บทที่ 1 สตรีประหลาด (1/2)
ฟู่เหยียนจิ้ง ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยขณะก้าวเท้าลงจากเกี้ยว ในฐานะนางเอกของเรื่องยังคงทำสีหน้าและท่าทางให้อยู่ในบทบาท แต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก ทันทีที่กวาดสายตามองไปโดยรอบตัวด้วยความรีบร้อน เธอพยายามที่จะมองหากล้องถ่ายทำ ผู้กำกับ หรือแม้แต่สตาฟในกองถ่ายที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีผู้คนที่เธอรู้สึกรู้จักมักคุ้นเลยแม้แต่น้อย
รอบกายมีแต่เพียงนางกำนัลในอาภรณ์ของราชวงศ์ชิง ไม่ต่างไปจากฉากการถ่ายทำ หากแต่ลวดลายบนผืนผ้านั้นกลับดูประณีตงดงามราวกับถูกคัดลอกออกมาจากประวัติศาสตร์ คนเหล่านั้นล้วนก้มศีรษะลงต่ำด้วยความนอบน้อม ทุกสายตาจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เสียงซุบซิบจะเริ่มดังขึ้นจากรอบกาย หลังจากที่เธอโพล่งถามออกไป
“นี่หรือบุตรีคนรองของแม่ทัพน่าหลัน ท่าทางประหลาดนัก”
“นางพูดกระไรออกมา ข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย”
“ดูท่าทีของนางสิ พิกลนัก ไม่รู้สตรีแห่งตระกูลน่าหลันจะใช้แผนการใดอีก”
ใบหน้าของฟู่เหยียนจิ้งชาวาบ เธอยืนนิ่งราวกับถูกสาป อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความแข็งเกร็งของร่างกายที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงหัวใจที่เริ่มจะเยียบเย็น
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามืออบอุ่นจะวางบนข้อแขนของเธอ หญิงวัยกลางคนในชุดนางกำนัลชั้นสูงก้มศีรษะลงด้วยความอ่อนน้อม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“คุณหนู…เชิญเจ้าค่ะ ฝ่าบาททรงรออยู่ก่อนแล้ว”
“เดี๋ยว! เดี๋ยวสิ…ฉันขอถามหน่อย ผู้กำกับและนักแสดงคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด” เสียงของฟู่เหยียนจิ้งสั่นเครือ เธอกระซิบถามด้วยดวงตาสั่นไหว
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัยและประหลาดใจ
“คุณหนูล้อเล่นแล้ว ข้ามิเข้าใจในสิ่งที่พระสนมเอ่ยเมื่อครู่ ข้ารู้เพียงว่าเบื้องหน้าคือตำหนักเฉียนชิงเพคะ…วันนี้เป็นวันที่คุณหนูจะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อรับการแต่งตั้งเป็นพระสนม คุณหนูซือหนิงลืมไปหรือเจ้าคะ”
‘ซือหนิง…น่าหลันซือหนิง’ ชื่อที่หญิงผู้นั้นเรียก ทำให้ฟู่เหยียนจิ้งตัวเย็นเฉียบ เพราะนั่นคือชื่อของตัวละครที่เธอรับเล่นในละครย้อนยุคและเป็นฉากที่เธอกำลังถ่ายทำ
“ไม่เอาน่า ออกจากบทละครแล้วบอกฉันก่อน ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้กำกับและคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด” เธอยังคงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ขบขัน
ดวงตาของนางกำนัลนั้นแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังยิ่งขึ้น
“บทละครอันใดกันเจ้าคะ คุณหนูอย่าทำเช่นนี้ ที่แห่งนี้คือวังหลังมันอาจจะเป็นภัยแก่ตัวท่านเอง” ดวงตาของนางกำนัลนั้นแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง น้ำเสียงที่แข็งกร้าวแฝงความตำหนิเอาไว้ในนั้น
ฟู่เหยียนจิ้งรู้สึกคล้ายกับว่าสติจะดับลงในพริบตา ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือนั่งอยู่ในเกี้ยว เพื่อถ่ายทำฉากเดินทางเข้าสู่พระราชวัง
แต่เธอกลับรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้าจนหมดสติไป เมื่อลืมตาขึ้นมาคนรู้จักรอบกายก็หายไปจนสิ้น
“ฉะ…ฉันตายแล้ว...ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างของน่าหลันซือหนิง แต่นั่นเป็นเพียงบทละครมิใช่หรอกรึ”
แม้ความจริงนั้นยากจะยอมรับ แต่เมื่อฟู่เหยียนจิ้งมองทุกอย่างรอบกายอีกครั้งด้วยความถี่ถ้วน กลับพบว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่การจัดฉากการแสดง ไม่ใช่แค่พร็อพประกอบฉาก แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ระหว่างถ่ายทำก็เปลี่ยนไป ชุดฉีผาวทำจากผ้าไหมชั้นดีมีน้ำหนัก ลวดลายการเย็บปักนั้นงดงามวิจิตร อีกทั้งเครื่องประดับที่อยู่บนศีรษะก็หนักอึ้งเสียยิ่งกว่าเดิม
ยามนี้ฟู่เหยียนจิ้งไม่ใช่นักแสดงเจ้าของฉายานางเอกเจ้าน้ำตาอีกต่อไป แต่เธอคือน่าหลันซือหนิง สตรีที่ต้องเข้าวังหลังเป็นสนมของฮ่องเต้เพื่อสืบหาการตายของผู้เป็นพี่สาว แม้ว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ในเมื่อได้เกิดใหม่ในร่างของตัวละครที่เธอรับบทบาท ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป
แต่อย่างน้อย ‘น่าหลันซือหนิง’ ในบทละคร ก็เป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ไม่น้อย เช่นนั้นการใช้ชีวิตในวังหลังของเธอคงไม่มีอะไรน่าห่วง เพียงแค่ต้องปรับตัวก็เท่านั้น เริ่มจากการพูดจาเสียก่อน
“คุณหนูสำรวมกิริยาสักนิดเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าถามท่าน ว่าท่านคือผู้ใดหรือ”
ในเมื่อโลกนี้ไม่มีฟู่เหยียนจิ้ง นางก็จำต้องอยู่ในบทบาทของน่าหลันซือหนิงอย่างไม่อาจเลี่ยง จึงเริ่มการปรับตัวให้คุ้นชินตั้งแต่การพูดจา
“เรียกข้าว่าเฉินหมัวมัว [1] ก็ได้เจ้าค่ะ”