บทที่ 3 แอบดู (2/2)
“พระสนมเพคะ...ให้พวกหม่อมฉันทำเถิด!” กงหนี่ว์หลงอี้นางกำนัลชาวธง เอ่ยพลางวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ไม่เป็นอันใด ทำไปด้วยกันจะได้เสร็จเร็วขึ้นอย่างไรเล่า” นางตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แม้ว่าอยู่ในโลกก่อนนางจะเป็นนางเอกอันดับต้น ๆ แต่ก็ยังชอบที่จะทำงานบ้านด้วยตัวเองอยู่ดี
“พะ...เพคะ”
หลังจากนั้นตำหนักที่มืดมนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของนางกำนัลและขันทีที่ดังขึ้น พวกเขาต่างทำความสะอาดกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แม้จะหวาดกลัวในตอนแรกว่านายหญิงผู้นี้อาจจะร้ายกาจเหมือนกับผู้เป็นพี่สาว
ทว่านางกลับจิตใจดี ไม่หยิ่งทระนง ซ้ำยังไม่ถือตัว รอยยิ้มที่หวานหยดของผู้เป็นนายหญิงแห่งตำหนักอีเอินงดงาม ราวกับแต่งแต้มสีสันให้ตำหนักที่ไร้ชีวิตชีวากลับมามีชีวิตอีกครั้ง กลีบดอกมู่ตานที่ถูกนำมาปลูกใหม่พลิ้วไหวเบา ๆ ไปตามสายลม พริบตาเดียวก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งจวน
ทว่า...
ในมุมหนึ่งของกำแพงที่มีร่องรอยแตกร้าว ม่านไม้เถาวัลย์เลื้อยเป็นพุ่มใหญ่เพียงพอที่จะใช้ปกปิดเงาร่างสูงใหญ่เอาไว้ ร่างสูงสง่าหลบเร้นกายซ่อนอยู่ด้านหลังช่องว่างของผนังเก่าคร่ำครึ
ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยเงาไม้ ทว่าสายตาคมคายนั้นยังคงจับจ้องไปยังเรือนร่างบอบบางของสนมคนใหม่ด้วยความแปลกใจ
ดวงตาดำขลับทอประกายความอยากรู้อยากเห็น ใบหน้างดงามยังคงนิ่งสงบ เอาแต่จับจ้องไปยังเบื้องหน้าจนขันทีข้างกายอดไม่ได้ที่จะปรายดวงตามองตาม
“ฝ่าบาท...ดูเหมือนว่ากุ้ยเหรินผู้นี้มีนิสัยต่างจากผู้เป็นพี่สาวอยู่หลายส่วนนะพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งยังดูเฉลียวฉลาดแก้ไขสถานการณ์เบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี”
หลี่กงกงมองเห็นนัยน์ตาที่เปล่งประกายคู่นั้น เขาจึงเอ่ยปากขึ้นเพื่อหวังให้ผู้เป็นฝ่าบาทพระทัยอ่อน
“ข้าให้เจ้าออกความเห็นตั้งแต่เมื่อใดกัน...”
สุรเสียงนั้นเยียบเย็นราวกับก้อนน้ำแข็งที่กัดกินใจเอ่ยขึ้น จนขันทีข้างกายหุบปากเงียบสนิท
ภายใต้เงาไม้ที่ทอดยาวอยู่เบื้องหลังกำแพงตำหนักอีเอิน มีร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีเหลืองอร่าม ยืนนิ่งงันอยู่ภายใต้ต้นหลิว ดวงตาคมกริบยังคงจับจ้องผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสนมอย่างไม่ลดละสายตา นางกำลังก้มลงปัดกวาดเศษใบไม้แห้งบนพื้นตำหนักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้น ในขณะทอดสายตามองน่าหลันซือหนิง นางไม่แสดงความทุกข์ร้อนใด ๆ ออกมาแม้จะถูกแต่งตั้งเป็นเพียง กุ้ยเหริน ที่ด้อยกว่าผู้เป็นพี่สาวอยู่หลายขั้นนัก อีกทั้งนางยังกล้าใช้สินเดิมของตระกูลซื้อข้าวของมากมายมาซ่อมแซมตำหนัก และยิ่งไปกว่านั้นนางยังซื้อดอกมู่ตาน [2] ที่มีราคาแพงหลายตำลึงเงิน มาปลูกให้เต็มตำหนักอย่างไม่รู้จักเจียมตน
“หึ...อวดรวยไม่เข้าเรื่อง ถูกลดขั้นยังไม่รู้จักสำนึก” เขาพึมพำด้วยเสียงเบา แววตาแฝงรอยตำหนิผสมความขบขันจาง ๆ
“ฝ่าบาท นางช่างแตกต่างจากสนมองค์อื่น ๆ ยิ่งนัก” หลี่กงกงยังคงเอ่ยส่งเสริม
“หุบปาก...ไม่อย่างนั้นข้าจะตัดลิ้นเจ้า!”
ฮ่องเต้เจิ้นหยวน ทำทีสะบัดปลายแขนเสื้อทรงเกือกม้าด้วยท่าทางนิ่งสงบ แม้ว่าภายในหัวจะกำลังขบคิดก็ตามที การที่เขาแต่งตั้งให้บุตรีคนรองของตระกูลน่าหลันเป็นเพียงพระสนมชั้นกุ้ยเหริน นั่นก็เพื่อลงโทษให้พวกเขาลดความหยิ่งผยองและโลภมากในอำนาจ
ตำหนักอี้เอินเป็นเพียงตำหนักรกร้างที่ใช้ทดสอบสตรีผู้นั้น ว่านางจะยอมรับในโชคชะตาอย่างสงบ หรือแสดงธาตุแท้เย่อหยิ่งออกมาให้เห็น ว่านางไม่ต่างไปจากพี่สาวจอมร้ายกาจ
แต่สิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อกลับไม่ใช่การร่ำไห้โศกเศร้าเหมือนกับสตรีทั่วไป ที่มักจะหลั่งน้ำตาในยามที่ไม่ได้ดั่งใจ หรือมีสีหน้าไม่พอใจเหมือนสนมอื่น ๆ
น่าหลันซือหนิงกลับยืนหยัดอยู่ท่ามกลางซากเก่า ผุพังของตำหนักด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความทุกข์ แม้กระทั่งมือเปื้อนฝุ่นแต่ใบหน้ากลับยังคงยิ้มออกมาอย่างจริงใจ แต่ก็นั่นแหละ พี่สาวของนางเคยมารยาเช่นไร ผู้เป็นน้องสาวจะต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยหรือ เขาไม่มีทางเชื่อ
“กล้าซ่อมตำหนักด้วยสินเดิมที่บิดาของเจ้าส่งมา...คิดจะสร้างรังทองของตัวเอง แล้วให้ข้าถูกครหาว่าดูแลพระสนมไม่ดีกระนั้นหรือ”
หงเฉินทอดถอนลมหายใจแผ่วเบา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากหยัก ก่อนจะเอ่ยปากสั่งหลี่กงกงให้ถ่ายทอดคำสั่งลงไปในเช้าวันรุ่งขึ้น
“หลี่กงกง ถ่ายทอดคำสั่งของข้าในยามเช้าตรู่ หลัวกุ้ยเหรินอาจหาญใช้สินเดิมต่อเติมตำหนัก เป็นการหมิ่นเกียรติฝ่าบาทแห่งต้าชิง โบยยี่สิบไม้!”
“ฝ่าบาท! โปรดระงับโทสะด้วย ถึงอย่างไรกุ้ยเหรินก็เป็นสตรีตัวเล็ก ๆ โบยยี่สิบไม้นางอาจจะตายได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงรีบค้อมกายลงขอผ่อนปรนโทษให้กับกุ้ยเหริน
“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นเจ้ารับโทษโบยยี่สิบไม้แทนนาง ดีหรือไม่” เขากระตุกยิ้มขึ้น พร้อมกับสายตาที่ดุดัน
“มะ...ไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
“หึ...น่าหลันซือหนิง บาปกรรมของพี่สาว น้องสาวเช่นเจ้าต้องชดใช้ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าพี่สาวของเจ้าชั่วร้ายเพียงใด”
จักรพรรดิหงเฉินเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ใบหน้าคมคายฉายแววความเคร่งขรึมออกมา ก่อนจะหมุนกายจากไปด้วยความเงียบงัน ราวกับสายลมที่พัดผ่านไป
[1] กงหนี่ว์ นางกำนัลรับใช้ภายในวังหลวง คอยทำหน้าที่รับใช้
องค์จักรพรรดิ พระภรรยาต่างๆ และเชื้อพระวงศ์ รวมถึงทำงานจิปาถะต่างๆ ทั้งหมดภายในวัง โดยมีการแบ่งดังนี้คือ นางกำนัลรับใช้ที่เป็นชาวธง
และเป็นธิดาขุนนางหรือมีชาติตระกูลสูง
[2] ดอกมู่ตาน คือดอกโบตั๋น