บทที่ 20 ล้อเล่น
“กินรี?” สาวใหญ่ขมวดคิ้วพลางจ้องมองรูปภาพบนกระดาษแล้วหันมาที่หน้าหลานชาย
“ตัวมันอยู่ไหนล่ะป้าอยากเห็น”
“อยู่ที่ร้านดอกไม้ ไปดูมั้ย เดี๋ยวไปพร้อมผม”
“อย่ามาล้อเล่นนะยะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นนะจะบอกให้” หล่อนค้อนให้หลานอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป ทองสุขไม่เชื่อที่ภากรพูด เขาถอนใจแล้วว่า
“ให้ไปดูของจริงก็หาว่าล้อเล่น”
เขาทรุดนั่งบนเก้าอี้ประจำ เอื้อมไปยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มนิดหนึ่งแล้วหยิบแผ่นกระดาษที่ป้าทองสุขบอกว่าวาดได้สวยมากขึ้นมามองอย่างพิจารณา ลายเส้นที่เห็นเมื่อคืนเปลี่ยนไป เน้นหนักมากขึ้นจนเห็นลายชัด เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
“จะให้ผมช่วยจริง ๆ เหรอ เล่นเน้นซะขนาดนี้ เมื่อคืนไม่ใช่ความฝันธรรมดาล่ะสิ”
“เพล้ง!”
ภากรหันขวับไปที่หน้าต่างต้นเสียง เอาอีกแล้วเหมือนวันก่อน ที่สวนมีแมวข้างบ้านมาทำกระถางต้นไม้หล่นแตกอีกแล้ว เขาคิดอย่างนั้นแต่ความจริงไม่ใช่ มันไม่มีอะไรนอกจากสิ่งเร้นลับต้องการสื่อให้เขาเข้าใจว่าคำพูดของเขาถูกต้องและเขาต้องทำตามความฝันประหลาดนั่น
“ตกลง ผมจะหาช่างมาแกะปีกให้เสร็จ ขออย่างเดียวอย่ามาทำให้ผมกลัวเพราะผมไม่กลัวแต่โรคประสาทกำลังจะรับประทานผมแล้ว อย่าให้ผมเห็นอีก”
เขาถอนใจอีกเฮือกแล้วเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดแฟ้มงานที่ทำค้างไว้หลายชิ้น เลือกงานด่วนออกมา สมาธิทั้งหมดอยู่กับงานจนเกือบ 8 โมงเช้าทองสุขจึงเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
“กินข้าวได้แล้วลูก เดี๋ยวมีคนโทร.มาตามอีกหรอก”
“ก็ลองโทร.ตามดูสิ คราวนี้ผมไล่ออกแน่”
“กล้าเหรอ”
“อ้าวป้า ทำไมพูดยังงี้ ผมเป็นเจ้านายนะครับ ผมกล้าอยู่แล้ว”
“เจ้านาย เจ้านายใคร ไม่ใช่เจ้านายป้ากับตาจวบใช่มั้ย” ทองสุขถามงง ๆ
“เจ้านายเด็กที่ร้านดอกไม้ ตอนนี้ไอ้ดามันขายร้านให้ผมทำต่อ คนที่โทร.มาตามผมเป็นพนักงานใหม่ เป็นโรคประสาทอ่อน ๆ”
เขาบอกป้าออกไปแล้วอดยิ้มขำไม่ได้ ถ้าเจ้าหล่อนได้ยินคงว้ากใส่เขาแล้วแวบหนึ่งอดแปลกใจไม่ได้ว่าเขาคิดถึงบุษราคัมทั้งยามหลับยามตื่นได้อย่างไร ความรู้สึกลึก ๆ เหมือนคุ้นเคยกับหล่อนมาก เหมือนรู้จักเป็นอย่างดีทั้งที่เขาเพิ่งเห็นหน้าหล่อนครั้งแรกเมื่อวานนี้เท่านั้น
“จริงเหรอ ทำไมรับมาทำงานล่ะไม่กลัวอาละวาดลูกค้าเหรอ ป้าว่าให้ออกไว้ก่อนดีมั้ย”
ทองสุขเชื่อที่หลานชายพูด ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะแล้วโบกมือไปมา
“ผมพูดเล่น เขาไม่ได้เป็นอะไรหรอกแค่อยากให้เจ้าของเข้าร้านเช้าหน่อยแค่นั้นเองป้า”
“ถ้ายังงั้นก็รีบกินข้าวรีบไปหอบงานไปทำที่นั่นด้วยป้าว่าดีไม่ใช่น้อยเชียวแหละ”
“รู้ไปหมดนะคุณนายทองสุข” เขาว่าให้ป้าแล้วเดินตามออกจากห้อง
เบญจวรรณมาช้ากว่าบุษราคัมเกือบ 10 นาที หญิงสาวจึงนั่งรออยู่หน้าร้าน หล่อนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หล่อนหกล้มได้อย่างไร ปกติหล่อนไม่เคยเดินขัดขาตัวเองสักครั้งหรือว่าเมื่อคืนหล่อนโกรธเจ้านายมากเกินไปจึงเดินเร็วสลับขาไม่ทัน
“รอนานมั้ยบุษ” เบญจวรรณลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างร้องถามเพื่อนร่วมงานคนใหม่
“ไม่นาน” บุษราคัมลุกขึ้นยืน
“แขนหายดีรึยัง” เบญจวรรณมองที่แขนเพื่อน
“หายแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันงั้นแหละเบญ ฉันล้มได้ยังไง”
“นี่แหละที่ฉันจะถามแกว่าล้มได้ยังไง โกรธคุณกรจนเดินขาขวิดเชียวเหรอ ปกติคนอายเท่านั้นนี่ถึงเดินขาพันกันหรือว่าแกอายคุณกร”
“ฉันเนี่ยนะอายอีตานั่น ฝันไปเถอะเบญ ถ้าให้ฉันโกรธจนอยากชกปากละก็ถูกที่สุด”
หล่อนช่วยเบญจวรรณเลื่อนประตูม้วนขึ้นด้านบนและรับกุญแจจากเบญจวรรณไขกุญแจประตูกระจกเอง มือเรียวผลักบานประตูเข้าด้านในก้าวยาว ๆ เข้าไปแล้วชะงักนิดหนึ่ง เบญจวรรณเดินตามเข้ามา
“หยุดทำไม มีอะไร”
“แกดูนั่นสิ เมื่อวานหุ่นไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่หว่า” บุษราคัมชี้มือไปที่หุ่นหินทรายรูปกินรี
หุ่นเลื่อนมาอยู่ข้างทางเข้าได้อย่างไร หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ แจกันดอกไม้ กระถาง วางอยู่ที่เดิม ทุกอย่างวางเรียบร้อยไม่มีของชิ้นไหนล้มกลิ้งระเกะระกะ บุษราคัมก้าวเร็ว ๆไปที่ตู้เย็นแช่ดอกไม้สด สายตาสำรวจดอกไม้ในตู้ ไม่มีดอกไม้ช่อไหนหายสักช่อ หล่อนหมุนรอบตัวแล้วหยุดยืนนิ่ง
“เบญ ขโมยเข้าร้านเหรอวะ” หล่อนถามเพื่อนเสียงเบา
“ไม่หรอกบุษ ไม่เห็นมีอะไรหายนี่” เบญจวรรณตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก
“ข้างล่างไม่มีอะไรหายแล้วข้างบนล่ะ” บุษราคัมชี้มือขึ้นชั้นบน ตามองไปที่บันได เบญจวรรณมองตาม
“คงไม่มีอะไรมั้งบุษ”
“ขึ้นไปดู”
บุษราคัมไม่พูดเพียงอย่างเดียวหล่อนเดินตรงไปที่บันไดแต่ยังไม่ทันก้าวขึ้นขั้นแรกประตูร้านก็ถูกผลักเข้ามา เบญจวรรณเหลียวไปมอง
“คุณกร” หล่อนเรียกอย่างยินดีที่เห็นเจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาในร้าน
“มีอะไรเหรอเบญหน้าตื่นเชียว อ้าว แล้วนี่ใครย้ายหุ่นมาไว้นี่ ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน ฉันเป็นเจ้าของร้านหรือพวกเธอกันแน่”
เขาว่าทันทีที่เห็นหุ่นแกะสลักย้ายที่มาอยู่ข้างทางเข้า สายตาคมปราบจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งของพนักงานสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างบันไดขึ้นชั้นบน เขาเข้าใจว่าบุษราคัมเป็นคนเคลื่อนย้ายหุ่น ใบหน้าของเขาจึงบึ้งตึงขณะจ้องนิ่งที่หน้านวลของหล่อน
“มาถึงก็ด่า ๆ หัดมีเหตุผลหัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะคะคุณเจ้านาย ไม่ใช่มาถึงก็กล่าวหากันยังงี้” บุษราคัมไม่ยอมให้สายตาคมปราบที่จ้องมาตำหนิหล่อนเพียงข้างเดียว
“แล้วใครสั่งให้เธอย้ายหุ่นมาตั้งตรงนี้”
“แล้วใครบอกคุณว่าฉันเป็นคนย้าย”
“ถ้าเธอไม่ย้ายแล้วใครจะกล้า เบญไม่กล้าขัดคำสั่งฉันอยู่แล้ว”
“คุณรีบมาร้านแต่เช้าเพื่อมาหาเรื่องกับฉันใช่มั้ย ได้..ฉันลาออกก็ได้แต่ก่อนออกขอชกหน้าไอ้เจ้าของร้านไร้เหตุผลสักทีเถอะน่ะ”
