บทที่ 18 ฝ่ายทะเบียน
ภากรแอบยิ้มพอใจกับการชนะครั้งนี้ เขาขับรถเลยร้านอาหารที่เพิ่งทานเสร็จไปอีก 3 ซอยจึงเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ตรงไปเกือบสุดซอยเลี้ยวซ้ายอีกครั้งตามคำบอกทางของคนเจ็บ ตรงเข้าไปอีกสุดซอยจึงจอดหน้าประตูรั้วปีกไม้ รั้วบ้านเป็นปีกเช่นเดียวกับประตู เขาเลื่อนกระจกลงเพ่งมองเข้าไปในรั้วบ้าน ต้นไม้ร่มครึ้มมองแทบไม่เห็นตัวบ้าน
“อยู่กันกี่คน” เขาถามก่อนบุษราคัมจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ
“สี่คน” หล่อนหันมามองหน้าเขาพร้อมคำตอบแบบไม่เต็มใจ
“พ่อ แม่ ตัวเธอแล้วใครอีกน้องหรือพี่”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไมไม่ทราบรึว่านี่เป็นแบบสอบถามพนักงาน”
“จะว่ายังงั้นก็ได้นะ” เขาเลิกคิ้วสูงขณะจ้องตากลมโตของหล่อน
“ลุง ป้า แม่แล้วก็ฉัน พ่อฉันตายไปนานแล้ว พี่น้องไม่มี ทีนี้ฉันเข้าบ้านได้รึยัง”
“ไปทำงานยังไง เดินออกไปปากซอยเหรอ ไกลเหมือนกันนะ”
“ติดรถลุงไปลงปากซอย นั่งมอเตอร์ไซค์ไป จะถามอะไรอีกก็รีบ ๆ ถามฉันจะได้เข้าบ้าน อ้อ.ค่ายาเดี๋ยวพรุ่งนี้คืนให้”
“ไม่ต้อง ฉันรักษาลูกน้องฉันได้ทุกคน เชิญ”
เขาผายมือให้หล่อนลงจากรถ หล่อนขยับปากขมุบขมิบยื่นหน้าย่นจมูกทำนองล้อเลียนเขา กิริยาของหล่อนไม่ได้พ้นสายตาของเขา จึงอดอมยิ้มไม่ได้
“พรุ่งนี้ไปทำงานแต่เช้า อย่าให้ต้องโทร.ตามล่ะถ้าไปไม่ไหวโทร.บอกฉัน ฉันจะมารับ”
“ก่อนจะสั่งคนอื่นหัดสั่งตัวเองก่อนดีมั้ยคะ เจ้าของร้านที่ดีไม่เข้าร้านเกือบเที่ยงหรอก”
หล่อนปิดประตูอย่างแรงแล้วเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปข้างใน ไม่หันมามองเจ้านายหนุ่มที่จ้องตาขุ่นตามร่างสูงเพรียวของหล่อนแม้วินาทีเดียว
“ปากจัดยังกับกรรไกร ไอ้ดามันส่งครูสอนพูดหรือสอนจัดดอกไม้มาให้ฉันวะ”
ชายหนุ่มขับรถออกจากหน้าบ้านหญิงสาว บ่ายนี้เขาวุ่นอยู่ในร้านดอกไม้ได้อย่างไร ปกติเขาอยู่กับดอกไม้ได้ไม่ถึงชั่วโมงก็เดินหนีภูสุดาแล้วแต่วันนี้เขาลืมเรื่องอื่นไปเลยและครู่เดียวภาพบุษราคัมล้มกลิ้งลงกับพื้นก็ผ่านวาบเข้ามาในสมอง
“เธอไม่ได้สะดุดขาตัวเองล้มแต่มีบางอย่างทำให้เธอล้ม ทำไมต้องให้เราเห็นด้วยวะ ประสาทจะกินแล้วนะโว้ย”
เขาเร่งความเร็วเมื่อถนนข้างหน้าว่างจากรถและถึงบ้านในไม่กี่นาที ทองสุขเตรียมอาหารมื้อค่ำเก้อเพราะหลานชายโบกมือให้แล้วว่า
“กินมาจากข้างนอกแล้วครับ ป้ากับลุงกินกันเถอะ ผมจะอาบน้ำนอนแล้ว เหนื่อยชะมัด”
“เหนื่อยอะไรนักหนา เข้าไปคุยกับลูกค้าอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ไปฝึกงานซะหน่อยทำบ่น”
“ไม่รู้อะไรแล้วหยุดพูดไปเลยดีกว่า ก่อนที่จะโมโหมากกว่านี้เข้าใจมั้ยครับคุณป้า”
ภากรเดินตรงเข้ามากอดคนพูดแล้วจี้เอวจนทองสุขร้องลั่น ประจวบหัวเราะป้าหลานแล้วพูดขึ้น
“กร เพื่อนส่งแฟกซ์มาให้ลุงวางไว้บนโต๊ะทำงาน”
“ใครส่งมาครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันบอกแค่ให้กรทำตามที่สั่งมา ให้เร่งด่วนด้วยพรุ่งนี้จะมาเอาที่บ้าน ยังไงก็โทร.ถามดูนะ”
ภากรนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงเดินเร็ว ๆ ไปที่ห้องทำงาน ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนสั่งงานผ่านแฟกซ์สักคน ถ้าไม่โทรศัพท์มาเรียกตัวไปช่วยก็เอางานมาให้ถึงบ้านแต่ที่ประจวบบอกนอกจากส่งแฟกซ์แล้วยังไม่บอกชื่อว่าเป็นใคร
ประตูห้องทำงานเปิดออก ไฟในห้องสว่างจ้าอยู่ก่อนแล้ว ภากรเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน กระดาษสีขาววางอยู่บนโต๊ะมีไม้สำหรับทับหนังสือทับอยู่ เขาเอื้อมมือหยิบกระดาษฉับพลันนั้นไฟดวงใหญ่กลางห้องก็ดับพรึบลง
ภากรยืนนิ่ง มือที่ถือแผ่นกระดาษสั่นเล็กน้อย จะเกิดอะไรกับเขาอีกหรือ แค่กลางวันกับเมื่อวานยังไม่พอหรืออย่างไร กินรีตัวนั้นต้องการให้เขาทำอะไร ความคิดหยุดลงพร้อมกับไฟสว่างพรึบขึ้น
เขาเงยหน้ามองหลอดไฟดวงกลมกลางห้องแล้วก้มลงมองตัวหนังสือในแผ่นกระดาษสีขาวแต่ในนั้นไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว มีเพียงภาพลายเส้นลากตัดกันไปมาเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
“ใครมันบ้าส่งเด็กขีดกระดาษเล่นมาวะ ประสาท” เขาโยนกระดาษลงบนโต๊ะแล้วหันกลับจะเดินออกจากห้องแต่เพียงก้าวเท้าก้าวเดียวแผ่นกระดาษก็ปลิวหวือขึ้นจากโต๊ะปะทะท้ายทอยเขาอย่างจัง
“พรึบ”
“อะไรวะ” เขายกมือขึ้นจับที่ต้นคอแผ่นกระดาษแปะอยู่ตรงนั้น
“ปลิวขึ้นมาได้ยังไงวะ”
เขาจับกระดาษมาตรงหน้าจ้องตาไม่กะพริบ ฉับพลันนั้นภาพที่เป็นลายเส้นก็ขยับเขยื้อนเลื่อนได้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต ครู่เดียวลายเส้นก็กลายเป็นภาพปีกนก
“เฮ้ย!”
