บท
ตั้งค่า

บทที่ 11 ความฝันกับวันวาน

บทที่ 11 ความฝันกับวันวาน

“ใช่แล้วจ้ะ ฉันตั้งใจจะบอกกับเธอว่าแบบนั้น” อรัญญาณีตอบพลางมองมาที่ฉันอย่างพึงพอใจ

“ถ้าแบบนั้นก็พาฉันไปหาเขาเถอะค่ะ! ฉันอยากจะรู้ว่าทุกคนอยู่ที่ไหน ฉันอยากจะพาทุกคนกลับไปให้ได้ ถึงแลกด้วยอะไรฉันก็ยอม!”

“แน่ใจเหรอ?” สาวงามผู้ห่มสไบเขียวกล่าวพลางเอื้อมมือมาจับที่แก้มซ้ายของฉัน “บางทีถ้าเธอไปพบเจ้านางแค่คนเดียว เธอก็อาจจะกลับไปได้โดยปลอดภัย แต่ถ้าเธออยากจะรู้ว่าเพื่อนๆ อยู่ไหนแล้วออกตามหาทีละคน เธออาจจะเจออะไรที่มันอันตรายมากกว่าที่เคยเจอมาก็ได้นะ ไหนจะพวกสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จัก ไหนจะสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย... ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของชีวิตเธอนะ”

“อีกอย่าง ถ้าเธอพยายามฝ่าอันตรายพวกนั้นแทบตาย แล้วมารู้ทีหลังว่าเพื่อนของเธอตายกันหมดแล้ว ไม่เท่ากับการกระทำทั้งหมดของเธอสูญเปล่าหรอกหรือ?”

“แต่มันก็ยังดีกว่ามาเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำนี่คะ!” ฉันตอบกลับไปอย่างหนักแน่น เพราะการที่อรัญญาณีขู่ไม่ให้ฉันกล้าออกไปจากที่นี่ด้วยเรื่องอันตรายสารพัด มันก็ยิ่งทำให้ฉันยิ่งอยากจะออกไปตามหาพวกเพื่อนๆ มากไปกว่าเดิม เพราะไม่รู้ว่าป่านนี้แต่ละคนจะต้องเจออันตรายอะไรในดินแดนที่แสนจะเต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้กันบ้าง!

“ฉันชอบความเด็ดเดี่ยวของเธอนะ” หญิงสาวผิวขาวนวลยิ้มอย่างพึงพอใจ “ฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่เพื่อไปหาคนที่รู้ความเป็นไปของเพื่อนเธอในวันรุ่งขึ้นก็แล้วกันนะ เขาอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เธอจะพบเจ้านางสักเท่าไรนักหรอก”

”แล้วสถานที่ที่ว่ามันคือที่ไหนงั้นเหรอคะ? แล้วเขาเป็นใครกัน?”

“ขวัญนภา” อมนุษย์สาวกล่าวกับฉันด้วยน้ำเสียงที่เหมือนครูตำหนิลูกศิษย์เมื่อทำอะไรผิด “เธอบอกเองว่าเมื่อครู่คือคำถามสุดท้าย และฉันมีธุระ ไม่ว่างจะตอบคำถามเธออีก เพราะฉะนั้นถ้าเธอถามฉันมาอีกคำถามเดียว ฉันจะทำให้เธอเป็นแบบพวกตุ๊กตาดินไปทั้งคืน”

คำพูดของเธอมันทำเอาฉันต้องปิดปากให้สนิทอย่างกะทันหันเลยทีเดียว เพราะไม่อยากจะไปอยู่ในสภาพที่บังคับร่างกายของตัวเองไม่ได้แบบนั้นอีกแล้ว... และความเงียบนั่นมันก็ทำให้สาวงามผู้ห่มสไบเขียวพูดออกมาด้วยความพึงพอใจ

“เอาล่ะจ้ะ กลับไปที่ห้องนอนของเธอก่อนแล้วกันนะ ในนั้นมีเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว ส่วนฉันมีธุระต้องทำต่อที่ห้องของฉันน่ะ” อรัญญาณีกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันสงบปากสงบคำไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เธอจะค่อยๆ เดินหายลับไปในโพรงไม้ที่ตุ๊กตาดินหญิงกลับเข้าไปเมื่อครู่

ฉันเองก็คิดจะแอบตามเธอไปเหมือนกัน แต่เหมือนกับว่าเธอคงไม่อยากให้ฉันไปจุ้นจ้านกับชีวิตเธอเท่าไรนัก โพรงไม้ทั้งหมดในห้องจึงหายไปต่อหน้าต่อตาฉันเอาดื้อๆ! จะเหลือก็เพียงแต่โพรงที่เป็นทางไปที่ห้องนอนชั่วคราวของฉันเท่านั้น

ในเมื่อเหลือทางเลือกให้ฉันแค่สองทาง คือเข้าโพรงนี้กลับไปยังห้องนอน กับแอบหนีเธอไปทางถ้าปากโพรงใหญ่ ฉันคงไม่เลือกทางที่เสี่ยงอันตรายอีกแน่ๆ จึงต้องเดินเข้าไปในโพรงที่เป็นทางไปสู่ห้องนอนแต่โดยดี

ฉันสาวเท้าจนพ้นปากโพรงนั้นไปได้สักระยะหนึ่งก็พบว่ามันเป็นทางเดินเล็กๆ ที่กว้างไม่ถึงสองเมตร แล้วทางเดินนั้นก็สิ้นสุดลงที่ห้องอันกว้างใหญ่ ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเตียงไม้สลักลวดลายสวยงาม ตู้เสื้อผ้าที่มีลายแปลกตา โซฟาหวายที่มีถาดเงินใส่ก้อนข้าววางอยู่บนนั้น หรือกระจกบานใหญ่เท่าตัวคนที่ดูคล้ายกับกระจกในสมัยก่อน บนเพดานห้องมีโคมไฟสีเงินห้อยระย้าอยู่ไม่ต่างจากในส่วนห้องรับแขกเท่าไรนัก

ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหวายอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะคว้าก้อนข้าวในถาดมากัดเข้าไป และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้กินอะไรมานาน หรือเพราะก้อนข้าวนี่รสชาติไม่เหมือนกับที่เคยกินมาจริงๆ ฉันถึงได้รู้สึกว่ามันอร่อยกว่าอะไรที่เคยกินมาทั้งหมดในชีวิต พอกัดมันเข้าไปแค่คำแรก ก็รู้สึกราวกับดวงวิญญาณของฉันจะลอยขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว

ในที่สุดฉันก็กินมันจนหมดถาด แต่ยังไม่ทันทำอะไรกับถาดเงิน มันก็หายไปจากบนโซฟา ถ้าเป็นสมัยก่อนฉันก็คงตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเรื่องราวที่เจอมาทั้งหมดมันก็ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องไม่น่าตกใจไปแล้ว

จะว่าไปแล้วชีวิตของฉันมันก็ช่างน่าแปลกจริงๆ เพราะดันจำเรื่องราวก่อนที่ตัวเองจะอายุสิบสองไม่ได้เลยสักเรื่อง ทำได้แค่เชื่อที่พ่อแม่บอกมาว่าเคยหลงเข้าไปในป่าตอนเที่ยวกัน แล้วถูกพบอีกทีด้วยสภาพที่ยับเยินจนแทบจำไม่ได้ ซ้ำยังความจำเสื่อมจนต้องมานั่งรื้อฟื้นกันใหม่ แถมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็เอาแต่ฝันประหลาดๆ

ฉันหลับตาลงแล้วครุ่นคิดว่าป่านนี้พวกเพื่อนๆ ที่หลงเข้ามายังดินแดนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้คงเป็นการภาวนาให้พวกเขาถูกคนในดินแดนนี้ช่วยเอาไว้แบบตัวเอง จะได้ออกตามหาพวกเขาแล้วพากลับไปที่โลกของเราได้...

ระหว่างที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั่นเอง ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาในห้องนอนของฉันจากทางปากโพรง ฉันจึงรีบเหลียวไปมองอย่างทันที เพราะหวังว่าจะเป็นอรัญญาณีเสร็จธุระแล้วและจะกลับมาคุยกันต่อ

แต่ฉันก็คิดผิดไปถนัด เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาในห้องนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งกายเหมือนกับฉันไม่มีผิด เธอคือหนึ่งในคนที่ถูกเรียกว่าตุ๊กตาดินนั่นเอง

“นายหญิงให้เอาสิ่งนี้มาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่เรียบเฉยไร้ชีวิตชีวาดังออกมาจากปากของหญิงสาวผู้นั้น พลางสองมือของเธอก็ยื่นหม้อสีทองมาให้ฉัน

ในครั้งที่ฉันถูกอรัญญาณีทำให้เหมือนกับว่าเป็นเหมือนคนเหล่านี้ ฉันไม่สามารถสังเกตเธอได้ดีเท่าไรนัก เพราะร่างกายถูกควบคุมอยู่ แต่ว่าในครั้งนี้ฉันมีโอกาสได้มองเธอให้ถนัดตา ฉันจึงพบว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นดูแปลกพอสมควรเลยทีเดียว เนื่องจากดวงตาเรียวเล็กบนใบหน้าสีคล้ำเหมือนดินของเธอนั้นมีแต่ความว่างเปล่าราวกับไม่มีจิตวิญญาณ เส้นผมของเธอดูหยาบกระด้างจนแห้งและฟูเป็นกระเซิงเหมือนๆ กับฉันในตอนนี้ การเคลื่อนไหวของเธอนั้นก็ดูแข็งๆ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรนัก จะว่าไปแล้วเธอดูไม่เหมือนกับใครที่ฉันเคยพบมาก่อนเลยทีเดียว!

“มันใช้ทำอะไรเหรอ? แล้วเธอเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่กับคุณนีล่ะ?” ฉันยิงคำถามออกไปหลังจากพิจารณาดูเธออย่างคร่าวๆและรับหม้อใบนั้นมาเรียบร้อยแล้ว

“นายหญิงให้คุณหนูใช้น้ำในหม้อนี้ล้างหน้าและลูบผมเจ้าค่ะ” เธอตอบกลับเหมือนกับท่องจำจากหนังสือมาไม่มีผิด “ส่วนดิฉันเป็นบ่าวของนายหญิง เป็นหุ่นพยนต์ที่สร้างขึ้นมาจากตุ๊กตาดินเจ้าค่ะ”

“คุณนีสร้างเธอขึ้นมายังไงกันน่ะ? แล้วเธอ..” ฉันถามแต่ว่ายังไม่ทันได้จบประโยค ยัยตุ๊กตาดินนั่นก็พูดขัดขึ้นมาราวกับเครื่องตอบรับอัตโนมัติเสียก่อน

“นายหญิงสั่งมาอีกว่า ห้ามคุณหนูถามอะไรดิฉันอีกนอกจากนี้ มิฉะนั้นนายหญิงจะทำให้คุณหนูมีสภาพเหมือนดิฉันจนกว่าจะพรุ่งนี้เช้าเจ้าค่ะ” ตุ๊กตาดินหญิงพูดจบก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดีฉันเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ฉันอยู่เพียงลำพังคนเดียวในห้อง กับคำถามและความสงสัยว่าพวกตุ๊กตาดินที่อรัญญาณีบอกว่าตัวเองสร้างขึ้นมานั้นใช้ชีวิตกันแบบไหน แล้วถูกสร้างมาด้วยวิธีใด แล้วน้ำในหม้อนี้มันใช้ทำอะไรกันแน่

ฉันวักน้ำในหม้อนั้นมาชโลมไปตามเส้นผมที่แห้งกรอบเบาๆ และฉันก็พบว่าเส้นผมมั้นกลับนุ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ฉันจึงรีบวักน้ำจากในนั้นมาลูบผมต่อในทันที และนั่นมันก็ทำให้เส้นผมกลับมานุ่มขึ้นจนดูเหมือนจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมก่อนที่เรื่องราวพวกนี้จะเกิดขึ้นแล้ว!

เมื่อเห็นว่าเส้นผมกลับมาเป็นปกติ ฉันก็รีบวักน้ำมาล้างใบหน้า เพราะรู้แล้วว่าน้ำในหม้อนี้เป็นของวิเศษแน่ๆ ถึงได้รักษาเส้นผมของฉันให้กลับมาเป็นแบบเดิมได้ และก็หวังว่ามันจะคืนสภาพใบหน้าของฉันให้กลับมาได้เหมือนกัน

ฉันล้างหน้าได้สักพัก หม้อทองใบนั้นก็หายวับไปเหมือนกับถาดเงินที่ใส่ข้าวปั้น เป็นสัญญาณบอกว่าควรจะพอได้แล้ว ฉันจึงรีบกลับไปที่กระจกในทันที เพื่อจะได้มองสภาพของตัวเองในตอนนี้ว่าดีขึ้นมากขนาดไหนแล้ว

เด็กสาวที่แต่งตัวเหมือนกับตุ๊กตาดินหญิง แต่ว่าดูดีกว่าเพราะเส้นผมของเธอที่ควรจะฟูและแห้งเป็นกระเซิง กลับดำขลับและยาวสลวย ถึงแม้ว่ามันจะขาดแหว่งไปบ้างบางก็ตามที และใบหน้าเรียวรูปไข่สีดำเหมือนดินของเธอก็เกลี้ยงเกลาปราศจากสิวฝ้าหรือรอยแผลเป็น… จะว่าไปแล้วถ้าเกิดว่าดั้งเธอไม่หัก ปากของเธอไม่บวมเจ่อ และสีผิวเธอไม่คล้ายดินเหนียวล่ะก็ เด็กสาวในกระจกนั่นก็ไม่น่าจะต่างจากฉันในสภาพปกติสักเท่าไรหรอกนะ

ฉันอยากขอบคุณแม่สาวคนธรรพ์จริงๆ สำหรับการที่ทำให้ฉันกลับมาใกล้เคียงกับสภาพเดิมขึ้นอีกหน่อย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เหมือนเดิมเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรมากมายแบบในตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ทีนี้ฉันก็หมดห่วงเรื่องหน้าตาของตัวเองไปได้ระดับหนึ่งแล้ว

แต่ก่อนที่ฉันจะทันคิดกังวลเรื่องอะไรไปอีกนั้น หูของฉันก็ได้ยินเสียงพิณดีดเป็นเพลงแว่วมาเบา ๆ จากทิศทางไหนก็ไม่อาจทราบได้ มันเป็นเพลงที่ไพเราะมากเหลือเกิน... ท่วงทำนองของมันนุ่มนวลราวกับจะขับกล่อมฉันให้เคลิบเคลิ้มไปตามเสียงดนตรีที่บรรเลง

สองเท้าของฉันก้าวไปที่เตียงนอนแล้วทิ้งร่างลงบนนั้นอย่างแผ่วเบา พลางค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ นี่ถ้าจะบอกว่าเพลงที่ฉันได้ยินอยู่เป็นเพลงกล่อมเด็กล่ะก็ ฉันคงจะเชื่อสนิทใจเลยทีเดียว... ก็เล่นเอาฉันเคลิ้มจนอยากจะนอนขนาดนี้เลยนี่นา...

มันช่างเป็นท่วงทำนองที่คุ้นเคยราวกับว่าฉันเคยได้ฟังเพลงนี้ที่ไหนมาก่อน.. ทั้งที่ในรอบห้าหกปีที่ผ่านมาของฉันนั้นไม่เคยมีความทรงจำว่าได้ฟังเพลงที่เพราะขนาดนี้มาก่อนเลยนี่นา ว่าแต่ฉันเคยได้ยินเพลงนี้ที่ไหนมาก่อนกันนะ?

ท่วงทำนองเพลงพิณนั้นยังคงบรรเลงต่อไปอย่างต่อเนื่อง มันทำให้ในใจของฉันเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย เหมือนกับว่าฉันกำลังกลับไปเป็นเด็กน้อยที่กำลังถูกแม่กล่อมให้นอนหลับ ความรู้สึกนี้มันคล้ายกับตอนที่ฉันโดนลมประหลาดนั่นเมื่อก้าวเข้าเขตหมู่บ้านของเอื้องคำเลยนี่นา… พรุ่งนี้ฉันคงจะต้องถามดูให้รู้เรื่องบ้างแล้วว่าเพราะอะไรกันแน่...

แสงสว่างจากโคมเงินค่อยๆ หรี่ลง ราวกับรู้ว่าตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องอาศัยมัน ถ้าเป็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนฉันอาจจะคิดสงสัยอยากหาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่บทเพลงนั่นทำให้ฉันไม่อยากจะคิดอะไรให้มันหนักสมองแล้ว... สิ่งที่ฉันอยากจะทำในขณะนี้ก็คือปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลายไปกับเสียงดนตรีที่บรรเลง ลืมทุกสิ่งที่เคยเจอมาแล้วจมเข้าสู่ห้วงนิทรา...

แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้หลับสนิทดี ฉันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาฉุดดึงร่างกายของฉันไปยังอีกที่อันไกลแสนไกล แล้วฉันก็พลันออกจากภวังค์แห่งความเคลิบเคลิ้มจากเสียงดนตรีที่อรัญญาณีบรรเลงไปในทันที

ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็พบว่าสถานที่ซึ่งตัวเองอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ห้องนอนในโพรงของอรัญญาณี หากแต่เป็นสถานที่อื่นซึ่งฉันไม่น่าจะอยู่ได้... ร่างกายของฉันก็ไม่ได้อยู่ในอิริยาบถนอนอย่างที่ควรจะเป็น...

ฉันพยายามจะขยับร่างกายให้เป็นไปตามใจคิด แต่ก็เหมือนว่าจะไร้ผล ร่างกายของฉันเคลื่อนไหวไปเองนอกเหนือการควบคุม มันค่อย ๆ ขยับไปมองผ่านหน้าต่างบานเล็ก ลงไปยังบริเวณรอบสนามฟุตบอลที่อยู่เบื้องล่าง และฉันก็ได้เห็นกับสิ่งที่คุ้นตาเหลือเกิน

สนามถูกเปลี่ยนเป็นที่ตั้งของซุ้มจากชมรมต่าง ๆ ที่นำหลายสิ่งจากแต่ละชมรมมาสาธิตให้คนที่เดินผ่านไปมาได้ดูเป็นขวัญตา ก่อนที่จะเชื้อชวนให้พวกเขาไปเยี่ยมชมสิ่งเหล่านั้นกันต่อในพื้นที่ซึ่งชมรมของตนได้จัดเอาไว้

ผู้คนหลากเพศหลากวัยดูพลุกพล่าน ส่วนใหญ่กำลังสนอกสนใจกับเด็กหนุ่มสี่ห้าคนจากชมรมการเต้นที่กำลังเต้นท่าแปลกประหลาดเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมทั้งหลาย ขณะที่ชมรมศิลปะการป้องกันตัวที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็มีคนเยอะไม่แพ้กัน เพราะที่หน้าซุ้มของชมรมพวกเขานั้นก็มีการแสดงการต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณต่าง ๆ ที่ดูแล้วน่าหวาดเสียว

และนั่นก็ทำให้ฉันนึกออกแล้วว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังพบเจออยู่ มันเป็นเรื่องราวเมื่อประมาณหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ซึ่งช่วงนั้นโรงเรียนของฉันมีนิทรรศการวิชาการที่ทุกชมรมจะนำผลงานของตัวเองออกมานำเสนอกันอย่างเต็มที่ โดยจะจัดแบ่งกันเป็นพื้นที่ของชมรมต่างๆ ซึ่งแต่ละชมรมก็จะจัดการพื้นที่ของตนให้สวยงามตามต้องการและนำเสนอของดี ๆ จากชมรมตัวเอง ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในรอบสองปี ส่วนตัวฉันตอนนี้ก็กำลังยืนอยู่หลังเวทีในห้องประชุมประจำโรงเรียน!

ตอนนี้ฉันเริ่มสับสน เพราะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่เคยผ่านมาแล้วแบบนี้ ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังหลับฝันไป หรือมีคนตั้งใจย้อนภาพอดีตให้ฉันเห็นชัด ๆ อีกครั้ง หรือตัวเองถูกส่งย้อนเวลายังอดีตมากันแน่...

“พี่ฟ้าคะ ขอถ่ายรูปคู่หน่อยค่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง ทำเอาฉันต้องออกจากห้วงความคิดทันที แล้วร่างกายของฉันก็หันไปมองเจ้าของเสียง แล้วพบว่าเธอเป็นเด็กสาวผิวเข้มในชุดเสื้อแขนกระบอกและผ้าซิ่น ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิด เธอคงเป็นรุ่นน้องที่แสดงเป็นสาวชาวนาในละครเวทีที่ฉันเล่นในนิทรรศการนั้น และตอนนี้ เธอก็กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเพื่อนของเธออีกคนหนึ่งซึ่งถือกล้องถ่ายรูปมาด้วย

“เดี๋ยวหนูขอบ้างนะคะ พี่ฟ้า” เด็กสาวตากล้องกล่าวขึ้นมาบ้าง

“จ้า... ได้กันทั้งคู่แหละจ้ะ” ปากของฉันขยับตอบกลับไป ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปใกล้ เพื่อถ่ายรูปคู่กับเด็กสาวที่ร่วมงานกันเมื่อครู่

ในตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าตัวเองกำลังเห็นภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในอดีต จึงไม่สามารถควบคุมตัวเอง หรือทำอะไรได้มากไปกว่าเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันจึงทำตัวตามสบายและปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่มันเคยเป็นมา

“เสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวตากล้องกล่าวขึ้นมา หลังจากดูรูปในกล้องดิจิตอลของเธอว่าเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนที่จะยื่นกล้องมาให้ดูภาพนั้น “พี่ฟ้ารู้ไหม? พี่ฟ้าเข้ากับชุดนี้มากเลยค่ะ เหมือนนางในวรรณคดีเลยล่ะค่ะ”

“ขอบคุณที่ชมจ้ะ ปากหวานจังเลยนะเราเนี่ย” ฉันยิ้มรับคำชมจากรุ่นน้อง ก่อนที่จะมองไปที่กล้องดิจิตอลของเด็กสาว

กล้องดิจิตอลนั้นแสดงให้เห็นภาพของสาวน้อยผิวเข้มในเสื้อแขนกระบอก ยืนคู่กับสาวหน้ารูปไข่ นัยน์ตาคม เกล้าผมมวยขึ้นไปเหนือศีรษะ ที่ห่มสไบแพรสีชมพู และประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับต่างๆ ที่ดูแล้วออกมาลงตัวกับเธออย่างมากที่สุด เธอคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากฉันคนนี้นั่นเอง

“จะป๊อปปูลาร์ไปถึงไหนยะ? ยัยนางเอก” เสียงเด็กสาวที่ฟังดูห้าวไม่แพ้ผู้ชายดังขึ้นมาจากทางทางเข้าด้านหลังเวที “เล่นละครเวทีเสร็จแล้วก็รีบเปลี่ยนชุดเร็วเข้าสิ อย่าลืมนะว่านอกจากแสดงละครของชมรมนาฏศิลป์แล้ว เธอยังจะต้องไปทำงานที่พื้นที่ของชมรมญี่ปุ่นหรรษาของห้องเราอีกนะ!”

“จ้า จะรีบเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ” ฉันพูดตอบพลางหันไปมองยัยมินท์ เพื่อนสนิทตั้งแค่มัธยมต้นของฉันที่เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่

“ว่าแต่เธอไม่รีบมากใช่ไหมเนี่ย? เพราะดูท่าทางฉันคงใช้เวลาเปลี่ยนชุดนานหน่อยนะ ก็กิโมโนยาวที่ฉันต้องใส่ มันยุ่งยากกว่ายูกาตะของเธอเยอะเลยนี่”

“รู้ว่าใช้เวลาเปลี่ยนชุดนานแล้วยังจะมัวแต่เหม่ออีก รีบเปลี่ยนชุดเร็วเข้าหน่อยเถอะยัยบ๊องเอ๊ย!” เด็กสาวผิวขาวเกล้าผมมวยพูดด้วยน้ำเสียงขู่แกมบังคับ แถมยังส่งสายตาที่แฝงรังสีอำมหิตมาหาฉันอีก ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอไม่รู้จักทำตัวให้มันน่ารักสมกับหน้าตาและชุดยูกาตะสีน้ำเงินลายดอกซากุระที่ใส่อยู่เสียหน่อยนะ

“แล้วชุดที่จะให้ฉันเปลี่ยนอยูไหนล่ะมินท์?” ฉันถามกลับไป เมื่อเห็นว่ายัยสาวห้าวดูรีบร้อนที่จะให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเร็วที่สุด ทำเอามินท์ต้องหยุดชะงักขึ้นมาทันทีเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้

“ขอโทษทีนะ ฉันลืมเอาไว้ที่พื้นที่ชมรมเราน่ะ”

“ถ้างั้นก็รอนานหน่อยนะจ๊ะ แม่คนรีบ” ฉันเหน็บแนมกลับไป “บังเอิญว่าเสื้อผ้านักเรียนของฉันมันอยู่ที่ห้องนาฏศิลป์น่ะนะ แล้วบังเอิญว่าชุดนี้มันแพงด้วยน่ะนะ ถ้าถอดเก็บไว้ที่พื้นที่ชมรมญี่ปุ่นแล้วเสียหายขึ้นมาเราจะแย่เอาได้นะ”

“ยังไงก็รอฉันหน่อยแล้วกันนะจ๊ะ” ฉันพูดต่อเพราะเห็นว่าตัวเองกำลังได้เปรียบ นานทีปีหนฉันจะได้เปรียบมินท์บ้าง ก็ขอเอาให้คุ้มหน่อยแล้วกัน

“เดี๋ยวฉันจะกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องนาฏศิลป์ก่อน ยังไงก็รอหน่อย แต่ถ้ารอไม่ไหวก็ไปคนเดียวก่อนก็ได้นะ”

“เอ่อ...” ยัยมินท์ชะงักไปหลายวินาทีราวกับกำลังคิดหาทางเถียงให้ชนะ ก่อนที่จะพูดออกมาดังๆ ให้กับนักแสดงทุกคนที่อยู่ด้านหลังเวทีได้ยิน

“ขอโทษนะคะทุกคน คือว่าฟ้ารับหน้าที่ต้องไปต้อนรับคนที่ขึ้นมาชมชมรมญี่ปุ่นหรรษาด้วยน่ะค่ะ แล้วต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พื้นที่ของชมรมของฉัน แต่ว่า... ชุดที่เธอใส่ตอนนี้ ถ้าไปเปลี่ยนที่นั่นอาจจะเสียหายได้ มีใครที่พอมีเสื้อผ้าให้เธอยืมบ้างคะ?” เธอพูดขึ้นมาด้วยเสียงหวานๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนตั้งแต่รู้จักกันมา

“คือจริงๆ แล้วเสื้อผ้าพวกเราอยู่ห้องนาฏศิลป์กันหมดเลยน่ะค่ะ” เสียงของเด็กสาวผิวเข้มที่ถ่ายรูปคู่กันฉันเมื่อครู่กล่าวขึ้นมา “ว่าแต่รีบกันหรือเปล่าคะพี่ฟ้า?”

“อ่า... ก็รีบอยู่น่ะจ้ะ” ฉันตอบไปด้วยความจำใจเพราะรู้ดีว่าถ้าตอบว่าไม่รีบ มีหวังโดนเล่นงานเอาทีหลังแน่ๆ

“งั้นพี่ถอดเครื่องประดับออกแล้วแลกชุดกับหนูเลยค่ะ” เธอกล่าวขึ้นมา “ชุดชาวบ้านของหนูราคาถูกกว่าค่ะ แถมที่ห้องนาฏศิลป์ก็มีอีกหลายสิบชุด ถึงเสียหายขึ้นมาก็ไม่เป็นไรเท่าไรหรอกค่ะ”

“ขอบใจมากนะจ๊ะน้อง” มินท์ชิงพูดตัดหน้าขึ้นมา ก่อนที่จะแอบหันมายิ้มให้ฉันอย่างผู้ชนะ

“ไม่เป็นไรค่ะ ได้ช่วยพี่ฟ้าหนูก็ดีใจแล้วค่ะ” เด็กสาวผิวเข้มกล่าวขึ้นก่อนที่จะยิ้มมาให้ฉันอย่างดีอกดีใจ แต่ใครจะรู้ว่าในใจฉันนั้นไม่ได้อยากจะให้เธอแลกชุดกับฉันเลยสักนิด

.

“จะว่าไป เธอนี่มันใส่ชุดแนวไทยๆ ชุดไหนก็ขึ้นแฮะ ขนาดชุดสาวชาวนายังดูดีเลย” มินท์บอกกับฉัน ขณะที่เราทั้งสองกำลังเดินบนทางเชื่อมของตึกเรียน เพื่อไปที่พื้นที่ของชมรมญี่ปุ่นหรรษา

“บังเอิญคนมันหน้าตาให้ ใส่ชุดอะไรไทยๆ ก็เหมาะหมดแหละ” ฉันตอบเธอกลับไปด้วยความภาคภูมิใจในหน้าตาตัวเอง “เธอเองก็เหมาะกับชุดญี่ปุ่นมากเลยนะเนี่ย ถ้ายิ้มแล้วทำตัวน่ารักหน่อยก็คงน่ารักไม่หยอกเลยนะเนี่ย”

“ไม่ต้องห่วงน่า อยู่ต่อหน้าคนอื่นฉันรู้จักวางตัวอยู่แล้วล่ะ เมื่อกี้ก็เห็นแล้วนี่นา” มินท์ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ

“ก็เห็นอยู่หรอก แต่ในเมื่อเธอเองก็วางตัวดีได้ แล้วทำไมปกติถึงชอบทำตัวห้าว แล้วก็ชอบเหน็บแนม หยาบคาย โวยวายเก่ง แล้วก็...”

“พอๆ ไม่ต้องต่อแล้ว” มินท์ห้ามขึ้นมาก่อนที่ฉันจะพูดต่อ พลางใช้ดวงตากลมโตของเธอมองจับจ้องมาที่ดวงตาของฉันอย่างจริงจัง “เธออยากรู้จริงเหรอ?”

“แหงอยู่แล้วล่ะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วนะ” ฉันตอบกลับไปอย่างจริงจังเช่นกัน “อะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวกับฉันเธอก็รู้ทุกอย่าง แต่ฉันสิ ไม่ค่อยรู้เรื่องของเธอเลย”

“อยากจะรู้ไปทำไม ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกน่า” สาวห้าวพยายามกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะความอยากรู้อยากเห็นของฉันมันพุ่งถึงขีดสุดแล้ว

“แต่เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?” ฉันรบเร้าต่อ และนั่นก็ทำให้มินท์ชะงักไปชั่วขณะในทันที เหมือนกับคำว่าเพื่อน นั้นมันเป็นคำที่กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของเธอ สาวห้าวจึงถอนใจเบาๆ ออกมาครั้งหนึ่ง แล้วมองหน้าฉันพร้อมกับพูดขึ้นมา

“เห็นแก่ที่เราเป็นเพื่อนกัน ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ แต่ถ้าเล่าแล้วห้ามบอกให้ใครฟังนะ” มินท์กำชับ และพอเห็นฉันพยักหน้ารับคำ เธอจึงเริ่มเดินช้าลง และเริ่มเล่าเรื่องออกมาให้ฉันฟัง

“ตั้งแต่เรารู้จักกันมา ฉันเคยไปเที่ยวบ้านเธอตั้งหลายครั้ง แต่ฉันไม่เคยให้เธอไปบ้านฉันเลยสักครั้ง ฉันรู้จักครอบครัวเธอดีพอกับรู้จักครอบครัวตัวเอง แต่เธอคงไม่เคยรู้จักคนในครอบครัวฉันสักคนเลยสินะ”

“ไม่ใช่ว่าฉันรังเกียจหรืออยากทำตัวลึกลับหรอก ความจริงแล้วน่ะ... ฉันกลัวว่าเธอจะรังเกียจ แล้วก็ไม่อยากจะเป็นเพื่อนฉันมากกว่า...”

“ทำไมถึงคิดว่างั้นเหรอ?” ฉันถามเธอด้วยความสงสัย ถ้าฉันไปบ้านเธอแล้วจะรังเกียจเธองั้นเหรอ? นี่เธอพูดเรื่องอะไรออกมาเนี่ย ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเห็นว่าดวงตากลมโตที่เปล่งประกายของเธอเริ่มมีน้ำตาคลออยู่เล็กน้อยเสียแล้ว

“ฉันไม่มีพ่อ... แล้วก็ไม่ค่อยจะถูกกับแม่สักเท่าไรด้วย...”

“เอ่อ... ขอโทษนะ พ่อของเธอไปไหนซะล่ะ? เสียชีวิตแล้ว หรือว่า...” ฉันพยายามถาม แต่มินท์ก็ยกมือห้ามขึ้นเสียก่อน ท่าทางของเธอในตอนนี้มันเหมือนกับฉันไปพูดคำบางคำที่ไม่ควรจะพูดกับเธอเข้าให้แล้ว

“มันจะเป็นจะตายยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ! คนที่ไม่เคยคิดจะเลี้ยงดูฉันเลยสักนิด แค่ไข่ไว้แล้วก็ทิ้งแบบนั้นน่ะ ฉันไม่ถือว่ามันเป็นพ่อหรอก!” มินท์กระแทกเสียง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel