บทที่ 3 แอบดู (1/2)
สายลมปลายวสันตฤดูยังคงพัดเอื่อยเหนือกำแพงหินที่สูงตระหง่านของพระราชวังใหญ่โต แสงแดดยามบ่ายทอดผ่านม่านเมฆโปร่งบางลงมาแตะต้องกับลานหิน ซึ่งยามนี้ปกคลุมด้วยตะไคร่เขียวขจีก่อนที่เสียงฝีเท้าดังจากรองเท้าส้นกระถางกลุ่มหนึ่งดังขึ้นมาจากทางเดินคดเคี้ยวที่ทอดยาวเข้าสู่ในเขตตำหนักรกร้าง ก่อนจะหยุดลงด้านหน้าประตูไม้ที่สีซีดจากกาลเวลา
เฉินหมัวมัวยืนอยู่หน้าประตูนั้น ใบหน้ายับย่นตามวัยปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน ด้านหลังของนางมีนางกำนัลและขันทีจำนวนหนึ่ง นางหันกลับไปด้านหลังแล้วเอ่ยคำสั่ง
“พวกเจ้าฟังให้ดี จากนี้ไป หลัวกุ้ยเหรินคือนายหญิงของพวกเจ้าและตำหนักอีเอินคือสถานที่ที่พวกเจ้าต้องดูแลอย่างสุดความสามารถ เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ หมัวมัว”
“เจ้าค่ะ หมัวมัว”
ขันทีหนุ่มน้อมศีรษะรับคำสั่ง ส่วนสตรีในอาภรณ์สีเขียวอ่อนผู้หนึ่งก็ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม ดวงตาสุกใสฉายแววความเฉลียวฉลาดออกมาชั่วครู่ เห็นทีคงจะเป็นบุตรีของผู้มีชาติตระกูล
“พระสนม นางคือแม่นางหลงอี้ บ่าวรับใช้ของพระสนมเพคะ”
เฉินหมัวมัวผายมือแนะนำสตรีรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทอ่อนน้อมให้แก่นาง สตรีข้างกายหมัวมัวคือกงหนี่ว์ [1] นางกำนัลตระกูลดี ผู้มีหน้าตาใสซื่อ ส่วนวาจาและคำพูดก็เปลี่ยนไปตามสถานะที่นางได้รับการแต่งตั้ง
“หม่อมฉัน หลงอี้เพคะ”
“ตามสบายเถอะ”
น่าหลันซือหนิงโบกมือให้นางกำนัลผู้ดูแลด้วยความเป็นกันเอง นางยังคงยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักเก่าแห่งนี้ ใบหน้าหวานยังคงเรียบนิ่ง ทว่าในแววตากลับฉายความไม่พึงใจอยู่ครึ่งหนึ่ง
สภาพของตำหนักก็ช่างจะขัดกับความเป็นจริงเสียยิ่งนัก ความหมายของตำหนักนั่นคือคุณธรรมและเมตตา แต่ดูจากสภาพแล้วผู้ใดกันจะเชื่อว่าคือความเมตตา ตำหนักใหญ่โตก็จริงอยู่ แต่ดูไปดูมาก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นที่อาศัยของมนุษย์
เถาวัลย์ใหญ่เลื้อยไปมาจนปกคลุมหลังคาและบานประตูราวบันไดผุผังจนไม่อยากจะคิดว่าหากเหยียบย่ำลงไปผิดจังหวะ จะมีจุดจบของชีวิตเป็นเช่นไร อีกทั้งเศษใบไม้ที่แห้งกรังยังคงกองท่วมพื้น
นางได้แต่ปรายตามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“เฉินหมัวมัว ตระกูลข้าร่ำรวยมากหรือไม่” นางเอ่ยถามออกไป หลังจากที่พอจะมองเห็นทางออก
“พระสนม บิดาของพระองค์ส่งสินเดิมมาให้จนนับไม่ถ้วนเพคะ เกรงว่าใช้ไปชั่วชีวิตก็ยังใช้ไม่หมด”
เฉินหมัวมัวลอบยิ้ม หลังจากที่ได้ยินผู้เป็นนายเอ่ยถามทรัพย์สินของตัวเอง ราวกับว่าไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนของท่านแม่ทัพเสียอย่างนั้น
“เช่นนั้นหรือ...ถ้าอย่างนั้นก็ใช้เงินซื้อของมาซ่อมแซมเสียหน่อยเถอะ อ่อ ช่วยซื้อดอกมู่ตานมาปลูกให้เต็มลานที อย่าให้ตำหนักแห่งนี้ดูเหมือนกับคอกหมูอีกต่อไป” นางเอ่ยปากสั่งในทันที เมื่อมีเงินการแก้ปัญหาย่อมเป็นเรื่องง่าย
“หากฝ่าบาทรู้เข้าคงไม่ใช่การดีนะเพคะ...” เฉินหมัวมัวมีท่าทีลังเลอยู่ไม่น้อย
“ข้าไม่ได้ใช้เงินในท้องพระคลังของเขาเสียหน่อย รีบไปจัดการเถอะ” นางโบกมือสื่อความหมายว่าอย่าไปใส่ใจ
คล้อยหลังเฉินหมัวมัว นางก็ถลกแขนเสื้อขึ้นและเดินเข้าไปในตำหนักเก่าด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ขันทีและนางกำนัลต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
บุตรีขุนนางที่ถูกส่งตัวเข้าวังหลังโดยทั่วไป แม้แต่ฝุ่นยังไม่กล้าที่จะสัมผัส แต่น่าหลันซือหนิงผู้นี้กลับหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดเศษใบไม้ด้วยพระองค์เอง แม้ว่านางจะเป็นเพียงกุ้ยเหรินแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระสนมของฝ่าบาท แม้จะไร้แววความโปรดปราน ถึงอย่างไรก็คือเจ้านาย หากพวกเขายังปล่อยให้นางทำทุกอย่างต่อไป เห็นทีแม้แต่ศีรษะก็ไม่อาจรักษาเอาไว้บนบ่าได้แล้ว