บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ทายาทตระกูลดัง vs ศิลปินของแฟนคลับ

บนโต๊ะอาหารไม้สักขนาดยาวกลางห้องโถงของคฤหาสน์ศรุตคินินทร์ ความเงียบงันไม่ได้มาจากความสงบ แต่มาจากแรงกดดันที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูของอากาศ

เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วดังแกร้ง ก่อนตามมาด้วยเสียงกระแทกเบา ๆ ของแก้วบนจานรอง

เหมือนเป็นสัญญาณว่า บทสนทนาเก่า ๆ ที่ไม่มีใครอยากฟัง กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง

“ทำงานเต้นกินรำกิน ไม่มีหลักมีฐาน...แกเป็นหลานชายคนเดียวของศรุตคินินทร์ ควรจะทำอะไรเพื่อวงตระกูลสักที”

ถ้อยคำเดิม ๆ จากผู้เป็นบิดาดังขึ้นอีกครั้ง ไม่ต่างจากทุกปี ทุกเดือน และทุกโต๊ะอาหารที่ผ่านมา

คิรากรได้ยินมันจนขึ้นใจ แต่ก็ยังเลือกที่จะแสร้งไม่เข้าใจ

“พ่อว่าไงนะครับ?”

เขาเอียงคอถามกลับ หน้าตาไร้เดียงสา แต่แววตากลับเจ้าเล่ห์อย่างตั้งใจยั่ว

อัปสร ศรุตคินินทร์ ผู้เป็นมารดานั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ถอนหายใจยาวด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า เธอไม่รู้ว่าควรจะห้ามปรามใครดี บิดาที่เข้มงวดกับลูกเกินไป หรือบุตรชายที่นอกจากจะดื้อแล้ว ยังยียวนอยู่ร่ำไป

“อย่าทำแบบนี้เลยลูก...” เสียงของผู้เป็นมารดาเบากว่าปกติ คล้ายกับลมพัดผ่านความว่างเปล่า

เธอรู้ว่าตอนนี้สามีกำลังแบกรับแรงกดดันจากทุกทิศทาง ตระกูลศรุตคินินทร์คือหนึ่งในคหบดีระดับประเทศที่ถือหุ้นหลักในหลายธุรกิจ

และในตระกูลนั้น...

มีเพียงคิรากร คนเดียวเท่านั้นที่ยังพอมีสิทธิ์จะส่งต่อสายเลือดและมรดกทางธุรกิจ

ญาติคนอื่น ๆ ให้กำเนิดแต่บุตรสาว และไม่มีใครอยากให้ คนนอก ขึ้นมาเป็นผู้ถืออำนาจแทน

“ผมไม่ได้ตั้งใจฟังน่ะครับแม่ เลยไม่แน่ใจว่าคุณพ่อท่านพูดอะไร”

คิรากรหันไปยิ้มกับมารดา รอยยิ้มที่เหมือนเดิม เย้ยหยันลึก เจือความประชด ประปรายไปด้วยความเจ็บปวดบางเบา แต่ก็ยังแซมความกวนตามประสาของเขาอยู่บ้าง

“ฉันจะให้แกแต่งงานกับหนูหยาด”

คำพูดของคเชนทร์ดังขึ้นชัดเจน ทุกคำหนักแน่นพอจะสั่นแก้วน้ำบนโต๊ะ อัปสรหันขวับไปมองสามีทันที ส่วนคิรากร...ชะงัก

มือที่ถือช้อนส้อมหยุดนิ่งก่อนจะวางลงบนจานช้า ๆ ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ก่อนจะพูดออกมาเรียบเฉย

“ผมไม่ได้รักเขา”

คำตอบตรงไปตรงมา ที่แฝงความดื้อดึง และชัดเจนพอจะปิดประตูเรื่องหมั้นหมายลงตรงนั้น

แต่คเชนทร์ไม่ใช่คนยอมแพ้ เขาหัวเราะเบา ๆ เย็นชาแต่เจ็บแสบ

“แล้วไง? แกรักใครได้ด้วยเหรอ?”

เสียงของเขาแทรกผ่านอากาศเย็นเฉียบในห้อง

“คนของประชาชนอย่างแก...มีความรักได้ด้วยเหรอ?”

ประโยคนั้น ไม่ได้แค่เหยียด แต่มันแทงลงมาที่หัวใจ

คิรากรหัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่รู้เพราะเจ็บหรือเพราะขำ เขาไม่เคยคิดว่าบิดาจะดูหมิ่นสิ่งที่เขาเป็นอยู่มากขนาดนี้...

ดูถูกว่าเขาเต้นกินรำกินยังพอทน

ดูถูกว่าเขาไม่มีสิทธิ์มีความรัก มันก็เกินไป

“มีครับ” คำตอบนั้นหลุดออกจากปาก โดยไม่ได้ไตร่ตรอง อัปสรที่นั่งฟังอยู่ถึงกับสะดุ้ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ

คเชนทร์หรี่ตาลง สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในดวงตานั้น...ราวกับมองทะลุทุกชั้นของคำโกหก

“งั้นก็เอามาให้ฉันดู” เขาท้าทายเสียงเรียบ

“ถ้าแกมีจริง ฉันจะไม่บังคับให้แต่งงาน... แต่ความรักของแก ต้องแตะต้องได้ ไม่ใช่แค่คำพูดหล่อ ๆ บนเวที เพราะฉันไม่ใช่แฟนคลับแก ที่จะมาพูดอะไรก็ได้ แล้วฉันจะเชื่อน่ะ...”

คิรากรหัวเราะแห้งๆ ไปอย่างนั้น

ไม่มีใครเดาออก ว่าเขากำลังจะตอบรับอย่างมั่นใจหรือโต้กลับด้วยวิถีใหม่ ที่เจ้าตัวสามารถเอาอยู่ได้อยู่แล้ว

คนที่ลุ้นกับทีท่าของเขามากที่สุด ก็คงจะเป็น...อัปสร

“คุณคะ...” อัปสรพยายามห้ามปรามสามีด้วยเสียงเบา เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่มีทีท่าจะโต้กลับ

ก็เลยจะช่วงชิงโอกาสนี้ ดับเพลิงร้อนระหว่างพ่อลูก

เธอรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องในบ้าน มันคือการเมืองในตระกูล เป็นเดิมพันของความไว้ใจจากหุ้นส่วน และของตำแหน่งในบอร์ดบริหาร

ต่อให้คิรากรจะมีผู้หญิงที่ตัวเองรักจริงๆ หรือไม่

ตระกูลก็ไม่มีวันรับได้...

“ว่าไง แก...กล้าตกลงไหม?”

คิรากรสบตาบิดา นิ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ แต่ชัดพอจะก้องในหัวใจทุกคนที่ได้ยิน

“ผมลูกพ่อนะ ถ้าพ่อกล้า แล้วทำไมผมจะไม่กล้า”

ประโยคนั้นเหมือนโยนหินก้อนสุดท้ายลงบนสายน้ำที่เคยนิ่งสงบ

“ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่กล้า...” คเชนทร์ว่าหนักแน่น จ้องไปยังดวงตาของบุตรชาย ที่ไม่หลบจากเขาราวกับมั่นใจในคำพูดของตัวเองนักหนา

“ผมน่ะ มีความรักไม่ได้...ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนของประชาชนหรอกนะครับ”

คเชนทร์สะดุด ย่นคิ้วหากันเล็กน้อย

“แต่เป็นเพราะว่า นามสกุลของผม คือศรุตคินินทร์ต่างหาก”

“คีย์...ไม่เอาลูก” อัปสรรีบปรามบุตรชาย เมื่อเห็นแววตาของสามีตกเป็นรอง ความมืดดำเข้าครอบคลุมความคมเข้มและเด็ดขาดนั้น ชั่วขณะ

“พ่อดูแคลนความเป็นศิลปินของผม ว่าอาจจะทำให้ผมรู้จักคำว่ารักไม่ได้ ทั้งๆ ที่พ่อเอง...ก็ไม่เคยรู้จักคำนั้น เพราะมีสายเลือดของศรุตคินินทร์ ไม่ใช่เหรอครับ”

“แกพูดบ้าอะไรของแก” คเชนทร์ขบฟันแน่นเข้า

อัปสรหลุบสายตาลง อันที่จริงเรื่องพวกนี้ก็นานมาแล้ว...เธอเคยเล่าให้บุตรชายฟัง ถึงเหตุผลที่ทั้งสองต้องแต่งงาน ตามความตกลงของผู้ใหญ่และธุรกิจ

“เอาเป็นว่า ศิลปินที่เต้นกินรำกินอย่างผม จะเอาความรัก มากองตรงหน้าพ่อให้ได้ ผมสัญญา”

คราวนี้คิรากรเป็นต่อ...

คเชนทร์ลุกออกจากโต๊ะอาหาร ด้วยสีหน้าที่มีอารมณ์เดือดพล่าน เขาไม่มองหน้าใครแม้กระทั่งภรรยา เดินออกไปยังห้องทำงาน ปล่อยให้อัปสรรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเผลอเล่าให้บุตรชายในวัยเด็กฟัง

และเขาก็จดจำ มาจนถึงทุกวันนี้

“ไปพูดกับพ่อเขาอย่างนั้นได้ยังไง แม่บอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้อีก”

“ก็อย่างที่ผมบอกแม่นั่นแหละ ว่าผมจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของตระกูลนี้ เหมือนที่เขาทำกันมา” แววตาของคิรากรตอนนี้ไม่หลงเหลือความยียวน ที่เขาพยายามจะสร้างอยู่เลย

“แล้วไปท้าพ่อเขาแบบนั้น จะหาผู้หญิงที่ไหนมาให้พ่อเขาดูล่ะ อย่าได้ไปจ้างมาเชียวนะ พ่อเขาฉลาด เขาสืบรู้หมดทุกเรื่องเลยนะ...ถ้าคีย์พลาด อนาคตในวงการของคีย์ ก็จะดับไปด้วยนะลูก”

อัปสรไม่รู้จะกังวลเรื่องไหนก่อนดี มันมีแต่เรื่องเต็มไปหมด

“แม่ก็อวยพรกันบ้างสิครับ ทำไมต้องแช่งด้วย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ แต่แววตากลับไม่ได้มีร่องรอยของเสียงหัวเราะเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าไม่แน่ใจก็รีบขอโทษพ่อเขาซะ ส่วนเรื่องหนูหยาด...”

“ผมขอตัวก่อนนะครับแม่” เขาไม่เปิดโอกาสให้มารดาเอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

ผู้หญิงที่เขาได้ยินชื่อมานาน ได้เห็นหน้ากันบ้าง แต่พอรู้ว่าเธอก็เป็นเครื่องมือขยายความยิ่งใหญ่ของตระกูลเหมือนกัน

เธอก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย...

ตอนนี้ในหัวของคิรากร เต็มไปด้วยคำรับปากอย่างหนักแน่นของตัวเอง ที่พูดกับบิดาไป

...เขาต้องหาผู้หญิงคนหนึ่ง

ผู้หญิงที่ต้อง มีอยู่จริง

ผู้หญิงที่ต้อง แตะต้องได้

และต้องทำให้ทุกคนเชื่อว่าเธอคือ ความรัก

เขาไม่มีแฟน ไม่มีใครในชีวิต ...ไม่มีแม้แต่คนที่พอจะเอามาแสดงได้ว่าเป็น แฟนปลอมๆ

จนกระทั่ง ภาพเด็กชายคนหนึ่ง ที่มีดวงตา คิ้ว และโครงหน้าเหมือนเขาราวกับถอดแบบ ผุดขึ้นในหัวชัดเจน

คลิปที่ดุสิตา เอาให้เขาดู

เด็กในคลิปหน้าคล้ายเขาตอนเด็ก และยังคล้ายเขาในปัจจุบันจนน่าตกใจ

เขาไม่เคยลืมสายตาของเด็กคนนั้น ที่จ้องกล้องด้วยแววตาคล้ายกันราวกับเงาสะท้อน

เหมือน

เหมือนเกินไป

วันนั้น...เขาแค่คิดเล่น ๆ

แต่ตอนนี้...

เขาจำเป็นต้อง “เล่นให้สุด” แล้วล่ะ

'ทำอะไรลงไป!' เสียงปลายสายดังขึ้นมา ทันทีที่คิรากรกดรับสาย เขาขับรถออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่สักพัก เห็นสายที่ไม่ได้รับจากผู้จัดการสาวขึ้นมารัวๆ แต่อยากจะทำให้หล่อนร้อนใจ เลยไม่รีบที่จะกดรับ

"อื้อ" และพอจะรับ ก็เลือกที่จะตอบแค่นั้นด้วย

'อื้ออะไร คุณอัปสรโทรมาหาพี่ ให้หาทางออกให้แกด้วย แกไปสร้างปัญหาอะไรอีกเนี่ย อีกไม่กี่วันก็จะไปคอนเสิร์ตแล้ว เล่นตลกอะไร แกไปรับคำท้าคุณพ่อเขาทำไม' ดุสิตาเป็นเหมือนพี่สาว ทำหน้าที่เกินผู้จัดการและเขาก็ไว้วางใจเธอได้

"ก็ทำตามนั้นแหละ ตามที่แม่บอกเลย หาทางออกให้ผมด้วย" เขาว่าอย่างอารมณ์ดี เย้าให้อารมณ์ของผู้จัดการสาวโสดยิ่งเดือดพล่าน

'หาทางออกอะไร ฉันยังไม่รู้เลยทางออกคืออะไร!'

"พี่รู้ รู้ก่อนผมอีก" ความเหมือนเขา ของเด็กคนนั้นจะช่วยเขาได้ คิรากรเชื่ออย่างรั้น...

'รู้อะไร พูดมาสิ พี่งงไปหมดแล้ว!'

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel