บทที่ 19 ปีกนก
ภากรปล่อยกระดาษอย่างตกใจ ภาพที่เห็นไม่ใช่ตาฝาดหรือภาพหลอนในสมองแต่เป็นความจริงที่ไม่อยากสัมผัสแม้แต่น้อย แผ่นกระดาษปลิวลอยไปตกบนโต๊ะเหมือนมีคนจับวาง
“กร เห็นรึยัง” เสียงประจวบดังมาจากประตูห้อง ภากรหันขวับ หัวใจเต้นรัว
“ลุงมาดูซิ ใช่ภาพลายเส้นนี่รึเปล่า” เขากลั้นใจ ครู่หนึ่งจึงเรียกประจวบให้มาช่วยยืนยันสิ่งที่เขาเห็น ผู้สูงวัยเดินมาหยุดหน้าโต๊ะ
“ใช่ รูปเหมือนปีกนก คนที่โทร.มาสั่งไว้ให้กรรีบทำ”
จบคำพูดของประจวบภาพรูปปั้นกินรีที่ร้านดอกไม้ผ่านแวบเข้ามาในม่านตา ภากรสะบัดศีรษะแล้วลืมตาเพ่งมองแผ่นกระดาษ
“ให้ผมทำปีกอีกข้างให้เสร็จใช่มั้ย บอกกันดีๆ ก็ได้ทำไมต้องให้ตกใจด้วย”
“ลุงก็บอกดี ๆ นี่ไง” ประจวบหันมาจ้องหน้าหลานชาย
“ผมไม่ได้ว่าลุง ผมเข้าใจคำสั่งแล้วครับ ลุงปิดไฟให้ผมด้วย ผมไปอาบน้ำนอนก่อน พรุ่งนี้จะลุกขึ้นมาทำแต่เช้า”
เขาเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเห็นอะไรอีกแล้ว แค่นี้เขาก็รู้สึกประสาทหลอนจนแทบจะบ้า ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องประหลาดอย่างนี้ด้วย
ทันทีที่ศีรษะถึงหมอนดวงตาสีสนิมหลับลงภาพใบหน้าบูดบึ้งของบุษราคัมก็วาบเข้ามาในสมอง เขาลืมตาขึ้น
“ไปคิดถึงยายบ๊องนั่นทำไมวะ หลับสิวะหลับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วพลิกตัวนอนตะแคงหลับตาอีกครั้งคราวนี้หลับภายใน 5 นาที
ตัวกินรีบินฉวัดเฉวียนเหนือบ้านภากรพร้อมส่งเสียงร้องแหลมลึก มันบินวนสามสี่รอบจึงถลาลงที่สวนหลังบ้านตรงห้องทำงานของเขา มันกางปีกกระพือเบาๆ หน้าต่างกระจกก็เปิดผลัวะออก ดวงตาสีแดงเปล่งประกายวับ แสงสีขาวพุ่งเข้ามายังโต๊ะทำงานแล้วกระจายไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์
ประตูห้องทำงานเปิดออกช้า ๆ ร่างสูงของชายหนุ่มก้าวเข้ามาหยุดยืนกลางห้องครู่หนึ่งจึงเดินช้า ๆ ไปนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ดวงตาแข็งทื่อราวกับถูกมนต์สะกดจ้องนิ่งที่หน้าจอสี่เหลี่ยม
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้า ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากคำสาปของมัน เจ้าทำได้หรือไม่”
กินรีปรากฏในจอคอมฯ ปากขยับขึ้นลง เสียงดังออกมาชัดเจน ภากรก้มศีรษะเล็กน้อย
“จะให้ผมช่วยยังไง” เขาถามดวงตายังคงจับอยู่ที่ตัวกินรี
“ช่วยแกะสลักปีกซ้ายให้เสร็จ วิญญาณข้าจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที ข้าทุกข์ทรมานมานานมากแล้ว เจ้ากับนางเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้”
“นาง..นางไหน”
“เจ้าจะรู้ด้วยตัวของเจ้าเอง เจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่”
“ผมจะช่วย” เขารับปากโดยไม่มีรีรอ
“เจ้ารับปากกับข้าแล้วนะ”
สิ้นเสียงร่างของกินรีก็หายวับไปจากจอ แสงสีขาวสว่างจ้าเข้าดวงตาจนเจ้าตัวยกมือขึ้นป้อง แขนสองข้างไขว้กันแตะที่หน้าผาก เนื้อเย็นเฉียบจนภากรสะดุ้ง ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อะไรวะ ฝันอีกแล้วเหรอวะ” เขาถอนใจเฮือกเพ่งสายตามองเพดานครู่หนึ่งจึงเอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียง
“คิดมากจนเอาไปฝันเลยเหรอวะเรา” เขาหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ
นาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียงบอกเวลาที่เขาไม่พอใจนัก เขาต้องตื่นตีห้าหรือนี่ ความง่วงหายไปจนหมดเมื่อคิดถึงคำพูดของพนักงานสาว
“เป็นเจ้าของร้านหัดตื่นสายคงเจริญหรอกนะ” เสียงสดใสของบุษราคัมเหมือนกับจิกให้ภากรต้องเดินไปเปิดไฟดวงใหญ่กลางห้อง
“ยายบ้าเอ๊ย จะมาเป็นลูกน้องหรือเจ้านายฉันกันแน่ ไอ้ดา แกหาคนที่มันยอมๆ ฟังเจ้านายมาให้ฉันไม่ได้รึไง”
เขาบ่นเพื่อนอย่างหงุดหงิด เดินไปที่ประตูห้องเปิดออกแล้วก้าวออกไป ทองสุขกำลังเตรียมอาหารเช้าใส่บาตรเช่นทุกวัน หลานชายเดินไปหยุดยืนมองอยู่ข้างหลังเงียบ ๆ แกหันมาเห็นถึงกับเลิกคิ้ว
“คุณพระคุณเจ้าโปรดช่วยลูกด้วยเถอะ ลูกฝันไปหรือเปล่าเนี่ย” หล่อนยกมือกุมหน้าอก
“ไม่ตลกแต่เช้านะคุณป้า ตอนนี้หงุดหงิดอยากได้กาแฟรสเข้ม ๆ รีบจัดมา เอาไปที่ห้องทำงาน อย่างด่วนด้วยนะถ้าช้ามีโกรธ ไปอาบน้ำก่อน”
เขาพูดห้วนอย่างเคยแต่ในความห้วนนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพในตัวญาติผู้ใหญ่คนนี้ ทองสุขค้อนขวับ ภากรหัวเราะแล้วหมุนตัวเดินกลับขึ้นชั้นบน
ทองสุขวางแก้วกาแฟบนจานรองแก้วตามด้วยแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะแล้วถอยออกแต่หางตาไปเห็นภาพในแผ่นกระดาษจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
“สวยจริงๆ ใครวาดเนี่ย ตากรรึเปล่า”
“บ่นอะไรครับ”
“กรวาดรูปนี้เหรอสวยมากลูก ทำไมมีแค่ปีกล่ะไม่มีตัวมันเหรอ ปีกนกอะไรเนี่ย”
“กินรี”
