บทนำ ชีวิตของนางเอก (2/2)
“ท่านพี่ ทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ ซือหนิงเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอนัก นางจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงจิ้งจอกได้เช่นไร”
ฮูหยินรองผู้เป็นมารดาได้แต่คัดค้าน นางส่งสายตาร้องขอความเมตตาจากฮูหยินใหญ่ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ท่านพ่อ! ข้า…ข้าไม่มีความทะเยอทะยานเหมือนกับท่านพี่ ข้าไม่อยากเป็นพระสนม...” ดวงหน้าซีดเซียวเงยขึ้นทันที ดวงตาเบิกโพลง ด้วยความไม่เต็มใจ
“มันคือหน้าที่ของบุตรี เจ้าอย่าได้ลืมว่าตัวเองเกิดในตระกูลแมนจูสูงศักดิ์ แม้ว่าพี่สาวของเจ้าจะตายอย่างน่าอัปยศ แต่หากข้าไม่ส่งเจ้าเข้าไปแทน เช่นนั้นตำแหน่งในราชสำนักของข้า จะยังอยู่หรือไม่ เจ้าคิดดูให้ดีเถิด”
ผู้เป็นบิดากล่าวขัด ดวงตาคมกริบจ้องลึก จนหัวใจนางสั่นไหว นางได้แต่เงียบงัน กัดริมฝีปากไม่อาจต้านทาน กระทั่งหยาดน้ำตาที่รื้นบริเวณขอบตายังถูกกลืนกลับไป
“เจ้าเชื่อหรือ…ว่าหย่าหลิงเอ๋อร์พี่สาวของเจ้าจะตายง่าย ๆ เช่นนั้น” เสียงของบิดาต่ำลง แฝงไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“ข้ามิเชื่อ ท่านพี่เย่อหยิ่งออกปานนั้น นางไม่มีวันทำให้ตัวเองต้องตาย แม้ว่านางจะร้ายกาจดั่งคำเล่าลือ แต่ท่านพ่อ ข้า...”
นางส่ายหน้าปฏิเสธ สตรีอย่างน่าหลันหย่าหลิง ไม่มีวันละความพยายาม เป้าหมายของนางคือการเป็นสตรีสูงศักดิ์ข้างกายของจักรพรรดิ แม้จะรู้อยู่เต็มอกแต่นางก็ไม่อยากเข้าวังอยู่ดี
“ซือหนิงเอ๋อร์ แม้เจ้าจะไม่อยากเข้าวัง แต่ชื่อเสียงของพี่สาวเจ้าในยามนี้ฉาวโฉ่อย่างไม่อาจหยุดยั้ง หากเจ้าไม่เป็นผู้กอบกู้ เห็นทีตระกูลน่าหลันคงล่มสลายเสียแล้ว พี่สาวของเจ้าอาจจะรอรับความเป็นธรรมอยู่ในยมโลกก็ได้ ถือว่าข้าขอร้อง...”
ผู้เป็นบิดาลุกขึ้นจากตั่งไม้ และทรุดกายลงต่อหน้าของบุตรีคนรองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความร้องขอ นางหลับตาลงอย่างช้า ๆ หัวใจปวดร้าว ก่อนจะตอบออกไปด้วยความจำใจ
“ท่านพ่อ อย่าทำเช่นนี้ ข้าจะเข้าวัง...”
“ข้าเชื่อว่าหย่าหลิง ไม่ได้ตายเพราะตนเอง เมื่อเจ้าเข้าวังไปแล้ว จงดูและจงฟังให้มาก จำเอาไว้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ส่งยิ้มให้เจ้าจะเป็นคนดี”
“เจ้าค่ะ”
ท่านแม่ทัพน่าหลันลูบฝ่ามือลงบนศีรษะของบุตรีคนรองด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรัก แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ก็จำต้องส่งตัวบุตรีขึ้นเกี้ยวเข้าวังเพื่อหาความเป็นธรรม
บรรดาพระสนมที่อยู่ข้างกายของจักรพรรดิ ล้วนแล้วจะต้องมาจากตระกูลแมนจูสูงศักดิ์โดยชาติกำเนิดทั้งแปดตระกูล เพื่อคานดุลอำนาจในราชสำนัก ไม่ว่าอย่างไรหนึ่งในพระสนมก็จะต้องเป็นสตรีแห่งตระกูลน่าหลัน แม้ว่าฮ่องเต้จะกล้ำกลืนฝืนทนเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธ หากเขาจะส่งตัวบุตรีเข้าวังอีกครั้ง
หลังจากนั้นเพียงสามวัน ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองฝั่งตะวันออกอย่างเชื่องช้า ผู้คนในเมืองต่างจับจ้องและครหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาต่างพูดคุยกันอย่างสนุกปากว่าบุตรีคนโตทำเรื่องน่าอัปยศเพียงนั้น ตระกูลน่าหลันยังจะใจกล้าส่งบุตรีคนรองเข้าวังอีกครา ท่ามกลางข่าวลือที่โหมกระพือราวกับสายลม
ภายในเกี้ยวไม้ทรงสี่เหลี่ยมหลังคาทรงจั่วสีแดงสด ตกแต่งด้วยลวดลายมังกรคู่ของราชวัง และพู่สีแดงเพลิง ด้านในอบร่ำไปด้วยกำยาน ที่หอมฟุ้งจนแทบจะหายใจไม่ออก
น่าหลันซือหนิงนั่งนิ่ง ดวงหน้าขาวซีดถูกแต่งแต้มจนมีสีสัน ซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมผืนบาง สองฝ่ามือประสานแน่น ความหวาดหวั่นค่อย ๆ เกาะกินทีละน้อย ทว่าไม่นาน นางกลับรู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอก และหายใจติดขัด
“แฮ่ก... แฮ่ก…”
มือเรียวบางข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหน้าอก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงลงไปทุกที เหงื่อร้อนมากมายผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าและตามร่างกาย มันเต็มไปด้วยความทรมานราวกับใกล้พบกับความตายเข้าไปเสียทุกที ‘ท่านพ่อ เห็นทีข้าคงทำให้ท่านผิดหวังแล้ว’
สติสุดท้ายนางได้แต่นึกคิดถึงใบหน้าเปี่ยมความหวังของผู้เป็นบิดา ก่อนที่ภาพทุกอย่างเบื้องหน้าจะค่อย ๆ มืดลง และสติดับสิ้นลงไปในท้ายที่สุด...
เสียงเรียกดังขึ้นแว่วในหู
“คุณหนู…คุณหนูเจ้าคะ ถึงพระราชวังแล้ว โปรดออกมาจากเกี้ยวเถอะเจ้าค่ะ”
เฮือก
เสียงเรียกดังแว่วขึ้นในหู ฟู่เหยียนจิ้งลืมตาขึ้นด้วยความรวดเร็ว เห็นทีพักนี้เธอคงทุ่มเทกับการอ่านบทละครมากจนเกินไป ในระหว่างเข้าฉากถึงได้ผล็อยหลับไปเช่นนี้ เมื่อยังอยู่ในระหว่างเข้าฉาก นางเอกอย่างเธอก็ต้องทำให้เต็มที ดวงตาคู่งามหลับลงก่อนจะเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งก่อนจะเข้าสู่บทบาทของนักแสดงสาวตัวแม่ ฝ่ามือเรียวบางค่อย ๆ กรีดกรายพาตัวเองออกมาจากเกี้ยว
ทว่าเมื่อผ้าม่านสีแดงสดถูกเปิดออก ฟู่เหยียนจิ้งกลับชะงักไปเธอแค่หลับไปเพียงชั่วครู่ กองละครกลับเปลี่ยนฉากถ่ายทำได้สมจริงถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ อีกทั้งฉากเบื้องหน้าก็แลดูอลังการเกินกว่าจะบรรยาย
เสาแกะสลักมังกรทองตั้งเรียงรายอย่างวิจิตรงดงาม ขุนนางในชุดทางการยืนเรียงแถว ขันทีและนางในมากมายถือพานรับขบวนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดุจงานพระราชพิธีสำคัญ
“วันนี้ ผู้กำกับเปลี่ยนฉากละครใหม่หรือ สมจริงเหลือเกิน” ฟู่เหยียนจิ้งเอ่ยถามคนข้างกายเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง
แต่คำตอบที่ได้รับคือความเงียบงันและสีหน้าตึงเครียดของทุกคน เธอจึงมองหากล้องหลักเพื่อพูดคุยกับผู้กำกับ แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดที่เธอมองหาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีบท ไม่มีผู้กำกับ ไม่มีเสียงหัวเราะหลังกล้อง
มีเพียงสายตามากมายที่จับจ้องนางราวกับตัวประหลาด ร่างบอบบางเริ่มสั่นสะท้านด้วยความตระหนก เธอจึงโพล่งออกไปเพื่อหวังให้พวกเขาเลิกแกล้ง
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว รีบถ่ายทำกันต่อเร็วเข้า!”