ตอนที่ 8 ทายาทตัวน้อย
พิมพ์ใจนั่งตัวแข็งทื่อมาในรถตู้ ที่เคลื่อนเข้ามาจอดที่บริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่
ความอบอุ่นใจที่เห็นคิรากร ศิลปินในดวงใจ...เอ็นดูบุตรชายของตน ยังไม่ทันได้เหือดไป ความกังวลใจก็คืบคลานเข้ามาแทนที่
'พรุ่งนี้ผมจะพาคุณกับลูก ไปพบคุณพ่อคุณแม่' เขาเปรยขึ้นง่ายๆ บนโต๊ะอาหารที่มีเขา คิระและเธอ แค่สามคน เหมือนเป็นพ่อแม่ลูกกันจริงๆ
หัวใจของ ติ่ง อย่างพิมพ์ใจ กำลังเต้นแรงอยู่ดีๆ แต่ดันพลันมาหยุดลง เพียงเพราะรู้ว่าภาระผูกพันทางสัญญากำลังจะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว
การได้พบผู้หลักผู้ใหญ่ แม้จะเป็นแค่ในนามตามสัญญา มันก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี
'ไม่ต้องพูดอะไรเลย นั่งเงียบฟังก็พอ ที่เหลือผมจะจัดการเอง'
เขาพูดเหมือนรู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไร แม้เขาจะไม่ได้ยิ้มให้เหมือนตอนที่เห็นเขาบนเวทีหรืองานพบปะแฟนคลับทั่วไป แต่พิมพ์ใจก็เข้าใจได้...เขาไม่รู้เลยนี่ ว่าเธอปลื้มเขามากแค่ไหน
"ถึงแล้วคับแม่" เด็กชายคิระผู้นั่งอยู่บนคาร์ซีทข้างๆ เรียกสติของเธอให้กลับมา
วันนี้เธอกับลูกนั่งรถตู้มากับเขา ผู้ที่นั่งอยู่เบาะหน้า เขานอนหลับตามา...ไม่รู้ว่าหลับจริงหรือเปล่า
เมื่อคืนเขานั่งคุยกับคิระหลายชั่วโมง คงจะเหนื่อยจากการเดินทางด้วย ชีวิตศิลปินอย่างเขา การนั่งบนรถคงเป็นจังหวะเดียวแล้วจริงๆ ที่จะมีโอกาสได้พักผ่อนอย่างจริงจัง
"ถึงแล้วค้าบ คุณพ่อ!" น้ำเสียงใสๆ ว่าเสียงดังตะโกนไปยังเบาะหน้า จนคิรากรลืมตาขึ้นมาและหันมายิ้มให้เด็กน้อยทันที
"ไม่เอาสิลูก อย่าตะโกนแบบนั้นคับ..." พิมพ์ใจรีบปราม ส่วนฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ถือโทษเลยแม้แต่น้อย
"มาครับ เดี๋ยวพ่ออุ้มไปหาคุณปู่" คิรากรลุกขึ้นมาอุ้มคิระ ที่ถูกปลดสายคาดออกจากตัวแล้ว โดยมีพิมพ์ใจคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ
กลิ่นน้ำหอมของเขาในระยะประชิดแบบนี้ ทำให้หัวใจของคนที่ปลื้มเขาตลอดมาหวาดหวั่น...
จะกรี๊ดออกมาให้ดังๆ เหมือนไปคอนเสิร์ตก็ไม่ได้ จำต้องเก็บอาการเอาไว้จนลมแทบระเบิดออกมา!
บรรยากาศในคฤหาสน์หลังใหญ่ เป็นไปดังคาด...
มีความตึงเครียดอย่างที่พิมพ์ใจ คิดเอาไว้ไม่มีผิด วันนี้เธอสวมชุดสุภาพเรียบร้อย เป็นชุดเดรสผ้าระบายสีขาวแซมฟ้า เข้ากับบุตรชายที่สวมเสื้อสีฟ้ากับกางเกงยีนเข้ากันกับผู้เป็นบิดา
ดุสุตา ผู้จัดการของคิรากรโทรมาแจ้งว่าเธอกับลูกจะต้องสวมเสื้อผ้าอย่างไรให้เข้ากัน ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
"ถึงแม้ว่า ผมจะรับผิดชอบแค่ลูก แต่ช่วงนี้เด็กต้องการแม่...อยากให้เขาดูแลกันไปก่อน" หลังจากที่แนะนำอย่างเป็นทางการแล้ว คิรากรก็อธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่ตัวเองทำลงไปทั้งหมด โดยมีพิมพ์ใจก้มหน้างุดอยู่ข้างๆ
แม้จะเป็นแค่ผู้หญิงที่ตั้งท้องกับเขาแบบกำมะลอ แต่พิมพ์ใจก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดจากบิดาและมารดาของเขา ที่นั่งเชิดคอ แทบจะไม่แลสายตามายังเธอเลยแม้แต่น้อย...
"หึ มุกตื้นๆ แกคิดว่าฉันเป็นแฟนคลับโง่ๆ ของแกเหรอ ถึงจะได้ยอมเชื่อง่ายๆ" คำว่า แฟนคลับโง่ๆ ทำเอาคนที่เฝ้ารักเฝ้าสนับสนุนอย่างพิมพ์ใจถึงกับจุกไปทั้งลำคอ เงยหน้าขึ้นมาทันที
"ทำไม ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ" คเชนทร์หันมาถามเธอทันที ที่แสดงกิริยาแบบนั้น
"ปะ...เปล่าเลยค่ะ" เธอรีบก้มศีรษะลงเชิงขออภัย
"พ่อจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ผมทำตามที่ผมพูดเอาไว้ได้...ต่างหาก ที่พ่อต้องสนใจ" คิรากรยิ้มให้บิดาด้วยรอยยิ้มที่ยียวนตามปกติ จนผู้เป็นมารดาต้องถอนหายใจออกมา ใช้สายตาสำรวจผู้หญิงที่อุ้มท้องหลานของตัวเองมา อย่างไม่สบายใจนัก
แม้บุตรชายจะบอกว่าจะรับผิดชอบแค่ ลูก ก็ตามเถอะ
จะไว้ใจได้ยังไง ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำตามข้อตกลง ไม่ได้วางแผนมาจับบุตรชายของท่านอย่างจริงจัง
"ยอมได้จริงเหรอ ที่ว่าจะทำหน้าที่แค่เป็นคนอุ้มท้องหลานฉัน อย่างเดียวน่ะ" จุกแรกยังไม่ทันหาย คำถามที่สองทำเอาหน้าของพิมพ์ใจชาวูบ
เธอหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ โดยที่มีบุตรชายนั่งอยู่บนตัก เด็กน้อยคิระก็รู้งานเหลือเกิน ไม่พูดแทรกผู้ใหญ่ขึ้นมาเลยแม้แต่คำเดียว
"ได้ครับ เราตกลงกันแล้ว"
"แม่ไม่ได้ถามแก ไม่ต้องมาตอบแทน" เขาหันมามองหน้าเธอพร้อมกับทุกคน เอาจริงๆ พิมพ์ใจก็ไม่รู้ว่าเขาจะจ้างเธอกับลูกไปอีกนานแค่ไหน แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำถามอะไร เธอก็ต้องเออ ออไปก่อน
"ตอบสิ ว่าคุณจะเอายังไง" คิรากรว่าเชิงอนุญาตให้เธอพูดได้
"ใช่ค่ะ หนูยอมได้ค่ะ" คำตอบของเธอแห้งแล้งเหลือเกิน เพราะรู้สึกประหม่า พูดได้แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
"ฉันค่อยสบายใจหน่อย เธอระลึกเอาไว้ ว่าลูกชายของฉันเขาจะรับผิดชอบแค่ลูก...ก็ดีแล้ว"
คิระหันมามองหน้ามารดาราวกับรู้เรื่องว่าผู้ใหญ่กำลังคุยเรื่องอะไรกัน
"ไหน เดินมาให้ย่าดูหน้าซิ...ว่าเหมือนพ่อ แค่ไหน?" อัปสรพูดเหมือนไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นหน้าเด็กชายคิระเต็มๆ ตา ก็แทบจะเอามือทาบอก คนที่เลี้ยงบุตรชายมาอย่างดี มีหรือที่จะจดจำวัยเด็กของเขาไม่ได้
"สวัสดีคับคุณย่า สวัสดีคับคุณปู่..." เด็กน้อยว่าพร้อมค้อมศีรษะพนมมือไหว้ ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านด้วยความเคารพ
กิริยาอ่อนน้อมนั้น ละลายใจผู้ที่ตั้งกำแพงใส่ ลงไปได้เกือบครึ่ง
"เหมือนจริง...เหมือนมาก" คเชนทร์พึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อได้จ้องหน้าผู้ที่ได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นหลาน
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าบุตรชายไปเอาเด็กคนนี้มาได้ยังไง ข่าวใหญ่ขนาดนั้น ใครก็รู้ทั้งบ้านทั้งเมือง
ใครจะเชื่อไป ท่านไม่มีวันเชื่อแน่...ว่าบุตรชายไปไข่ทิ้งไว้ แล้วเพิ่งตามหาลูกและผู้หญิงคนนั้นเจอ ไม่มีทาง
“คุณปู่ ผมหยิกเหมือนของคิระเลยนะครับ...ผมหยิกแบบนี้ เท่ห์ดีนะครับ คุณพ่อบอกว่าอยากได้ แต่ไม่ได้ครับ” และประโยคต่อมาของเด็กน้อยก็ทำเอามือของอัปสรทาบอกทันใด
แววตาคมกริบที่พยายามจะจับให้ได้ไล่ให้ทันของคเชนทร์ ผู้มีหน้าตาละม้ายบุตรชายบ้าง...แต่ไม่ทั้งหมด ถึงกับสะดุดครั้งใหญ่
คิรากรเองก็เหมือนกัน เขาไม่คิดว่าเด็กน้อยจะเล่าทุกอย่างที่เขาบอกให้ฟัง กับบิดาซึ่งๆ หน้าแบบนี้
มันเป็นเรื่องจริงแหละ แต่ใครอยากจะเสียฟอร์ม...ให้บิดารู้ ว่าเขาอยากเหมือนท่านตรงไหนกันล่ะ!
"ฮะๆ เด็กคนนี้ มันเข้าใจพูด" แต่สิ่งที่ทุกคนไม่คิดว่าจะได้ยินก็คือ เสียงหัวเราะจากผู้เป็นใหญ่
ไม่ใช่แค่พิมพ์ใจและอัปสรที่อึ้ง บุตรชายอย่างคิรากรที่ชินแต่ใบหน้ายักษ์ๆ ของบิดา นี่เป็นครั้งแแรกเลยมั้งที่ท่านหัวเราะดังขนาดนี้
“ส่วนคุณย่า ผมเอานี่มาฝากครับ คุณแม่ถักเอง...เอาไว้ให้คุณย่าพันคอเวลาอากาศหนาวนะครับ” และเด็กรู้ความก็รีบหันไปบอกคุณย่า และเดินไปหยิบของที่มารดาเตรียมมาเป็นของฝากให้กับผู้เป็นย่า
อัปสรผู้เริ่มเอ็นดูเด็กน้อย น้ำตาแทบซึม...กับคำพูดรู้ความของคิระ
"โถลูก ขอบคุณนะค้าบ..."
"คุณย่าชอบไหมคับ คุณพ่อบอกว่าคุณย่าชอบสีชมพู ผมก็เลยเลือกสีชมพูมาให้ค้าบ.."
"โอ๊ย ลูก มาๆ ให้ย่ากอดหน่อย" คเชนทร์ส่งสายตาปลื้มใจ มองไปยังหลานตัวน้อย ที่แม้จะไม่เชื่อว่าเป็นลูกของบุตรชายตัวเองจริงๆ แม้ว่าจะหน้าตาคล้ายคลึงกันแค่ไหน
แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ เพราะเด็กคนนี้ สมควรจะได้รับความรัก
พิมพ์ใจรู้สึกปลื้มอยู่เงียบๆ มองสายตาอบอุ่นจากบุคคลอื่นที่มองไปยังบุตรชายแล้วน้ำตาก็ไหลร่วงลงมา จนต้องรีบเอามือปาด
ความโดดเดี่ยวในอดีตของเธอสะท้อนเข้ามาเป็นเหตุแห่งน้ำตานั้น เมื่อบุตรชายได้รับความรักจากคนอื่นบ้าง ทั้งๆ ที่ผ่านมา ไม่เคยมีเลย
คิรากรหันไปมองวินาทีที่เธอปาดน้ำตาพอดี ก็เกิดความสงสัยว่า...
ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ...?
