บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

อนิลทิตาหยุดรถ หมุนกระจกลง

“จะไปไหนครับ?”

“บ้านมาลัยค่ะ”

“ไม่ไปไกลกว่านั้นนะ?”

“ไม่ค่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือคะ?”

“ทางขาดครับ เลยจากบ้านมาลัยไปราวสองโลไปต่อไม่ได้แล้ว ผมถึงต้องมาตั้งด่านเพื่อแจ้งคนที่จะไปไกลกว่าบ้านมาลัยให้รู้เอาไว้ จะได้ไม่เสียเวลาเลี้ยวรถกลับเป็นระยะทางหลายโล แถวนี้กำลังน้ำท่วมหนักครับ ฝนลงมาก น้ำจากแม่น้ำก็เอ่อสูง แถมน้ำป่าก็มาสมทบเข้าอีก เวลานี้ทางเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกับตำรวจก็กำลังประสานกำลังอพยพชาวบ้านที่อยู่ในเขตเสี่ยงไปไว้ตามที่สูง บ้านมาลัยอาจจะพ้นเพราะเป็นที่สูง คุณว่าจะไปแค่บ้านมาลัยผมก็จะอนุญาตให้ผ่าน ไปไกลกว่านั้นไม่ได้นะครับ อันตราย”

“ไปแค่บ้านมาลัยจริงๆ ค่ะ ดิฉันมางานศพคุณพ่อที่เพิ่งเสีย รับรองว่าไม่ไปไกลกว่าบ้านมาลัยแน่ๆ”

“งั้นคุณก็คงเป็นลูกสาวคนเล็กของคุณอเนกที่มาจากกรุงเทพฯ”

“ใช่แล้วค่ะ คุณตำรวจรู้จักด้วยหรือคะ”

“ผมเคยพบคุณพ่อของคุณสองสามหน ผมเพิ่งย้ายมาประจำที่โพธิ์สุขได้ไม่นานครับ พูดถึงคุ้นเคยผมคุ้นกับคุณณัทธรมากกว่า คุณอัญญดาพี่สาวของคุณผมเจอบ่อยพอๆกับคุณณัทธรเพราะมักจะเข้าเมืองด้วยกัน”

“อ้อ ค่ะ”

อนิลทิตาไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ในเมื่อตัวเธอเองยังไม่เคยพบ ณัทธร มณฑารพ ว่าที่พี่เขยสักครั้งเดียว รู้แต่ว่าเขามีไร่กว้างขวาง เลี้ยงวัวเป็นหลัก ชื่อไร่มณฑาธาร อยู่ห่างบ้านมาลัยออกไปทางภูไพร ประมาณหกกิโลเมตร

“คุณณัทธรเป็นคนดีมากครับ มีน้ำใจกับทุกคน รูปหล่อมากด้วยซี ดูเหมือนพอมีข่าวออกมาว่าจะสละโสดกับพี่สาวคุณ ทำเอาสาวๆ ในจังหวัดนี้อกหักกันเป็นแถบ แต่ก็สมกันดีกับคุณอัญญดา... พี่สาวคุณเป็นผู้หญิงที่สวยมากนะครับ สวยจนผมเองขนาดอายุปูนนี้แล้ว ยังอดตะลึงไม่ได้เมื่อเจอเข้าครั้งแรก”

อนิลทิตาไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ที่มีคนพูดชมความงามของพี่สาว แต่อดแคลงใจไม่ได้ ต่อคำเยินยอถึงความเป็นคนดีมีน้ำใจ เป็นคนหนุ่มที่น่าเอาเป็นตัวอย่าง ฟังว่าเป็นคนเก่ง ฉลาด มีความรู้สูง สมกับชาวไร่ยุคใหม่ของว่าที่พี่เขย

เธอไม่เคยริษยาพี่สาว แม้ว่าอนัญญาจะเป็นหนึ่งเสมอ มีบ้างความอิจฉาเล็กๆ ที่มักจะควบคู่มาพร้อมกับความหงุดหงิด เวลาถูกพี่สาวแย่งเพื่อนชายไปอย่างหน้าตาเฉย

อนิลทิตาฟังคำสรรเสริญเยินยอความสวยของพี่สาว กับความเป็นคนดีของว่าที่พี่เขยอยู่เกือบสองนาทีเต็มๆ จึงสบโอกาสขอบคุณและบอกลา

หลังจากเคลื่อนรถออกจุดที่ถูกเรียกไว้ไม่ถึงสิบนาที รถที่ขับมาดีๆ ก็กระตุกติดๆ กัน จากนั้นเครื่องยนต์ก็ดับสนิท สตาร์ทเครื่องใหม่ก็ไม่ได้ผล เสียงเครื่องยนต์ครางหวือๆ แล้วดับ

ลองอยู่หลายครั้งกระทั่งสายตาเหลือบไปที่เกย์น้ำมัน ก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

น้ำมันหมด!

ความรีบร้อนทำให้ลืมดู ดีที่มาได้ไกล จวนจะถึงบ้านอยู่แล้ว ไม่หมดระหว่างทางช่วงถนนเปลี่ยว

แต่ถึงจะเหลือระยะทางสามกิโลเมตรโดยประมาณจะถึงบ้าน ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี โดยเฉพาะในสภาพอากาศเช่นนี้

อนิลทิตาเรียนรู้ที่จะระงับอารมณ์ และตั้งสติ แทนที่จะกราดเกรี้ยวออกอาการโมโหตีโพยตีพาย โทษนั่นโทษนี่ มองไปข้างหน้า คะเนว่าพอจะเดินฝ่าสายฝนไปถึงบ้านได้หรือไม่

การเดินในระยะทางสามกิโลเมตร ไม่มีปัญหาเลย หากว่าจะไม่มีทั้งลมและฝน ที่ดูเหมือนจะเทหนักยิ่งขึ้น

ฟ้าที่เคยมีเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่วชั้นบรรยากาศ เริ่มมีสายฟ้าแปลบปลาบเป็นระยะ

นั่งชั่งใจอยู่เกือบสิบนาที โดยหวังว่าสายฝนจะค่อยๆ เบาบางลง แต่ก็ไม่เลย

ดูเหมือนว่าท้องฟ้าอึมครึมจะมืดลงไปอีก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พบว่าเพิ่งจะบ่ายสามโมงกับแปดนาทีเท่านั้นเอง แต่บรรยากาศโดยรอบกลับดูโพล้เพล้ประหนึ่งพลบค่ำ

ลองโทรเข้าบ้าน ปรากฏว่าเสียงกริ่งเรียกจนตัดไปเองโดยไม่มีคนรับ กดไปครั้งที่สองผลก็ยังออกมาเช่นเดิม ลองเลื่อนหาเบอร์มือถือของผู้เป็นพี่ ผลที่ได้รับคือให้ฝากข้อความความ

ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินต่อ

ตัดสินใจแน่แล้วก็ปิดโทรศัพท์มือถือ เก็บมิดชิดในช่องเก็บของหน้ารถ ไม่เอาติดตัวไปด้วยเพราะกลัวจะเปียกฝน ล็อกรถเรียบร้อยก็เริ่มออกเดิน

เพียงเจอเข้ากับสายฝนที่ไม่ได้ตกลงมาตรงๆ แต่ถูกลมหอบไปทางโน้นทางนี้ ก็แทบจะเปลี่ยนใจกลับเข้าไปในรถ แต่ความกังวลว่ามารดาจะเป็นห่วง ถ้าเลยเวลาที่บอกเอาไว้มากไปทำให้ต้องก้มหน้าก้มตาเดินต่อ

หลังจากเดินห่างจากรถมาได้ไม่ถึงห้านาที ระยะทางสามกิโลเมตรโดยประมาณ ที่เคยเดินได้สบายๆ กลายเป็นเส้นทางที่ยาวไกล

ความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน คางแทบจรดอก เพื่อซ่อนหน้าไม่ให้เม็ดฝนขนาดเป้งๆ ปะทะจังๆ จึงไม่ทันเห็นลำแสงไฟสีเหลืองซีด ลักษณะเป็นแสงไฟจากหน้ารถ ส่องผ่านม่านสายฝนมาจากด้านหน้า ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ๆ มีเสียงแตรดัง โดยเจ้าสิ่งที่ส่งเสียงเป๊กๆ ลั่นนั้น หยุดลงด้านข้าง ห่างออกไปไม่ถึงสามวา

“อนิลทิตา?”

เสียงจากคนขับกึ่งเรียกกึ่งถาม พอเห็นเธอเฉย เสียงห้าวมีกังวานทุ้มนุ่มน่าฟัง พูดเป็นตะโกนมาอีก

“เธอคืออนิลทิตา ลูกสาวคุณอาดวงทิพย์ใช่ไหม?”

“ใช่”ตอบกลับไปสั้นๆ

“คุณอาดวงทิพย์ให้มาดู เห็นเลยเวลาที่เธอบอกไว้ไปมากเลยเป็นห่วง กลัวจะมีอะไรเกิดขึ้น”

ด้วยความรำคาญที่ต้องตะเบ็งตอบกันไปมา ทั้งที่ก็อยู่ห่างกันไม่มาก อนิลทิตาจึงเป็นฝ่ายเดินข้ามถนนเข้าไปหยุดอยู่ด้านข้างรถโฟร์วิลล์สีบรอนซ์

“นึกยังไงลงจากรถมาเดินตากฝนเล่น”

เสียงถามขึ้นอีก หลังจากมองกราดเธอทั่วตัว คล้ายจะขันสภาพเปียกม่อลอกม่อแลกเป็นลูกหมาตกน้ำของเธอ

“ไม่ได้นึก แล้วก็ไม่ได้คิดจะตากฝนเล่น แค่ตั้งใจจะเดินไปบ้าน”

“ไหนคุณอาว่าลูกสาวขับรถมาเองยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเจอนักจี้เข้ากลางทาง เอ้า... ขึ้นมาก่อน สั่นไปทั้งตัวแล้วเธอน่ะ”

การที่ชายหนุ่มเอ่ยถึงมารดาอย่างรู้จักดี ทำให้อนิลทิตาไม่เกี่ยงงอน รีบเดินอ้อมด้านหลังรถ เพื่อขึ้นนั่งด้านหน้าคู่คนขับ

“รถเป็นอะไร”

คำถามตามมาหลังจากเธอขึ้นนั่งเรียบร้อย

“น้ำมันหมด”

ชายหนุ่มกำลังมองกระจกมองหลัง เพื่อดูว่ามีรถตามมาหรือเปล่า ก่อนจะหักพวงมาลัยวกรถกลับตามเส้นทางที่มาเมื่อเห็นว่าทางโล่ง ได้ยินคำตอบ ก็หันมามองเธอแวบหนึ่งพร้อมกับหัวเราะหึๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel