่านมากจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมีแฟนมาแล้วกี่สิบคน แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเกิดท้องขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง มันจะมีหน้าไหนล่ะ? ที่พร้อมจะทิ้งชีวิตเพลย์บอยทั้งหมดเพื่อรับผิดชอบชีวิตของผู้หญิงสำส่อนแค่คนเดียว”
“ชีวิตคนเราบางทีมันก็ยิ่งกว่าละครนะ” มินท์ปาดน้ำตาที่เริ่มรินลงมายังแก้มใส “พอท้องไม่มีพ่อขึ้นมา คุณตาคุณยายท่านก็เลยตัดยัยนั่นออกจากวงศ์ตระกูล ไล่ให้ออกจากบ้าน ยัยนั่นก็เลยต้องระหกระเหเร่ร่อนจนต้องไปอาศัยที่ห้องเช่าเล็กๆ ในชุมชนแออัด... หรือที่พวกเธอเรียกกันว่าสลัมนั่นล่ะ แต่คุณตากับคุณยายก็ยังตัดเลือดในอกตัวเองไม่ขาด ถึงจะไล่ออกมาจากบ้านแล้วก็ยังจ่ายเงินให้ยัยนั่นทุกเดือน บอกว่าเป็นค่าจ้างเลี้ยงดูหลาน ซึ่งก็คือฉันนั่นแหละ”
“แต่เธอก็ไม่น่าจะเรียกแม่เธอแบบนั้นนะ” ฉันแย้ง เพราะทนไม่ได้ที่มินท์ดูถูกบุพการีตัวเอง “ยังไงซะเขาก็น่าจะรักเธออยู่บ้างล่ะน่า?”
เพื่อนสาวมองหน้าฉันด้วยสายตาที่ยากแก่การอ่านความรู้สึก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้ากำลังรู้สึกยังไง เหมือนกับว่าทั้งโกรธและเศร้าในเวลาเดียวกัน ราวกับความรู้สึกที่เก็บมาทั้งชีวิตกำลังจะถูกระเบิดออกมาตรงนี้ และฉันก็ไม่อาจคาดเดาด้วยว่า คำพูดที่พูดออกไปเมื่อครู่ มันจะทำให้เธอมีปฏิกิริยายังไงต่อไป
แต่ถ้าเธอจะลงไม้ลงมือ ฉันก็คงยอม เพราะฉันเป็นเพื่อนของเธอนี่ เพื่อนกันก็ต้องไม่ยอมให้เพื่อนทำอะไรที่มันไม่ดี แล้วการที่มินท์กำลังด่าว่าบุพการีตัวเองแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ๆ
แต่เปล่าเลย มินท์ไม่ได้ลงไม่ลงมือกับฉันตามนิสัยของสาวห้าวบ้าพลังเลยสักนิด แต่เธอกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ น้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากสองตาของเธออย่างหยุดไม่ได้ จนมันอาบลงมาที่แก้มขาวทั้งสองข้างและเริ่มเลอะเครื่องสำอางบนผิวหน้า แล้วไหลรินลงมาจนถึงยูกาตะลายซากุระที่เธอสวม
“รักเหรอ? คนที่รักกันเขาจะเลี้ยงลูกแบบทิ้งๆ ขว้างๆ จนขนาดป่วยเจียนตายก็ไม่เคยพาไปหาหมอเหรอ? คนที่รักลูกเขาจะปล่อยให้ลูกตัวเองอดๆ อยากๆ ไม่มีข้าวกิน ขณะที่ตัวเองเอาแต่ไปนั่งเล่นไพ่เหรอ? คนที่รักลูกจะให้ลูกทำงานบ้านทุกอย่าง ขณะที่ตัวเองเอาแต่นอนงั้นเหรอ? คนที่รักลูกเขาจะส่งให้ลูกเรียน เพราะหวังเงินจากพ่อแม่ตัวเองที่ตั้งเงื่อนไขว่าถ้าไม่ส่งลูกเรียน จะไม่ให้เงินมาใช้เหรอ? คนที่รักลูก ข..เขาจะ...” มินท์หยุดพูดสักพักเพราะสะอึกจากการสะอื้นร้องไห้ ก่อนที่จะลดเสียงของตัวเองให้เบาลงจนเห็นได้ชัด
“ข... เขาจะจับลูกตัวเองที่อายุแค่สิบสามไปขายตัวให้เศรษฐีบ้ากาม เพื่อเอาเงินมาเล่นไพ่เหรอ?”
ฉันนิ่งเงียบทันทีเมื่อได้ยินมินท์พูดจบ หยดน้ำอุ่นๆ ไหลรินออกมาจากสองตาของฉันเช่นเดียวกับเธอ ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเธอถึงจงเกลียดจงชังบุพการีของเธอนัก ถ้าหากว่าชีวิตของตัวเองต้องเผชิญกับเรื่องราวแบบนั้นบ้างล่ะก็ ฉันคงไม่สามารถอยู่เป็นผู้เป็นได้แน่ๆ
ฉันอยากจะปลอบใจเธอ แต่ก็เหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกที่ลำคอจนพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ และถึงพูดออก ก็ไม่รู้หรอกว่าจะหาคำอะไรมาปลอบใจเธอ ในเมื่อชีวิตของฉันมันสุขสบายกว่าเธอทุกอย่าง แม้แต่ทะเลาะกับพ่อแม่ก็ไม่เคยโกรธกันนานข้ามวันเลยด้วยซ้ำ
แต่ไม่ต้องห่วง... ฉันไม่ได้โง่พอที่จะเสร็จไอ้เศรษฐีโรคจิตชอบกินเด็กนั่นหรอก หึๆ” มินท์พูดขึ้นมาพลางฉีกยิ้มอย่างสะใจที่ได้พูดถึงเรื่องที่น่าอับอายนั้น ราวกับมันคือความภูมิใจของเธอก็ว่าได้ “ฉันเล่นงานจุดยุทธศาสตร์ของมัน แล้วก็อาศัยจังหวะและความโชคดีหนีออกมาจากบ้านของมันได้”
“แต่พอฉันกลับมาถึงบ้าน ยัยนั่นก็มีแต่บ่นแล้วก็ด่าฉัน แถมยังเฆี่ยนตีฉันยังกะหมูกะหมา จนกระทั่งฉันต้องขู่ว่าถ้ายังไม่หยุดฉันจะฆ่าตัวตายเท่านั้นแหละ ยัยนั่นถึงได้เลิก ฉันว่าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงอะไรหรอกนะ แต่กลัวตัวเองไม่มีเงินใช้ต่างหาก”
“หลังจากนั้นมา ฉันเลยต้องทำตัวเป็นสาวห้าว ทำตัวให้เหมือนผู้ชาย ปากเก่ง เอะอะก็โวยวาย จะได้ไม่ต้องมีใครหน้าไหนมาสนใจฉัน และพอเวลายัยนั่นจะบังคับให้ฉันทำอะไรที่ฉันไม่ต้องการอีกฉันก็สู้ ยัยนั่นจะได้ไม่ต้องกดขี่ฉันหรือเอาฉันไปขายกับใครหน้าไหนอีก”
มินท์หยุดพูดขึ้นมากะทันหัน แล้วใช้ดวงตากลมโตที่มีน้ำตาเอ่อมองมาที่ฉันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ขอโทษทีนะที่พูดมากไปหน่อย บังเอิญพอมีใครพูดถึงพวกที่ทำให้ฉันเกิดมาทีไรแล้วมันทำให้ฉันสติหลุดทุกทีเลย ว่าแต่เธอรู้เรื่องของฉันแล้วเธอเกลียดฉันหรือเปล่า? เธอเกลียดลูกไม่มีพ่อคนนี้หรือเปล่า? เธอเกลียดคนที่เกลียดแม่ตัวเองแบบฉันหรือเปล่าล่ะ?”
ฉันหลบสายตาของเธอเพื่อปาดน้ำอุ่นๆ ที่คลออยู่ในดวงตา ก่อนที่จะรวบรวมความคิดและความกล้าทั้งหมดเพื่อหันกลับไปเผชิญหน้ากับเธออีกครั้ง
“มินท์... ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอจะมีที่มาที่ไปยังไง และฉันก็จะทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน และจะไม่บอกให้ใครฟังเด็ดขาด ฉันสัญญา” ฉันหยุดพูดเพื่อสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด เพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่ยังมี และพยายามกลั่นกรองคำพูด ก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เธอก็คือยัยมินท์ มีนา ขวัญดำรง เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน และเมื่อเธอเป็นเพื่อนของฉันแล้ว เราจะไม่ทิ้งกันเด็ดขาด เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”
ความเงียบสงัดเริ่มมาเยือนทันทีที่ฉันพูดจบ เราทั้งสองเงียบจนชนิดที่ว่าได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันเต้น เหมือนกับว่าไม่มีนิทรรศการที่จัดขึ้น ไม่มีคนอยู่ในโรงเรียน ไม่มีใครอยู่ในโลก เหมือนกับว่าโลกนี้มีแต่เราสองคนเท่านั้น...
“ข... ขอบคุณมากนะฟ้า” ยัยมินท์กล่าวขึ้น ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาราวกับบ่อน้ำตาจะแตก แล้วเข้ามาสวมกอดฉันแล้วซบใบหน้าลงกับบ่าเล็กๆ ของฉัน “ธ... เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันจริงๆ ฉ...ฉันขอบคุณเธอจริงๆ นะ ข..ขอบคุณจริงๆ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า เพื่อนกันก็ต้องเข้าใจกันอยู่แล้ว...” ฉันกล่าวออกไปจากใจจริง ก่อนที่จะกอดตอบกลับไปพลางลูบหลังของเธอเบาๆ ให้เธอหยุดสะอื้น แต่เธอก็ยังคงร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่านี่คือน้ำตาที่เก็บเอาไว้ไม่ได้ไหลออกมาตลอดชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้…
ไม่รู้เหมือนกันว่ากินเวลานานเท่าไรกว่าเธอจะหยุดร้องไห้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่คุ้มแล้ว เมื่อเทียบกับความรักและความเข้าใจที่ฉันกับเธอจะมีให้กันตลอดไป...
“ขอบคุณมากจริงๆ นะฟ้า...” มินท์กล่าวขึ้นมาหลังจากหยุดร้องไห้ไประยะหนึ่ง ก่อนจะคลายแขนที่สวมกอดฉันอยู่ออกช้าๆ และจ้องมองมาที่ฉันราวกับอยากจะขอบคุณอีกสักพันครั้ง แล้วจะปาดน้ำใสๆ จากนัยน์ตาคู่งามของเธอ
“ไปกันต่อเถอะ ฉันทำให้เสียเวลามามากแล้ว“ มินท์กล่าวขึ้นมาก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ แล้วเดินนำหน้าฉันไปช้าๆ ถึงแม้ว่าน้ำตาของเธอจะหยุดไหลแล้ว แต่ท่าทางของเธอเหมือนกับยังเศร้าอยู่ที่ต้องพูดถึงเรื่องอดีตที่เลวร้ายไปเมื่อครู่ ไม่สมกับเป็นสาวห้าวประจำห้องเลย
ฉันเดินตามเธอไปช้าๆ เพราะยังไม่รู้ว่าจะชวนเธอคุยต่อไปเรื่องอะไรดีให้เธอหายซึม ถึงแม้ว่าฉันและเธอจะไม่มีอะไรต้องปิดบังกันต่อไปอีกแล้ว แต่ฉันก็อยากให้เธอกลับมาสดใสร่าเริงสมเป็นเธอเหมือนที่เคยเป็นในวันที่ผ่านมามากกว่าที่จะมาเปลี่ยนบุคลิกเอาดื้อๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามเธอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายตาของฉันเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่าง... สิ่งที่น่าจะทำให้ยัยนั่นยิ้มและกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
“เห็นเจ้าบ้านั่นไหม?” ฉันกระซิบกับมินท์พลางชี้ไปที่หนุ่มคนหนึ่งที่ยืนตรงทางเชื่อมระหว่างตึกที่อยู่เบื้องหน้าพวกเรา
“เห็นสิ” มินท์ตอบพลางมองไปที่เป้าหมาย ซึ่งก็คือจักร เพื่อนหนุ่มผิวคล้ำที่สูงกว่าฉันประมาณห้าเซนติเมตร ซึ่งกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ที่ทางเชื่อมระหว่างตึกที่พวกเราอยู่กับตึกที่มีพื้นที่ของชมรมเรา แววตาน่ากลัวที่อยู่บนใบหน้าที่คล้ายกับคนโบราณของเขาทอดสายตาไปยังผู้คนเบื้องล่าง สองมือของเขาจับราวกั้นของทางเชื่อมเอาไว้หลวมๆ นกกางเขนหนึ่งตัวเกาะอยู่บนบ่าซ้ายของเขา พลางส่งเสียงร้องเป็นท่วงทำนองราวกับจะขับกล่อมเขาให้เข้าสู่ภวังค์ก็ว่าได้ มันดูเชื่องมากราวกับเป็นนกที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นไข่ยังไงยังงั้น
“หมอนี่ปกติชอบทำตัวนิ่งๆ ดูขี้เก๊กยังไงก็ไม่รู้สิ” ฉันกระซิบเบาๆ “น่าหมั่นไส้เป็นบ้าเลย เดี๋ยวฉันจะลองแอบเข้าไปใกล้แล้วทำให้มันตกใจซะหน่อย อยากเห็นหน้ามันตอนตกใจอยู่เหมือนกัน”
“เอาสิ เดี๋ยวฉันจะยืนดูอยู่ตรงนี้นะ” มินท์กระซิบตอบพลางยิ้มนิดๆ ด้วยความสะใจกับการที่เราจะได้เห็นหน้าตกใจของเจ้าคนมาดนิ่งที่ชอบทำตัวขวางโลกนั่น... คนอะไรไม่รู้ หน้าตาไม่ดีเหมือนกัซแล้วยังจะชอบยืนเก๊กอีก แถมทำตัวเย็นชากับพวกฉันเสียเหลือเกิน โดนแกล้งหน่อยคงจะดีเหมือนกัน
ฉันสาวเท้าเข้าไปใกล้เป้าหมายของเราอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเข้าไปอยู่ที่ข้างหลังของเป้าหมายของเราได้โดยที่เขาไม่น่าจะรู้สึกตัว ก่อนที่จะเตรียมตัวตะโกนดังๆ จากทางด้านหลังให้เขาตกใจจนสะดุ้งสุดตัว
“จะเล่นอะไรก็ให้มันรู้เรื่องหน่อยนะ คุณขวัญนภา” เสียงทุ้มๆ ของผู้เป็นเป้าหมายดังกังวานขึ้นมาจากปากของเขา ก่อนที่เขาจะเหลียวกลับมามองฉันด้วยแววตาน่ากลัวราวกับปีศาจ! จนฉันที่จะไปแกล้งเขาต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเสียเอง!
“มีงานต้องทำไม่ใช่เรอะ? รีบไปทำงานซะสิ” เขาหยุดพูดเมื่อสายตาของเขาจับจ้องมาที่ร่างกายของฉัน จู่ๆ นัยน์ตาที่มีแววตาน่ากลัวนั้นเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ แล้วความเงียบกริบก็เริ่มต้นขึ้น ฉันและเขามองหน้ากันอยู่สักพักโดยที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกสักคำเดียว และคงจะกินเวลาไปเรื่อยๆ ถ้าเสียงของใครบางคนไม่ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“นี่! พวกเธอสองคนจะจ้องกันแบบนี้ไปอีกนานถึงไหนยะ? อย่าบอกนะว่าอยู่มาตั้งนานเพิ่งมาปิ๊งกันวันนี้” เสียงของยัยมินท์ที่ดังขึ้นมาทำเอาฉันต้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียง และพบว่าเธอกำลังท้าวเอวยืนมองฉันกับจักรอย่างขบขัน
แววตารวมทั้งสีหน้าท่าทางของเธอดูไม่เหลือร่องรอยของความเศร้าเมื่อครู่อีกแล้ว แต่จะเป็นเพราะเธอได้เห็นหน้าจักรตอนตกใจ หรือเป็นเพราะเธอรู้จักตีสีหน้าได้เก่งเวลาอยู่กับคนอื่น แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ เพราะเธอก็กลับมาดูร่าเริงดีแล้วนี่ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะสำหรับฉันที่ต้องการให้เธอกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
“จะบ้าเหรอยัยมินท์!” ฉันตะโกนตอบกลับไป “เอาอะไรมาคิดยะว่าฉันจะชอบเจ้าหมอนี่?! ถึงโลกนี้เหลือผู้ชายคนเดียวฉันง้อเจ้าบ้านี่ให้มาเป็นแฟนหรอกย่ะ! ถ้าจะให้ฉันง้อให้เจ้านี่ทำอะไรให้นะ ฉันตายซะยังดีกว่า!”
“พูดเหมือนถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นฉันจะเอาเธอรึไง? อย่าหลงตัวเองให้มันมากนักสิ” เสียงทุ้มๆ ของจักรดังขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะรีบสาวเท้าเดินไปยังที่ที่พวกเราเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่อย่างรวดเร็วเป็นการตัดบทสนทนา โดยมีนกกางเขนตัวน้อยบินตามไปติดๆ เหมือนกับรู้ว่าถ้าหากอยู่ต่อต้องฟังเสียงฉันบ่นว่าอีกนานแน่ๆ
“ไปตายที่ไหนก็ไปเลย อีตาบ้า” ฉันตะโกนไล่หลังเจ้าหมอนั่นไป โดยไม่ได้สนใจว่าเจ้าคนที่เดินไปไกลลิบโลกนั่นจะได้ยินหรือเปล่า
”ไปกันต่อเถอะฟ้า เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องมามากพอแล้วนะ” มินท์พูดขึ้นพลางเดินฉับๆ นำฉันไปดื้อๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองด้วยนัยน์ตากลมโต “หรือเธอยังอยากจะกลับไปสานสัมพันธ์กับตานั่นต่อไม่ทราบ?”
ฉันอยากจะย้อนยัยนั่นกลับไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าเกิดว่าย้อนกลับไปแล้วยัยนั่นจะอารมณ์หลุดอีกหรือเปล่า เลยตัดสินใจปิดปากเงียบแล้วเดินตามเธอต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรโต้แย้งเลยสักคำ
เด็กสาวผิวขาวในชุดยูกาตะลายซากุระหยุดเดินเอาโดยไม่บอกไม่กล่าวเมื่อเดินพ้นทางเชื่อมที่กำลังพาเราไปสู่พื้นที่ที่จัดนิทรรศการ แล้วหันกลับมามองจ้องตาฉัน ทำเอาฉันต้องหยุดกึกด้วยความสงสัยว่าสาวห้าวประจำห้องคิดจะทำอะไรต่อไปกันแน่
“ฟ้า... ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วนะ เพราะฉะนั้นเวลาฉันแซว เธอก็เถียงกลับมาเหมือนปกติน่ะแหละ ดีแล้ว” เธอกล่าวขึ้นก่อนที่จะลูบมวยผมของตัวเองเพื่อเช็คว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ “ทำตัวให้มันเป็นธรรมชาติหน่อยเถอะน่า ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะน้อยใจหรอก ฉันไม่เอาเรื่องที่เถียงกับเพื่อนนิดๆ หน่อยๆ มาคิดมากหรอกน่า ไม่ต้องห่วง”
ฉันหยุดนิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินเธอพูด นี่ฉันประเมินเธอผิดไปจริงๆ ความคิดความอ่านของเธอดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่ฉันคิดมากนัก ฉันประเมินเธอผิดไปมากเลยทีเดียว คำพูดของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกผิดจริงๆ
“เธอเองก็อย่ามาคิดมากเพราะคำพูดของฉันเลยน่า” เธอกล่าวต่ออีกเหมือนรู้ใจฉันว่าคิดอะไรอยู่ “ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรไม่ดีกับเธอไป เธอก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ เพราะว่า เพื่อนที่ฉันไว้ใจได้ก็มีแค่เธอเท่านั้นแหละ”
“จ้ะ งั้นฉันจะทำตัวให้เหมือนเดิมแล้วกันนะ ไปต่อกันเถอะ ยัยบ๊อง”
“เอาสิ... ใครถึงพื้นที่ชมรมทีหลัง คนนั้นเลี้ยงข้าว” เด็กสาวหน้าขาวใสกล่าวขึ้นก่อนที่จะเริ่มออกวิ่งนำหน้าฉันไป ฉันก็เลยรีบวิ่งตามเธอไปอย่าเต็มฝีเท้า เรื่องอะไรฉันจะยอมเลี้ยงข้าวกันล่ะ! เห็นน้ำหนักมากกว่าฉันไม่เท่าไรแบบนั้น แต่ยัยนั่นกินจุยิ่งกว่าใครในห้องเสียด้วย!
ในตอนแรกฉันพยายามสุดฤทธิ์ที่จะวิ่งแซงหน้าเธอที่เร็วกว่าฉันให้ได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าความคิดที่เอาชนะเริ่มจะหายไปเมื่อเธอชะลอฝีเท้าลงให้ฉันตามทัน แล้วหันมายิ้มให้ ก่อนที่จะเร่งฝีเท้าไปอีกครั้ง เราทั้งสองคนแหวกฝูงชนที่มาเข้าชมงานไปด้วยกันอย่างเริงร่าราวกับกระต่ายป่าที่กระโดดหยอกล้อเล่นกันไปมาบนท้องทุ่งดอกไม้ ฉันรู้สึกสนุกมากจริงๆ ยังกับว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กประถมและวิ่งเล่นกับเพื่อนอีกครั้ง
แต่จะว่าไปแล้ว ฉันเคยวิ่งเล่นกับเพื่อนตอนสมัยประถมด้วยเหรอเนี่ย? ทำไมฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับฉันกันนะ?
พลั่ก!
โครม!
“อุ๊บ!”
“ว้าย!” ฉันกับยัยมินท์ร้องขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อเราทั้งสองที่วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือดันวิ่งไปชนกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้าจนเราล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นอย่างรุนแรง ฉันพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อลุกขึ้นมาขอโทษคนที่เราวิ่งชนเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะยังเจ็บจนจุกอยู่ จึงไม่สามารถลุกขึ้นมาเองได้เดี๋ยวนั้นเลย ผิดกับยัยมินท์ที่ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นได้อย่างหน้าตาเฉย แถมยังส่งมือมาให้ฉันจับจนประคองตัวเองลุกขึ้นได้อีก
“ขอโทษด้วยนะคะ” เสียงสาวห้าวที่พยายามทำตัวให้ดูน่ารักเพื่อหน้าที่กล่าวขึ้นพลางค้อมศีรษะกับกลุ่มคนแปลกหน้าทั้งห้าคนที่พวกเราชนเมื่อครู่ พวกเขาเป็นนักเรียนชายจากโรงเรียนอื่น แต่ดูท่าทางแล้วดูเหมือนจะอยากเป็นนักเลงหัวไม้มากกว่านักเรียน เพราะดูแล้วตั้งแต่ทรงผมไปจนถึงรองเท้านั้น แทบไม่มีอะไรที่มันน่าจะถูกกฎโรงเรียนของพวกเขาเลยสักอย่าง!
“ไม่เป็นไรหรอกพวกเธอ เราให้อภัยคนน่ารักอยู่แล้ว” เสียงของคนที่ผิวดำที่สุดในห้าคนนั้นกล่าวขึ้นพลางยิ้มโชว์ฟันขาว แล้วส่งสายตาแทะโลมไปยังยัยสาวห้าวที่กำลังทำตัวเป็นสาวน่ารัก ในขณะที่สี่คนที่เหลือก็ร้องเชียร์ขึ้นมาราวกับอยากจะให้เจ้ามืดนั่นจีบยัยมินท์ยังไงยังงั้น!
“ขอบคุณค่ะที่ให้อภัย” ยัยมินท์กล่าวขึ้นมาพลางโค้งให้อีกครั้ง พลางโปรยยิ้มให้ ซึ่งมันดูเข้ากับใบหน้าของเธอมากกว่าตอนทำตัวห้าวซะอีก “แต่พวกฉันต้องขอตัวไปก่อนนะคะ”
เด็กสาวในชุดยูกาตะสีน้ำเงินกล่าวขึ้นพลางหันมาทางฉันแล้วส่งสัญญาณมือให้ฉันเดินตามเธอไป ก่อนที่จะเดินผ่านกลุ่มนักเรียนผิดระเบียบเหล่านั้นไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งฉันเดินผ่านหน้าเจ้านักเรียนผิดระเบียบคนสุดท้ายที่ตัดผมทรงสกินเฮด เจ้าบ้านั่นก็ขยับตัวมาขวางทางฉันเอาไว้เอาดื้อๆ!!!
“ขอโทษนะครับคนสวย” เจ้าหัวสกินเฮดพูดพลางยิ้มให้ “ถ้าไม่รังเกียจ ให้เราไปเที่ยวด้วยได้ไหมอะ?”
“คงไม่ได้ค่ะ ฉันจะไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว” ฉันพูดพลางเดินหลบมันไปทางซ้าย แต่มันก็ก้าวเท้ามาขวางฉันเอาไว้อีก! เจ้าบ้านี่คิดจะทำอะไรกันเนี่ย?!
“ขยันจริงๆ นะครับ ว่าแต่อยู่ชมรมไหนกันล่ะเนี่ย พาพวกผมไปเที่ยวได้ไหมครับ?”
“อ่า...” ฉันใช้ความคิดว่าจะตอบไปตามความจริง รึว่าจะผลักภาระไปให้กับชมรมอื่นดี? แต่ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ ยัยมินท์ก็เดินกลับพอดี
“ขอโทษนะคะ ปล่อยเพื่อนฉันเถอะค่ะ พวกเรากำลังรีบ” เสียงของเด็กสาวหน้าขาวที่กล่าวขึ้นมาทำเอาห้าอันธพาลต้องหันไปมองเธอ แต่ว่าการขอร้องของเธอก็ไม่ได้ลดความพยายามของพวกมันลงเลยสักนิด!
“งั้นพาพวกเราไปเที่ยวชมรมพวกเธอหน่อยสิ พวกเราอยากไปเที่ยวอะ” เจ้าหัวสกินเฮดพูดพลางหันไปหามินท์แทนฉัน ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่ฉันจะใช้โอกาสที่มันละความสนใจเดินหนีไปจากพวกมัน แต่ว่าพอฉันจะพยายามทำอย่างนั้น เจ้าคนที่ดำที่สุดในกลุ่มก็คว้าข้อมือฉันไว้เสียก่อน!
“อย่าเพิ่งหนีไปสิเธอ” อันธพาลผิวหมึกกล่าว “พวกเราแค่อยากรู้จักพวกเธอหน่อยอะ ให้โอกาสหน่อยไม่ได้เหรอ?”
ฉันพยายามจะสะบัดมือให้หลุดจากมือของเจ้าบ้านั่น แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแรงสาวน้อยอย่างฉันไหนเลยจะไปสู้แรงชายหนุ่มได้! ฉันจึงใช้ท่าไม้ตายที่แม่เคยสั่งสอนมาให้ใช้ยามคับขันในทันที!
“ช่วยด้วยค่ะ! มีคนโรคจิตจะลวนลามหนู!!”
คนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจพวกฉันแล้ว แต่ว่าเจ้าบ้านั่นกลับไม่ยอมปล่อยมือจากข้อมือของฉัน แถมยังจับไหล่ฉันแล้วดึงตัวฉันเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ! แถมยังตะโกนอะไรออกมาซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีไว้เหมือนแก้ทางฉันโดยเฉพาะอีกต่างหาก!
“แฟนทะเลาะกัน ชาวบ้านอย่ามายุ่งนะเว้ย!”
