บทย่อ
ท่านพ่อที่ไม่เคยบอกรัก คนที่นางหมายมั่นตั้งใจก็ไปแต่งงานกับผู้อื่น สามีก็เหมือนจะรักกับน้องสาว ญาติที่นางมีก็หักหลัง พี่เลี้ยงที่นางไว้ใจก็คือผู้ที่ทำร้ายนาง * * หากมีใครในโลกนี้ที่น่าสงสารที่สุดก็คงจะเป็นนาง . . . เฮ่อฟู่หลิงเพียรพยายามทำทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อที่ในวันข้างหน้านางจะได้แต่งงานกับบุรุษอันดับหนึ่งของแผ่นดิน อย่างเฉาเสวียนอวี้ แต่ไฉนเลยนางกลับได้แต่งงานกับบุรุษพิการเป็นใบ้ ซ้ำยังเป็นเชลยศึกต่างแคว้นที่ถูกจับมาเป็นตัวประกัน ที่ถูกผู้คนทั้งแผ่นดินดูหมิ่นดูแคลน . . . ริมฝีปากของนางขยับไปมา มู่หรงเจียเหอคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ ตอนที่นางถามว่าเหตุใดจึงไม่กิน คนตัวสูงขยับตัวเข้าไปโน้มใบหน้าจุมพิตริมฝีปากอวบอิ่ม อย่างเผลอตัว ขบเม้มสัมผัสรสชาติขนมที่นางเพิ่งจะกินเข้าไป ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขียนอักษรที่หัวไหล่ของนาง ช้า ๆ “กินแล้ว อร่อยมาก” เฮ่อฟู่หลิงรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที ใบหน้าแดงก่ำราวกับดอกมู่ตานที่เพิ่งแย้มบาน นางก้มหน้างุดลงมองชามในมือ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย “ท่าน...” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา มู่หรงเจียเหอยังคงอยู่ใกล้ สายตาของเขาไม่ละจากใบหน้างดงามของนาง เขายกมือขึ้นลูบเม็ดเหงื่อที่ไหลอาบแก้มนุ่มสีแดงระเรื่อ จากนั้นจึงเชยใบหน้างดงามขึ้นมาสบตากัน ปลายนิ้วของเขาร้อนลวกราวกับเปลวเพลิง “ร้อนมาก” เขาเขียนอักษรบนต้นแขนของนาง นางพยักหน้าเล็กน้อย ยกช้อนตักถั่วแดงเย็น ๆ ขึ้นมากินอีกคำ ความหวานและความเย็นช่วยคลายร้อนได้บ้าง แต่ความร้อนอีกรูปแบบหนึ่งกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
1 กังวานดุจกระดิ่ง
เสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารกปนกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้เป็นมารดา ดังระงมไปทั่วทั้งจวนโหว เป็นเช่นอยู่ไม่นาน ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง ภายในเรือนร้อยดอกไม้ มีกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งผสมปนเปกับกลิ่นของธูปหอมไม้จันทน์ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ บรรยากาศภายในห้องคลอดเวลานี้นั้น มืดมนขมุกขมัว ใบหน้างดงามขององค์หญิงอันหนิงที่นอนอยู่บนเตียงนอนขณะนี้นั้นซีดเผือดราวกับกระดาษ เส้นผมสีดำขลับแนบลู่ไปตามกรอบของใบหน้า
“เป็นเพศหญิงเจ้าค่ะ ฮูหยินได้คุณหนู เจ้าค่ะ” เสียงของหมอตำแย เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบงัน
“เช่นนั้นหรือ” ผู้เป็นมารดาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย โชคดีเหลือเกินที่นางเป็นสตรี หากแล้วไม่ถ้านางเกิดมาเป็นบุรุษ คงหนีไม่พ้นการถูกเพ่งเล็งจากราชสำนัก โชคดีแล้วที่นางเกิดมาเป็นสตรี หากเป็นเช่นนี้ น้องชายของนางจะได้คลายความวิตกกังวลที่มีต่อตัวนางเสียที
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง หญิงรับใช้นางหนึ่งเดินไปเปิด
“เป็นบุรุษหรือสตรี”
องค์หญิงอันหนิงได้ยินประโยคนั้นพยายามเงี่ยหูฟังว่าผู้ที่อยู่นอกห้องในเวลานี้เป็นผู้ใดกันแน่
“ทารกเป็นสตรีเจ้าค่ะ ท่านกงกง”
ที่แท้... คนด้านนอกก็เป็นคนของน้องชายนางนี่เอง
“อ้อ... คุณหนูแข็งแรงดีหรือไม่” อีกฝ่ายถามต่อ
“แข็งแรงดีเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ดี ข้าไปล่ะ จะต้องนำเรื่องนี้ไปกราบทูล” กงกงวัยกลางคนถอยหลังกลับไป ประตูห้องคลอดถูกปิดกลับมาอีกครั้ง
แต่บานประตูยังไม่ทันจะปิดได้สนิท ก็ถูกคนที่อยู่ด้านนอกเปิดออกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เงาร่างสีดำทะมึนของบุรุษค่อย ๆ ก้าวเข้ามาผ่านม่านกั้นแต่ละชั้นทีละช้า ๆ
“ท่านโหว” หมอตำแยเอ่ยทักทาย พร้อมกันนั้นยังนำทารกเพศหญิงที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในแพรไหมสีแดง ไปให้ผู้เป็นบิดาชื่นชม
“เป็นหญิงหรือชาย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีดีใจหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา
องค์หญิงอันหนิงหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับความเย็นชาของสามี
“เป็นหญิงเจ้าค่ะ นางเป็นคุณหนู” หมอตำแยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สำหรับนางที่เป็นหมอตำแยแล้ว การที่เด็กทารกยังมีชีวิตอยู่นั้น นับเป็นเรื่องมงคล
“งั้นเหรอ” ผู้เป็นพ่อรับเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนหลับตาอย่างสงบ มาจากอ้อมแขนของหมอตำแย ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ก้าวเดินมานั่งข้างเตียงนอนของภรรยา บ่าวรับใช้เองก็ค่อย ๆ ประคองให้องค์หญิงลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก
“...” อันหนิงมองหน้าสามีของตนเอง
“องค์หญิง... อย่ามองหน้าข้าเช่นนั้นสิ” เฮ่อป๋อเหยียนเหยียดยิ้มเย็นชา
“...” อันหนิงมิได้กล่าวสิ่งใด ได้แต่มองอย่างเงียบสงบ
“ฝ่าบาท... พระราชทานชื่อมาแล้ว หากเป็นบุรุษก็จะให้เป็นอีกชื่อหนึ่ง เมื่อเป็นสตรีก็จะเป็นอีกชื่อหนึ่ง” เฮ่อป๋อเหยียน ยื่นนิ้วมือเข้าไป ในเวลาเดียวกันนั้นเด็กน้อยไร้เดียงสาก็คว้านิ้วเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว “รู้ประสาดีนี่...” ผู้เป็นพ่อเอ่ยชม
“พอได้แล้ว ข้าเหนื่อย ท่านต้องการสิ่งใดก็พูดมา” นางกล่าวเสียวแผ่ว องค์หญิงอันหนิงเหนื่อยเต็มที นางไม่อยากเสียแรงและเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ฟู่หลิง!!” เฮ่อป๋อเหยียนกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้นางใช้ชื่อฟู่หลิง” ผู้เป็นพ่อมองกลับไปที่มารดาของทารก “ความหมายของมันก็คือ... ดังกังวานดุจกระดิ่ง”
องค์หญิงอันหนิงกำมือแน่น นางมิใช่คนโง่ ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริง ของชื่อนี้มันคืออะไร หากมองผิวเผินแล้วคงปีติยินดีที่ได้รับพระราชทานนามอันเป็นมงคล แต่นัยสำคัญของชื่อนี้ในอีกความหมายหนึ่งนั่นก็คือ
‘หมอบกราบและยอมแพ้’ พวกเขาสั่งให้นางจงหมอบกราบและยอมแพ้เสีย อย่าได้คิดกำเริบเสิบสานกระทำการใด ๆ อันเป็นการสั่นคลอนบัลลังก์มังกรโดยเด็ดขาด องค์หญิงอันหนิงน้ำตาซึม
เมื่อสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาของนาง ดูเหมือนว่าสตรีตรงหน้าจะเข้าใจดี บรรยากาศภายในห้องเวลานี้แสนจะอึดอัด หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันแทบจะอยากหยุดลมหายใจเอาไว้ ทั้งที่วันนี้นั้นควรจะเป็นวันที่มีแต่ความยินดีปรีดาแท้ ๆ ไฉนเลยกลายมาเป็นเช่นนี้ได้
“ข้าว่าแล้ว... ว่าท่านต้องรู้”
“ฝากไปบอกน้องชายของข้าด้วยว่า... เป็นพระมหากรุณา” องค์หญิงอันหนิงโค้งตัวเล็กน้อย
“ถ้าเข้าใจ... งั้นก็ดีแล้ว เอาไว้... พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมลูกของเราใหม่” เฮ่อป๋อเหยียนส่งทารกน้อยให้กับหญิงรับใช้คนสนิทของภรรยา
“เจ้าค่ะ ท่านพี่...” อันหนิงฝืนยิ้ม
เพียงเพราะเกรงว่าพี่สาวจะช่วงชิงบัลลังก์มังกรไปจากเขา น้องชายที่นางเคยรักและเอ็นดู ถึงกับค่อย ๆ ทำลายเกียรติของนางอย่างเชื่องช้า ตั้งแต่มอบนางเป็นของกำนัลมีชีวิตให้กับเฮ่อโหวแล้ว ยังตามราวีถึงเด็กน้อยไม่ประสีประสาที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกของนางอีก เหตุใดกันเขาจึงมิเคยเชื่อใจนาง
ภาพของสองพี่น้องวิ่งเล่นสนุกสนาน ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำขององค์หญิงอันหนิง เพราะอะไรกัน เพราะสิ่งใดกัน ทำไมความสัมพันธ์ของพี่น้องจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้
“เสด็จพี่ เสด็จพี่ทั้งเก่งกาจทั้งงดงาม เมื่อวันใดที่กระหม่อมเติบโตขึ้น กระหม่อมจะต้องเก่งกาจแบบพระองค์ให้จงได้” องค์ชายน้อยบอกแก่พระเชษฐภคินีของตนเอง
“เจ้าเองก็เก่งมากเช่นกัน เมื่อเติบโตขึ้นเจ้าจะต้องเหนือกว่าพี่อย่างแน่นอน” องค์หญิงอันหนิงลูบศีรษะของพระอนุชาที่พระองค์รักยิ่ง แม้จะไม่ได้เกิดจากพระมารดา พระองค์เดียวกัน มิได้เป็นพี่น้องร่วมอุทร แต่กระนั้นนางก็รักพระอนุชาผู้นี้ด้วยใจจริง ๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องราวเมื่อวันวาน หยาดอัสสุชลก็ไหลรินออกมาอย่างควบคุมมิได้ นางมิเคยคิดเช่นนั้นจริง ๆ มิเคยคิดแย่งชิงบัลลังก์จากพระอนุชาเลยสักนิด นางก็แค่... อยากเป็น... อยากเป็นพี่สาวของเขาเท่านั้น
“ฮูหยิน” เมื่อวางทารกน้อยลงในเปลแล้ว ชุ่ยเอ๋อจึงรีบเข้ามาปลอบโยนเจ้านายของตนเอง นางติดตามองค์หญิงมาจากในวัง ย่อมรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
“ชุ่ยเอ๋อ ข้าจะทำอย่างไร ข้าจะทำอย่างไรดี ฮึก ฮึก” อันหนิงร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“ฮูหยิน...” ชุ่ยเอ๋อเองก็จนใจเช่นกัน นางเองก็มิรู้ว่าจะปลอบโยนเจ้านายของตนเองเช่นไร จึงทำเพียงแค่โอบกอดเจ้านายเอาไว้เท่านั้น

