ผู้(ผัว)ปกครอง ตอนที่ 4
(Plaifah talk)
หลังจากที่คุณวิลด์ลุกออกไป ฉันก็เห็นเขาถอดถุงยางทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะเดินไปหยิบบุหรี่แล้วจุดสูบ โดยที่เขายืนเปลือยเปล่าอยู่หลังกระจกระเบียงด้านใน มองวิวในยามค่ำคืนของเมืองหลวง
ดูดีเนอะ การใช้ชีวิตของคนรวย
ส่วนฉันตอนนี้รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเลยค่ะ ร่างกายที่บอบช้ำไปทั้งตัวทำให้ยากที่จะประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งได้ แต่ฉันก็ต้องฝืนทำ กลั้นใจพาตัวเองลุกขึ้นมา เพราะจะนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืนไม่ได้
ฉันค่อยๆ เอื้อมมือที่สั่นเทิ้มไปหยิบชุดชั้นในขึ้นมาสวมใส่ อยากจะบอกว่าทุกการขยับเขยื้อนมันช่างทรมานแสนสาหัส และสิ่งที่ทำให้ฉันทรมานใจที่สุดก็คือการเหลือบไปเห็นเดรสที่ถูกฉีกขาดของตัวเองวางอยู่บนพื้นราวกับขยะ
แล้วฉันจะใส่มันกลับบ้านยังไง?
ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ในยามที่หันไปมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหลังให้โดยมีควันขาวคละคลุ้งลอยขึ้นเหนือหัว คือฉันคิดจะขอยืมเสื้อเขาใส่กลับบ้านค่ะ แต่แผ่นหลังกว้างที่แผ่รังสีอัมหิตนั่นทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ แต่พอหันกลับไปมองเศษผ้านั่นแล้ว ฉันก็ต้องตัดสินใจใหม่ ก่อนจะหลับตาทำใจ แล้วหันไปขอร้องเขา
"คะ..คุณวิลด์คะ ฉัน...ขอยืมสะ..เสื้อของคุณหน่อยได้ไหมคะ?"
คุณวิลด์หันเสี้ยวหน้าอันหล่อเหลามามองฉัน เห็นแค่นั้นก็ทำให้ฉันเผลอเก็บแขนเก็บขาลู่ตัวลงจนเหลือตัวนิดเดียว ฉันรู้ว่าเขาใจร้ายและไม่จำเป็นต้องอำนวยความสะดวกให้ฉันทุกอย่าง แต่จะให้ฉันเอาเดรสตัวเดิมมาห่มใส่กลับบ้านมันก็ไม่ได้ไหมคะ แต่นั่นก็สุดแล้วแต่เขาจะตัดสินใจ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในสถานะผู้ขอความช่วยเหลือ ไม่มีสิทธิ์จะอ้างอะไรทั้งนั้น
ร่างสูงที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพอดูดี ทว่าดูกำยำและแข็งแรงมาก หันกลับมามองหน้าฉันด้วยสายตาดุดันแกมรำคาญ ฉันเองก็รีบหันหน้าหนีกลับมาเม้มปากแน่น ไม่ใช่อะไรนะคะ ก็... เอ่อ...เขายังไม่ใส่เสื้อผ้าไง ความเป็นชายที่อ่อนตัวลงแล้วแต่ยังเป็นลำยาวใหญ่มันกระทบกับสายตาฉันค่ะ เขาไม่อายแต่ฉันอายแทน แม้รูปร่างเขาจะเพอร์เฟคตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก็ตามทีเถอะ แต่ฉันไม่ชินไงคะ
พรึบ!
ฉันสะดุ้งเบาๆ ให้กับบางอย่างที่ตกลงมาคลุมหัว ก่อนจะดึงมันลงมาดูจึงพบว่ามันคือเสื้อเชิ๊ตแขนยาวตัวโคลงสีกรม ก็ต้องขอบคุณที่ยังมีความเมตตาแทรกอยู่ในความไร้หัวใจนั้น
"รีบใส่แล้วก็รีบไสหัวไปได้แล้ว! ฉันไม่อยากพูดซ้ำ" เสียงเข้มย้ำเตือนฉันเป็นรอบที่เท่าไหร่ฉันเองก็จำไม่ได้ค่ะ
ฉันรีบสวมเสื้อที่คุณวิลด์ให้มา ก่อนจะเริ่มถัดก้นเขยิบไปทีละนิดจนถึงขอบเตียง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าสะพายข้างที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาคล้องคอ แล้วรีบตวัดขาลงหวังจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
แต่!...
ตุบ!
"โอ๊ยย!!" ฉันทรุดลงกับพื้นทันทีที่เท้าย่ำกับพื้น น้ำตาที่เกือบจะแห้งได้คลอเต็มเบ้าตาอีกครั้งเมื่อความเจ็บร้าวแสนสาหัสเล่นงานที่ร่องสงวนกลางกาย
แล้วฉันต้องไปหาหมอไหมนะ? ดูสภาพตัวเองเหมือนไม่น่ารอดเลยค่ะ
ฉันหันไปมองเจ้าของห้องที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยืนอยู่มุมไหน พอหันไปจึงเห็นว่าเขากำลังใส่ชุดลำลอง ปากก็คาบบุหรี่ติดไฟ จ้องมองฉันด้วยสายตาที่รำคาญสุดๆ ฉันเลยต้องฝืนกลืนน้ำลายพยุงตัวเองขึ้นมา แล้วเดินกะเผลกออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
พอออกมาฉันก็ต้องมายืนงงอยู่กลางห้องโถง ตอนขึ้นขึ้นมากับเขา แล้วตอนลงล่ะ?
ติ๊ง!
ฉันหันขวับไปมองทางเสียงที่ได้ยิน เลยเห็นว่ามีผู้ชายคนนึงออกมาจากลิฟท์อีกตัวที่อยู่ด้านข้าง และฉันจำเขาได้ค่ะ เขาคือคนที่ขับรถพาฉันกับคุณวิลด์เข้ามาในลิฟท์ตัวใหญ่
"พาเธอกลับไปส่ง"
ฉันหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเรียบเย็นที่ดังขึ้นด้านหลัง เป็นคุณวิลด์ที่เพิ่งจะออกมาจากห้องนั้นค่ะ เขาสั่งผู้ชายคนนี้ให้ไปส่งฉันงั้นเหรอ?
ก็ไม่ได้อัมหิตเกินไปอย่างที่คิดนะ
"ครับคุณวิลด์" ชายคนนั้นก้มหัวรับคำสั่งจากเจ้าของเพนเฮาส์ที่ดูท่าว่าจะมีตำแหน่งเป็นเจ้านาย ก่อนที่เขาจะเดินตรงเข้ามาหาฉัน "เชิญครับ"
ฉันมองมือหนาที่ผายไปยังประตูลิฟท์เล็ก ก่อนจะหันไปมองคุณวิลด์อีกครั้ง ซึ่งเขากำลังนั่งไขว่ห้างดื่มเหล้าสลับกับดูดบุหรี่อยู่บนโซฟาตัวหรู ไม่ได้สนใจฉันอีกราวกับฉันเป็นธาตุอากาศ
หวังว่าฉันจะไม่ต้องเจอเขาอีกนะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
"เอ่อพี่คะ...ขอร้องนะคะ กลับไปส่งฉันที่ Smild one PUB เถอะค่ะ" นี่คือประโยคขอร้องครั้งที่เจ็ดของฉันที่ร้องบอกกับคนขับรถหรือลูกน้องของคุณวิลด์
ตั้งแต่เพ้นเฮาส์จนถึงตอนนี้ ตอนที่รถตู้กำลังเลี้ยวเข้าซอยบ้านฉัน ฉันขอร้องคนขับมาตลอดทาง แต่เขาก็ไม่พูดไม่ตอบอะไรฉันเลยค่ะ แถมยังรู้ซอกซอยบ้านฉันเป็นอย่างดี คุณวิลด์ก็คือคุณวิลด์ เพียงเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงที่เรารู้จักกัน เขาสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับฉันได้มากพอสมควร
"ไม่ได้หรอกครับ คุณวิลด์กำชับว่าให้ส่งคุณถึงบ้าน"
กำชับมาอย่างนั้นเหรอ? ตอนไหน แล้วทำไม..
"แต่ว่าฉันต้องไปทำงานต่อนะคะ!" ฉันโกหกออกไป เพราะอยากไปคุยกับพี่อิมเรื่องคุณวิลด์ คือ...ฉันกลัวเขาจะไล่พี่อิมออกจริงๆ ค่ะ ทั้งๆ ที่มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด
"ขอโทษด้วยครับ แต่คุณวิลด์สั่งไว้"
ฉันถอนหายใจทิ้งอีกครั้งเมื่อหมดหนทางที่จะกลับไปที่ร้าน ดึกขนาดนี้ฉันจะหารถที่ไหนออกไป รถเมล์ก็หยุดวิ่งแล้ว แท็กซี่ก็แพงจนตาเหลือก โทรหาพี่อิมก็ไม่รับ สงสัยวันนี้ฉันคงต้องยอมแพ้แล้วจริงๆ ค่ะ
"ถึงแล้วครับ"
"ขอบคุณค่ะ" ฉันรีบก้าวลงจากรถทันทีที่ประตูเลื่อนเปิดอัตโนมัติ แต่ก็นะ... พอเท้าแตะพื้นความเจ็บปวดก็เข้าเล่นงาน เจ็บจนน้ำตาปริ่มเลย
ขณะเดียวกัน ฉันก็ได้ยินเสียงของน้องชายดังแว่วเข้ามา มันเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ตามด้วยเสียงก่นด่าของพ่อฉัน
หรือว่า!
"ต้นน้ำ!!" ฉันรีบวิ่งเข้าบ้านไปดูน้องชายทันทีค่ะ พอเข้ามาก็เห็นว่าพ่อฉันกำลังใช้มือทุบตีและใช้เท้าเตะน้องหลายครั้ง ซึ่งต้นน้ำเองก็ได้แต่นั่งตัวรีบติดตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ใช้แขนบังหมัดของพ่อไว้
"กูบอกให้โทรเรียกมันไง!!"
"พ่อ...หยุดเถอะครับ! ฮึกก...ผมเจ็บ พอได้แล้ว~"
"หยุดนะพ่อ!!" ฉันรีบวิ่งเข้าไปขวางมือขวางเท้าพ่อไว้แล้วผลักเขาจนกระเด็นถอยหลังไปก่อนจะก้มลงไปพยุงน้องชายขึ้นมา ใครจะว่าฉันอกตัญญูก็ช่าง เพราะตั้งแต่ฉันเกิดมาเหมือนเขาจะยังไม่เคยทำอะไรที่ก่อให้เกิดคำว่าบุญคุณกับฉันเลยสักครั้ง ฉันต้องปกป้องตัวเองและน้องชายฉัน ใครจะว่าฉันเลวยังไงก็ตามแต่ใจจะคิดเลยค่ะ
"มาแล้วเหรอนังตัวดี!!" มือหนาหยาบกร้านยกนิ้วที่สั่นเพราะแอลกอฮอล์กำลังวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายชี้หน้าฉัน
ฉันไม่สนใจ หันกลับไปดูต้นน้ำแทน สำรวจใบหน้าขาวนวลน่าทนุถนอม มีรอยฟกช้ำที่ปากและแก้มเล็กน้อย และนั่นทำให้น้ำตาฉันซึมออกมาค่ะ มันเจ็บ...ยิ่งกว่าการที่ฉันถูกคุณวิลด์ทำแบบนั้นบนเตียงซะอีก
"มาแล้วก็เอาเงินมาให้กูสิวะ!! กูจะไปใช้หนี้เขา!!"
"อ๊ะ!!" หัวฉันหงายไปตามมือพ่อที่จิกผมฉันตรงท้ายทอย บางทีฉันก็คิดเหมือนกันนะคะว่าควรเรียกผู้ชายคนนี้ว่าพ่อไหม เพราะเขาไม่เคยทำหน้าที่พ่อเลยสักครั้ง
