บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4

ชีวิตนิสิต ป.โทที่ลงเรียนในเวลาราชการนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาเรียนทุกวัน เพราะอาทิตย์หนึ่งจะมีแค่สองหรือสามวิชาเพียงเท่านั้น ทำให้วันนี้หนูพุกพอมีเวลาว่างจากการอ่านหนังสือชวนณกุลมาเดินเลือกซื้อหนังสือที่น่าสนใจที่ร้านหนังสือขนาดใหญ่บนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง

“ถามจริงเถอะพุก นอกจากเรื่องเรียนแล้ว พุกเคยคิดหาความสนุกอย่างอื่นบ้างมั้ยเนี่ย” ณกุลเอ่ยถามหญิงสาวในดวงใจขณะเดินตามเธอไปยังชั้นหนังสือต่างประเทศด้วยอาการเซ็งแกมง่วงงุนเต็มทีทั้งที่เมื่อคืนเขาก็เข้านอนเร็วนะ แต่พอต้องมาอยู่กลางดงหนังสือแบบนี้ทีไร มันก็มักจะมีอาการอย่างนี้ทุกที

ตอนแรกก็สู้อุตส่าห์ดีใจที่หนูพุกโทรมาชวนไปหาอะไรสนุกๆ คลายเครียด ไอ้เขาก็คิดว่ากิจกรรมคลายเครียดคงจะเป็นการดูหนังฟังเพลง แต่ที่ไหนได้ เจ้าหล่อนกลับลากเขาเข้ามาในร้านหนังสือเสียอย่างนั้น

“เนี่ยแหละสนุกสุดแล้ว ยิ่งอ่านเยอะ เราก็ยิ่งรู้อะไรมากขึ้น พอเราเรียนจบ เราจะได้เอาความรู้ไปถ่ายทอดให้คนอื่นได้ อีกอย่างเรากำลังหาหนังสือที่เกี่ยวกับหัวข้อที่จะเอามาทำธีสิสด้วย” หญิงสาวตอบโดยไม่หันมามองเพื่อนหนุ่มสักนิด กลับสนใจแต่ชั้นหนังสือที่มีหนังสือเล่มหนาเรียงกันเป็นตับ

“โห...หนูพุกครับ รายงานเดี่ยวที่จะต้องเริ่มอาทิตย์หน้ายังไม่รอดเลย นี่คิดไปถึงธีสิสแล้วหรือ”

“หาข้อมูลไว้ล่วงหน้าก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหนนี่ณกุล ดีซะอีก เราจะได้ไม่เหนื่อย” ว่าแล้วก็หันไปสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อในขณะที่ณกุลลอบพ่นลมหายใจออกทางปาก พลางคิดในใจว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูกที่ตามหญิงสาวมาเรียนต่อทั้งๆ ที่ใจไม่ได้อยากเรียนเลยสักนิด

ใช่...เรื่องเรียนสำหรับณกุลแล้วต้องเรียกว่าอยู่ในอันดับท้ายๆ ของชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะสมัยเรียนมัธยมชายหนุ่มถือว่าเป็นเด็กหลังห้องค่อนไปทางเกเรเสียด้วยซ้ำ แต่อาศัยว่าหัวดีเรียนรู้ไวจึงสามารถสอบติดในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศได้ด้วยคะแนนเฉียดฉิว แถมยังจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยที่พอไปวัดไปวาได้ ทั้งนี้ก็คงต้องขอบคุณหนูพุกที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชแถมยังให้ยืมเลคเชอร์มาอ่านก่อนสอบทุกครั้ง

พอเรียนจบ ณกุลก็คิดว่าชีวิตคงไม่ต้องมาสัมผัสกับการเรียนอันน่าปวดหัวนี้อีกแล้ว เดิมทีชายหนุ่มตั้งใจไว้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเรียนจบจะเข้าไปช่วยธุรกิจที่บ้าน แต่เพราะใจอยากอยู่ใกล้หนูพุก เมื่อเอ่ยปากชวนหญิงสาวให้ไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวแล้วเธอปฏิเสธ เขาจึงจำต้องยอมละทิ้งความสบายมาสมัครงานบริษัทเดียวกับเธอและก็โชคดีที่ทางบริษัทรับเขาทั้งคู่เข้าทำงานด้วยกัน จนกระทั่งหนูพุกบอกว่าอยากจะลาออกมาเรียนต่อ เขาก็เลือกที่จะลาออกจากงานและมาสอบเข้า ป.โท ตามเธอ ทั้งนี้ มันก็เป็นเพราะเขาอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเธอล้วนๆ

“จริงสิ ณกุลได้รายงานหัวข้ออะไรหรือ เผื่อเราจะได้ช่วยหาข้อมูลให้” คำถามของหนูพุก ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ความคิด

“องค์การสหประชาชาติ”

“ไม่ยาก เรามีหนังสือพวกนี้อยู่เยอะ เดี๋ยวไว้จะขนมาให้นะ เพราะเราสองคนยังมีเวลาเตรียมตัวอีกมาก อาทิตย์หน้ารู้สึกว่ามุกกับด้วงจะรายงานก่อน”

“ใช่...ป่านนี้สองคนนั้นคงหัวฟูกันไปแล้วมั้ง” ชายหนุ่มว่าแล้วก็อมยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงสภาพของเพื่อนแต่ละคนที่ประหนึ่งกำลังจะเข้าสู่แดนประหารก็ไม่ปาน “จะว่าไปก็อดขำสองคนนั้นไม่ได้นะ ตอนแรกก็เห็นกรี๊ดกร๊าดอาจารย์ธีรัชต์แทบตาย มาตอนนี้นี่ร่ำๆ ว่าไม่อยากเข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ”

“ทำยังไงได้ล่ะ ก็อาจารย์โหดซะขนาดนั้น นี่เราสังเกตนะว่า หลายๆ คาบที่ผ่านมานี่ อาจารย์จงใจจี้ถามแต่ยัยมุกกับด้วงชัดๆ”

“อาจารย์คงรู้มั้งว่าสองคนนั้นเสี่ยงจะหลุดจาก ป.โท ก็เลยพยายามจี้ถามเป็นพิเศษ เออ...จริงสิพุก พุกว่า...อาจารย์เขา...แมนป่ะ” จู่ๆ นายณกุลก็ชวนเปลี่ยนเรื่องแบบไม่มีปี่ขลุ่ย เล่นเอาหนูพุกที่กำลังหยิบหนังสือจากชั้นมาอ่านคำโปรยปกหลังอดฟาดหนังสือเล่มหนาใส่เพื่อนเสียไม่ได้ที่นินทาอาจารย์แบบนี้

“บ้าสิณกุล คิดอะไรอย่างนั้น”

“ก็จริงนี่นา วันก่อนเรากับไอ้ด้วงยังคุยกันเรื่องนี้ ขนาดไอ้ด้วงมันยังดูไม่ออกเลยทั้งที่ปกติมันบอกว่าผีย่อมเห็นผี” เซนส์ของดวงฤทธิ์เคยพลาดเสียที่ไหนกันเล่า มีแต่กับอาจารย์ธีรัชต์นี่แหละที่มันดูไม่ออกจริงๆ เพราะอาจารย์หนุ่มนั้นแม้จะดูสุภาพเรียบร้อย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละครั้งมันก็ฟังเสนาะหูเกินกว่าที่ผู้ชายทั่วไปจะเป็น แต่อีกด้านหนึ่งก็ดูสุขุมเยือกเย็นจนไม่สามารถฟันธงได้

“อาจารย์เขาอาจจะแค่เป็นผู้ชายเรียบร้อยก็ได้” แต่ถ้าเกิดเขาเป็นแบบยัยดวงฤทธิ์ขึ้นมาจริงๆ หนูพุกยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเธอคงจะเสียดายในความหล่อเหลาของเขาน่าดู

“แต่คนที่ภาควิชาก็ไม่มีใครเคยเห็นว่าอาจารย์จะมีแฟนหรือมีสาวๆ ที่ไหนเลยนะ”

“ไม่มีแฟน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเกย์นี่นา เฮ้อ...เราไม่พูดด้วยแล้ว ไปดูหนังสือทางนั้นดีกว่า” หนูพุกตัดบทด้วยรู้สึกว่า ขืนยังพูดกันเรื่องนี้อยู่ เธอคงเก็บเอาไปคิดจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่

“ก็ได้ งั้นเราขอไปดูการ์ตูนตรงโน้นนะ เสร็จแล้วก็ไปเรียกเราก็แล้วกัน” ว่าจบ ร่างสูงก็เดินเลี่ยงไปยังมุมหนึ่งซึ่งเป็นโซนหนังสือการ์ตูนนำเข้ามาจากญี่ปุ่น อย่างน้อย มุมการ์ตูนมันก็ยังให้ความรู้สึกบันเทิงกว่ามุมวิชาการแบบที่หนูพุกมองว่ามันสนุกสนานมากมายล่ะนะ

ร้านหนังสือแห่งนี้กินเนื้อที่ค่อนข้างกว้างไม่ต่างอะไรกับห้องสมุดขนาดใหญ่ที่แบ่งโซนหนังสือต่างประเทศไว้อย่างหลากหลายและเป็นระเบียบ ทั้งหนังสือภาษาจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ แต่ละโซนก็จะแบ่งย่อยไปเป็นหนังสือประเภทวรรณกรรมบันเทิง การ์ตูน วิชาการ ซึ่งแน่นอนว่ามุมที่แสนจะสร้างความบันเทิงสำหรับหนูพุกก็หนีไม่พ้นมุมวิชาการ

เมื่อเห็นว่าณกุลปลีกตัวไปยังมุมโปรดของเขาแล้ว หญิงสาวก็ตั้งท่าจะเดินไปอีกล็อกหนึ่งเพื่อหาหนังสือที่ตนสนใจ แต่เพียงแค่ตีวงเลี้ยวเท่านั้น ร่างบางก็แทบจะหงายหลัง ตาเรียวหวานเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเจอเข้ากับใครบางคนที่กำลังยืนเลือกหนังสืออยู่พอดี แถมเวลานี้คนคนนั้นก็กำลังหันมาและส่งยิ้มให้เธอก่อนจะพาร่างสูงนั้นเดินเข้ามาหา

...หญิงสาวรู้สึกได้เลยว่าเวลานี้ ดวงหน้าของเธอคงซีดยิ่งกว่าไก่ต้มเป็นแน่ ในเมื่อคนที่เธอกับณกุลเพิ่งจะแอบนินทามายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ ที่สำคัญเขายืนอยู่ห่างจากพวกเธอเพียงแค่ล็อกเดียวซึ่งก็ไม่รู้อีกว่ายืนอยู่นานหรือยังและได้ยินอะไรไปบ้าง...

ซวยแล้วไหมล่ะยัยพุก!

“อะ...อาจารย์ธีรัชต์ สวัสดีค่ะ” หนูพุกเอ่ยทักตามมารยาทด้วยเสียงที่ตะกุกตะกักเล็กน้อยอย่างคนมีชนักติดหลัง แถมอาจารย์ธีรัชต์เองก็ยังยิ้มเรื่อยด้วยท่าทีสุขุมจนดูไม่ออกว่าเขาได้ยินที่เธอกับณกุลคุยกันหรือไม่

“มาหาหนังสืออ่านเหมือนกันหรือครับ คุณหนูพุก” คำทักทายจากเสียงทุ้มทำให้หนูพุกต้องลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มตอบกลับไป...บางทีเขาอาจจะไม่ได้ยินอะไรก็เป็นได้ ในเมื่อเธอกับณกุลไม่ได้พูดเสียงดังเลยสักนิด ต้องเรียกว่ากระซิบกระซาบกันเสียมากกว่า

“ค่ะ พอดีวันนี้ไม่มีเรียนน่ะค่ะ ก็เลยมาร้านหนังสือเผื่อว่ามีอะไรน่าสนใจ แล้วอาจารย์ล่ะคะ”

“ผมสั่งหนังสือไว้ ก็เลยมารับ...แล้วก็เลยเดินดูหนังสืออีกนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะกลับไปสอนแล้วครับ” ธีรัชต์ตอบพลางเบี่ยงตัวน้อยๆ เพื่อให้คนตัวเล็กเข้ามาในล็อกหนังสือ เขาอมยิ้มเมื่อเห็นมือบางเอื้อมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกหน้าหลังดูอย่างสนใจ “คุณสนใจเกี่ยวกับญี่ปุ่นหรือ”

“ค่ะ ที่จริงพุกสอบไปเรียนต่อโทที่ญี่ปุ่นด้วย แต่ไม่ติด” สาวเจ้าเล่าแล้วยิ้มแหยๆ ให้อาจารย์หนุ่ม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ เห็นพี่ๆ ที่ภาคเขาบอกว่า อาจารย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น อาจารย์จะให้คำแนะนำได้มั้ยคะ คือพุกคิดว่าถ้าทำธีสิสก็อยากทำอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นไม่ก็เอเชียตะวันออก”

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ถือโอกาสขอคำแนะนำเลยแล้วกัน อย่างน้อยๆ เธอจะได้พอมีแนวทางอะไรบ้าง ไม่คลำทางมั่วๆ ซั่วๆ

จริงอยู่ที่เรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นและประเทศเอเชียตะวันออก เธอสามารถขอความรู้จากสุจิราผู้เป็นแม่ได้ แต่แม่ของเธอก็ศึกษาเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรมไม่ใช่การเมืองระหว่างประเทศโดยตรง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอจะขอความรู้จากใครทางด้านนี้ อาจารย์ธีรัชต์ก็น่าจะเข้าท่าสุด เท่าที่รู้มา เขาจบโทและเอกจากญี่ปุ่นเชียวนา

“ผมคิดว่าคุณน่าจะลองหาหนังสือเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่นดูนะ ลองดูทั้งด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ ลองดูว่ารัฐบาลญี่ปุ่นในแต่ละสมัยเขามีการวางแผนเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นยังไง ถ้าคุณจะมองนโยบายญี่ปุ่นต่อไทยหรือต่อภูมิภาคอาเซียน ก็ลองหาเป็นบทความดูก็ได้ ผมคิดว่ามีเยอะอยู่นะครับ ลองอ่านแล้วสรุปวิเคราะห์ว่า มีอะไรที่น่าสนใจพอจะจับมาเป็นประเด็นเพื่อทำธีสิสได้บ้าง”

“แล้วถ้าพุกทำธีสิสเกี่ยวกับญี่ปุ่น อาจารย์จะเป็นที่ปรึกษาหรือเปล่าคะ”

“ก็อยู่ที่ว่าเรื่องที่คุณทำมันเกี่ยวกับอะไรครับ ถ้าเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมือง ก็คงต้องเป็นอาจารย์ท่านอื่น ยังไงก็ลองดูไปเรื่อยๆ ครับ คุณยังมีเวลา ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามผมได้” คนเป็นครูบาอาจารย์จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการที่ได้เห็นลูกศิษย์ขยันหาความรู้อย่างนี้ โดยเฉพาะกับหญิงสาวตรงหน้าที่เขาเห็นแล้วว่า เจ้าหล่อนมีความพากเพียรขนาดไหน ในฐานะอาจารย์ เขาย่อมยินดีและเต็มใจให้ความรู้แก่เธอ

“ขอบคุณค่ะ”

“อ้อ...เมื่อครู่เหมือนผมได้ยินเสียงของณกุลด้วย ใช่มั้ยครับ” พอจบเรื่องการศึกษา ธีรัชต์ก็วกกลับในเรื่องที่หนูพุกพยายามทำเป็นลืมๆ มันไปเสียได้ เล่นเอาหญิงสาวปรับสีหน้าแทบไม่ทัน...เหอะ ถ้าลองว่าถามถึงณกุลอย่างนี้ แสดงว่า อาจารย์จะต้องยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วแน่ๆ เผลอๆ คงได้ยินที่เธอกับณกุลนินทาหมดแล้วด้วยกระมัง

“ค่ะ อยู่ทางโน้นน่ะค่ะ” นิ้วเรียวชี้ไปที่โซนการ์ตูนซึ่งปรากฏร่างสูงของ ณกุลกำลังยืนเลือกหาสินค้าที่ตัวเองชอบอย่างตื่นตาตื่นใจ โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนตัวเองกำลังเผชิญกับสภาวะที่ไม่ต่างอะไรกับ ‘สงครามเย็น’ เลยสักนิด แถมเป็นสงครามเย็นที่หญิงสาวไม่มีอาวุธไปคานอำนาจกับฝ่ายตรงข้ามเสียด้วย “อาจารย์คะ คือ...”

“ยังไงผมฝากคุณช่วยเพื่อนๆ ของคุณด้วยแล้วกันนะครับ ณกุลกับโศภิตาผมไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ แต่ดวงฤทธิ์กับมุทิตา ถ้าเทอมนี้เขาได้คะแนนวิชาผมต่ำกว่าบี เขาอาจจะต้องออกจากการศึกษา” กระแสเสียงที่กล่าวกับหนูพุกนั้นแลดูจริงจังเสียมากกว่าตอนที่เขาสอนหนังสือเสียอีก และนั่นก็ทำให้หญิงสาวรีบพยักหน้ารับทันทีทันใด ด้วยเข้าใจว่าที่อาจารย์เตือนก็คงเพราะเป็นห่วง ไม่อย่างนั้นคงไม่จำจี้จำไชดวงฤทธิ์กับมุทิตาจนสองคนนั้นแทบจะเป็นลมกลางห้องเรียนเสียทุกคราไปหรอก

“ได้ค่ะอาจารย์”

“แล้วก็เรื่องที่คุณกับณกุลคุยกันเมื่อครู่” นี่ไงเล่ามาจนได้...หนูพุกใจเต้นตึกตักอย่างหวาดหวั่นในขณะที่ธีรัชต์ลอบยิ้มน้อยๆ กับใบหน้าซีดเผือดของคนตัวเล็ก เขายอมรับเลยว่า ตอนได้ยินสองคนนี้นินทาเขาแรกๆ ก็โกรธอยู่ไม่น้อยจนต้องยืนระงับอารมณ์อยู่นานกว่าจะลดความโกรธลงไปได้ แถมพอมาเห็นใบหน้าหวานไร้สีเลือดของหญิงสาวแล้ว ไอ้ความโกรธที่มีเมื่อครู่มันก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ “จริงๆ ผมก็เหมือนผู้ชายทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ เพียงแต่สิ่งแวดล้อมที่ผมโตมา อาจจะบ่มเพาะให้ผมมีบุคคลิกที่ไม่ห่ามเหมือนผู้ชายคนอื่นก็เป็นได้”

“อาจารย์ค่ะ พุกขอโทษนะคะ คือ...” มาถึงจุดนี้ ก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้วล่ะ แล้วเธอเองก็ไม่มีปัญญาหาคำพูดใดมาเป็นข้อแก้ตัวด้วย ในเมื่อเธอกับณกุลนินทาอาจารย์จริงๆ นี่นา

“ไม่เป็นไรครับ จริงๆ ผมเองก็เสียมารยาทที่แอบฟังพวกคุณคุยกัน” เสียงห้าวกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ อย่างผู้ใหญ่ที่ไม่คิดถือสาเด็ก ถึงแม้ว่าเด็กอย่างพวกเธอจะโตมากพอที่จะคิดถึงสิ่งควรไม่ควรได้แล้วก็ตาม “แต่บังเอิญมันได้ยินพอดี ก็เลยอดไม่ได้ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็หันหลังเดินไปยังเคาน์เตอร์คิดเงินพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในมือ ปล่อยหนูพุกแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างคนหมดแรง ไม่สิ...ไม่ใช่แทบจะทรุด แต่เธอทรุดไปเลยต่างหาก ดีนะที่ร้านหนังสือวันนี้ค่อนข้างเงียบเหงา การทรุดลงไปกองกับพื้นของเธอจึงไม่ไปรบกวนหรือขวางทางเดินของใครเข้า ใจก็อดโมโหเพื่อนที่ชวนคุยเรื่องนี้ขึ้นมาเสียไม่ได้

“งานงอกแล้วมั้ยล่ะณกุลเอ๊ย!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel