บทที่ 2 สนมปลายแถว (1/2)
เสียงประโคมกลองดังขึ้น ทำให้บรรดาขุนนางที่อยู่ในอาภรณ์พิธีการและบรรดาสนมที่แข่งขันกันแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราต่างยืดกายหลังตรง เกิดความเงียบสงบภายในห้องโถงใหญ่ เมื่อทุกคนล้วนแล้วแต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่า ฝ่าบาทจะแต่งตั้งสตรีจากตระกูลน่าหลันเป็นพระสนมชั้นใด แต่กระนั้นก็ยังคงไร้เสียงของสตรีที่ควรจะก้าวเท้าออกมาทำความเคารพผู้เป็นจักรพรรดิ
“นางไม่รู้จักมารยาทหรืออย่างไร...”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น ทุกสายตาจ้องมองมาด้วยความขบขัน จนกระทั่งเสียงกระแอมไอของสตรีข้างกายปลุกให้นางตื่นออกจากภวังค์ที่เฉื่อยชา
“คุณหนู ไยไม่เคารพฝ่าบาท”
เฉินหมัวมัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบกระทุ้งศอกเพื่อเตือนให้นางยอบกายลงตามธรรมเนียม น่าหลันซือหนิงได้แต่เม้มริมฝีปาก พลันย่อกายลงด้วยท่าทางงดงาม จนพระสนมบางพระองค์ยังอดชำเลืองชมไม่ได้
“หม่อมฉันน่าหลันซือหนิง ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”
นางไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย ด้วยเพราะนางเป็นนักแสดงมาก่อน จึงรู้ดีว่าควรจะต้องทำกิริยาเช่นไร อีกทั้งยังรู้อยู่แก่ใจว่าพระราชพิธีในวันนี้จัดขึ้นเพื่อประกาศตำแหน่งของนางในวังหลังอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่พี่สาวต่างมารดาของนาง ‘น่าหลันหย่าหลิง’ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสนมชั้นกุ้ยเฟยด้วยชาติกำเนิดของตระกูล ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าบุตรีอีกคนของแม่ทัพน่าหลัน แห่งกองธงเหลืองขอบแดงผู้เกรียงไกร จะต้องได้ตำแหน่งเดียวกับผู้เป็นพี่สาว
หลี่กงกง ขันทีคนสนิทเดินเข้าไปกระซิบกระซาบอยู่ข้างพระพักตร์เมื่อถึงเวลาอันสมควร แม้ว่าจักรพรรดิเจิ้นหยวนจะเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียงสามปีเท่านั้น แต่กลับเป็นที่น่ายำเกรงของขุนนาง ด้วยเพราะความสามารถที่เก่งกาจ ปรีชาชาญฉลาดในทุก ๆ เรื่อง
พระพักตร์เรียบเฉยประดุจแผ่นน้ำแข็งเงยขึ้นปรายมองสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความเรียบเฉย ไม่ปรากฏความยินดี หรือท่าทีรังเกียจออกมาจนไม่อาจคาดเดา เพียงชั่วอึดใจสุรเสียงเยียบเย็นก็พลันเปล่งออกมาอย่างขอไปที
“น่าหลันซือหนิง แต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน [1] ทินนาม ‘หลัว’”
ห้องโถงใหญ่พลันเงียบสงัด ราวกับลมหายใจของทุกคนถูกกลืนหายไปพร้อมกัน ถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินถือว่าหยามเกียรติยังไม่พอ
ทินนาม หลัว ที่ให้ความหมายว่า ร่วง” หรือ “หล่น” ไม่ต่างไปจากการถูกตบหน้า และทำให้ตระกูลน่าหลันต้องอับอาย
ดวงตาของซือหนิงเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ร่างบางลุกขึ้น โดยลืมกิริยางามสง่าของสตรีวังหลังไปเสียสนิท ก่อนจะเอ่ยออกไป
“หลัวกุ้ยเหรินหรือเพคะ ฝ่าบาทหยามเกียรติตระกูลน่าหลันมากเกินไปแล้วกระมัง” น่าหลันซือหนิงจับจ้องพระพักตร์ของฝ่าบาทอย่างไม่เกรงกลัว
เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นรอบทิศเมื่อบุตรีคนรองของแม่ทัพน่าหลันมีท่าทางที่อวดดี แม้แต่เฉินหมัวมัวยังหน้าซีดเผือด รีบฉุดรั้งชายแขนเสื้อของนางลง
ท่านแม่ทัพน่าหลันผู้เป็นบิดา ซึ่งยืนอยู่ถัดจากบัลลังก์มังกรพลันลุกขึ้น สีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน แม้จะยังคงแปลกใจกับท่าทีกล้าหาญของบุตรีคนรองอยู่ไม่น้อย
“ฝ่าบาท...ตระกูลน่าหลันภักดีต่อราชบัลลังก์มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซือหนิงเป็นบุตรีของข้าเช่นเดียวกับหย่าหลิง เหตุใดนางจึงได้รับตำแหน่งต่ำกว่าพี่สาวยิ่งนัก” เสียงของแม่ทัพหนักแน่นและฟังดูแข็งกร้าว
จักรพรรดิเจิ้นหยวนได้แต่ทอดพระเนตรมองตระกูลน่าหลันด้วยความเย็นชา ก่อนจะตรัสขึ้นอย่างไม่ไยดี
“บุตรีคนโตของท่าน...ทำเรื่องงามหน้าไว้เช่นนั้น ข้าแต่งตั้งให้นางเป็นกุ้ยเหรินก็นับว่าปรานีแล้วมิใช่หรือ”
ทุกคนในห้องโถงต่างสงบปากสงบคำลง หลังจากที่สุรเสียงไม่พอพระทัยของฝ่าบาทดังขึ้น ไม่มีผู้ใดคั้นค้านด้วยเพราะรู้ดีว่าชื่อเสียงของพระสนมกุ้ยเฟยตระกูลน่าหลันนั้นฉาวโฉ่เพียงใด ได้แต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินก็นับว่าปรานีแล้ว