บทที่ 3 คนที่หายไป
นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ที่เธอไม่ได้รับสายโทรศัพท์จากเขาอีกเลย เจ้าตัวก็ยังคงตั้งใจเรียนอยู่เหมือนเคย โดยที่เธอคิดว่าเขาคงซ้อมหนัก และอีกอย่างเขาก็ได้บอกกับเธอก่อนหน้านี้แล้วว่าอาจจะหายไปเป็นเดือน
แต่จนแล้วจนรอด หนึ่งเดือนผ่านไปก็แล้ว สองเดือนผ่านไปก็แล้ว และ สามเดือนผ่านไปก็แล้ว เธอพยายามโทรหาเขาแต่โทรศัพท์ก็ปิดเครื่องตลอด ด้วยความร้อนรนกระวนกระวายใจ เพราะเขาเล่นเงียบหายไปเสียดื้อๆ จึงทำให้เธอตัดสินใจมาบ้านของเขา
แต่แล้วเมื่อมาถึงที่บ้านเธอก็ต้องรู้สึกแปลกใจและตกใจอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ บ้านหลังนี้ก็มีป้ายปิดประกาศขาย แล้วคุณแม่ของพี่เขาล่ะ ไปอยู่ไหน นี่ยิ่งทำให้คนตัวเล็กหัวเสียขึ้นมาอีก สิ่งที่นึกได้ตอนนี้คือนาวิน กับ กร เพื่อนรักของเขา จากนั้นเธอก็ขับรถยนต์คันหรูที่บิดาพึ่งจะซื้อให้ ก่อนจะขับไปยังมหาลัยกีฬาชื่อดัง ซึ่งตอนนี้พวกพี่ๆ ต่างเรียนจบและกำลังแยกย้ายกันไปสานฝันต่อ ซึ่งเธอก็ได้เบอร์โทรติดต่อพวกเขาทั้งสองมา
แต่แล้วความผิดหวังซ้ำสองก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเพื่อนของเขาต่างก็ติดต่อขุนเขาไม่ได้เช่นกัน แถมเพื่อนๆ ยังไม่รู้เลยว่าขุนเขาอยู่ที่ไหน เพราะนาวิน กับกรต่างโทรไปหาสโมสรนักกีฬาแห่งชาติ ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือ ไม่มีชื่อของขุนเขาอยู่ในนั้น
คนที่พึ่งจะรู้ความจริงถึงกับน้ำตาไหลนองหน้า พี่เขาจะเป็นอะไรไปไหมนะ จะเจ็บป่วยหรือไม่สบายหรือเปล่า เพราะช่วงหลังๆ เขาดูโทรม อิดโรย ทำไมเธอถึงจะไม่รับรู้ได้
หรือเพียงเพราะพี่เขาเจอคนที่ถูกใจแล้ว แต่ไม่กล้าบอกเราอย่างนั้นหรอ คนที่ร้องไห้โฮถึงกับน้ำตานองหน้าก่อนจะทรุดเข่าลงนั่งร้องไห้ เธอนั่งกอดเข่าตัวเองฟูมฟายอยู่พักใหญ่จนทำให้เพื่อนต่างเข้ามาปลอบ
“แกโอเคมั้ยนิรา? ”
เสียงของเพื่อนรักอย่างใบหม่อน นักศึกษาแพทย์ปีสองเอ่ยถามเพื่อนขึ้น ใบหม่อนรู้ว่าเพื่อนของเธอพยายามตามหาผู้ชายตัวสูงใบหน้าหล่อเหลาที่รูปสติ๊กเกอร์ใบนั้นนิราพกในกระเป๋าสตางค์ใบโปรดอยู่ตลอด เธอกับจุ๊บแจงต่างรู้ว่าเพื่อนสาวพยายามตามหาเขามานานแค่ไหน
“นี่ก็ปีกว่าแล้วนะแก แกเลิกตามหาพี่เขาเหอะ” เป็นเสียงของจุ๊บแจงที่พูดต่อ ตามด้วยมือที่ลูบหลังเพื่อนอย่างแผ่วเบา
“ถ้าเขาอยากติดต่อแก เขาคงจะไม่หายไปแบบนี้หรอก จงอยู่กับความเป็นจริงเหอะแก ฉันไม่ได้บอกให้แกลืมนะ แกอยากจะรักก็รักต่อไป อยากจะคิดถึงก็ไม่มีใครว่า แต่แกอย่าลืมรักตัวเอง”
เสียงของใบหม่อนพูดขึ้นมาอีกรอบ ตามด้วยเสียงของจุ๊บแจงที่เห็นด้วย
“นั่นสิแก อีกอย่างเดี๋ยวเราก็ได้เรียนกายวิภาคศาสตร์ Anatomy เดี๋ยวแกก็จับเส้นประสาทจิ้มถูกจิ้มผิดกันพอดี”
เสียงของจุ๊บแจงกล่าว
“แต่ฉันขออยู่กลุ่มกับพวกแกนะ ฉันกลัว”
“ยัยหม่อน แกขี้กลัวขนาดนี้มาเรียนแพทย์ได้ไงยะ!!” เสียงจุ๊บแจงบ่นเพื่อน
“ก็ที่บ้านฉันเป็นหมอกันทุกคนน่ะสิ ถึงถูกบังคับให้เรียนมาทางนี้ด้วย”
แน่นอนว่าใบหม่อนอยากเป็นศัลยแพทย์ แต่ต้องได้ผ่าศพด้วยนี่สิ เธอนึกว่าจะได้เรียนกับพวกเนื้อสัตว์เนื้อไก่อะไรงี้ คิดแล้วอยากจะบ้า
ปีนี้นักศึกษาแพทยศาสตร์ปีสองต้องได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบของร่างกายมนุษย์ และต้องผ่าศพจริง ซึ่งนั่นก็เรียกว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่ทุกคนรู้กัน นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนกายวิภาคศาสตร์และมีการผ่าศพในช่วงปีแรก ๆ เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ การเรียนนี้เป็นพื้นฐานสำหรับการวินิจฉัยและการรักษาโรคต่าง ๆ ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ทั่วไป ซึ่งปีสองจะลงมือจากการผ่าศพจริง
แน่นอนว่าคนขี้กลัวอย่างใบหม่อนมีหรือที่จะกล้าลงมีด ซึ่งแน่นอนว่าไม่ต่างจากนักศึกษาทุกคน
“กลัวหรอครับนิรา? ”
เสียงของธาม นักศึกษาแพทย์ร่วมอุดมการณ์ต่างเอ่ยขึ้น แน่นอนว่าเขาคิดกับหญิงสาวมากกว่าเพื่อนแน่ๆ ซึ่งจุ๊บแจงเองต่างแอบเล็งๆ ธามไว้ แต่เมื่อดูท่าแล้วผู้ชายจะชอบใครอีกคน จุ๊บแจงจึงได้แต่แอบชอบธามอย่างเงียบๆ
“ก็กลัวนะ หรือนายไม่กลัว? ” เธอถามเขากลับ
“กลัวสิ แต่ดีนะที่เพื่อนๆ อยู่กันหลายคน รวมทั้งอาจารย์ก็อยู่ด้วย”
จากนั้นเมื่อถึงหน้าห้องปฏิบัติการ ทุกคนต่างอยู่ในความเงียบสงบ ก่อนจะเดินเข้าไปประจำที่โดยแบ่งเป็นกลุ่มละสามคน การเรียนวิชายกายวิภาคในครั้งนี้จะกินเวลาไปถึงหนึ่งปี ซึ่งพวกเธอต้องได้เจอศพแทบทุกวัน ซึ่งการผ่าพิสูจน์และเรียนในแต่ละครั้งจะใช้เวลาอยู่กับศพถึงครั้งละ 3-4 ชั่วโมง
เมื่อทุกคนยืนประจำที่อยู่กับร่างของอาจารย์ใหญ่ โดยที่ส่วนศีรษะของศพจะถูกผ้าขาวคลุมเอาไว้เพื่อเป็นการให้เกียรติกับร่างผู้วายชนม์ในขณะปฏิบัติ จากนั้นอาจารย์ก็บอกให้แต่ละกลุ่มดึงผ้าคลุมออกจากลำตัวของร่างอาจารย์ใหญ่ เมื่อนิราค่อยๆ ดึงผ้าคลุมที่ห่อหุ้มร่างออก เธอเห็นภาพของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เธอต่างก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
เธอเจ็บจี๊ดที่หัวใจ จนต้องกุมหน้าอกตัวเองเอาไว้
“เฮ้ย!! เป็นไรแก ไหวรึเปล่า? ”
เป็นเสียงของจุ๊บแจงที่เอ่ยเรียกชื่อเพื่อน เพราะคิดว่าเธอคงกลัวจนคุมสติไว้ไม่ได้ ตามมาด้วยใบหม่อนที่มาพยุงเธอไปนั่งพัก
“ไหวไหม นิรารินทร์? ”
เป็นเสียงของอาจารย์ที่เอ่ยขึ้นถาม ตามมาด้วยสายตาของธามที่ห่วงใย
“ไหวค่ะ”
แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้กลัวอะไรมากมายขนาดนั้น แต่เมื่อจู่ๆ เห็นร่างตรงหน้านี้แล้ว เธอกลับใจแปลบขึ้นมาซะอย่างนั้น นี่คงจะเป็นร่างเดียวสินะที่เขาสูงกว่าร่างอื่นๆ ร่างกายที่ถูกดองด้วยสารเฉพาะ ทำให้ผิวหนังดูเหลืองซีดไม่ต่างจากร่างอื่นๆ
วิชาเบื้องต้นในการผ่าศพ (หรือที่เรียกว่า “กายวิภาคศาสตร์เบื้องต้น”) เป็นวิชาที่นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนในช่วงต้นของการศึกษาก่อนที่การเรียนการสอนในวิชานี้จะเน้นการทำความเข้าใจโครงสร้างของร่างกายมนุษย์โดยการศึกษาผ่านการผ่าศพ เพื่อให้สามารถระบุและเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ เช่น กระดูก, กล้ามเนื้อ, ระบบหลอดเลือด, และอวัยวะภายในต่าง ๆ
การเรียนการสอนในวิชานี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในด้านกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานสำคัญในการเป็นแพทย์และการวินิจฉัยโรค โดยในวิชานี้นักศึกษาจะได้ฝึกผ่าศพและทำการศึกษาอย่างละเอียดในโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย
การผ่าศพในวิชานี้ถือเป็นการศึกษาเบื้องต้นและจำเป็นในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทางการแพทย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ทันทีที่ปลายมีดเริ่มกรีดลงบนตัวศพ ซึ่งเป็นบริเวณกล้ามเนื้อท้อง จู่ๆ เธอก็หันขึ้นไปมองด้านบนของศพซึ่งมีผ้าขาวห่อคลุมไว้อย่างมิดชิด เวลานี้อาจารย์ก็จะเปิดเพลงคลอไปด้วยเพื่อให้นักศึกษารู้สึกผ่อนคลาย
แต่จู่ๆ ก็มีเพลงหนึ่งดังขึ้น
‘รักเธอทั้งหมดของหัวใจ’
เพลงที่พี่เขาชอบโทรขอจากคลื่นวิทยุให้เธอฟังเป็นประจำ ใจเจ้ากรรมน้ำตาของเธอมันกลับรินไหลซะดื้อๆ จากนั้นก็หยดแหมะลงไปกับร่างตรงหน้า
“ตายจริง!!”
เธออุทานออกมาอย่างตกใจ แต่ทั้งสามสาวก็ทำการผ่าชันสูตรต่อไป จวบจนชั่วโมงที่สาม ก่อนที่อาจารย์จะให้พักสิบนาทีก่อนจะลุยร่างกายของร่างที่ไร้วิญญาณต่อ เมื่อหมดเวลาพัก ทุกคนต่างเข้าประจำที่ก่อนที่จะลงมือศึกษาและปฏิบัติการต่อไป เธอหันมองสำรวจร่างตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ และก็มองดูมือใหญ่หนา ก่อนที่เธอจะค่อยๆ สวมมือน้อยๆ ของเธอไปจับยังร่างนั้น
ขนาดมือน่าจะเท่าพี่เขาเลยมั้ง เราน่าจะคิดถึงพี่เขาจนเกินไป …ก่อนที่คลาสนี้จะจบลง และค่อยมาศึกษาต่อของอีกวัน
“เป็นไงบ้างครับนิรา โอเคขึ้นกว่าช่วงแรกมั้ย? ”
เสียงของธามเอ่ยถามหญิงสาว ซึ่งเธอก็เดินประกบมากับใบหม่อนและจุ๊บแจง
“แรกๆ ก็กลัวนะ ตอนนี้เริ่มโอเคขึ้นแล้ว”
“แหม เดินมาสามถามหนึ่ง นี่นายเห็นพวกฉันเป็นอากาศธาตุรึยังไง? ”
กลับเป็นเสียงของจุ๊บแจงที่เอ่ยขึ้น
ช่วงดึก กลางคืนก่อนเข้านอน เธอก็นึกถึงเพลงที่เปิดในวันนี้ มันนานแล้วนะที่เธอไม่ได้ฟังเพลงนี้ น่าจะราวๆ ปีกว่าเกือบสองปีเห็นจะได้ ก่อนที่ร่างบางจะหยิบเอาซาวด์เบาท์ขึ้นมาก่อนจะยัดแผ่นเทปลงไป ก่อนจะกดฟังเพลงนี้อยู่ซ้ำๆ ไปหลายรอบ จนเธอผล็อยหลับไปในที่สุด
“พี่ขุนเขา นั่นพี่ใช่มั้ยคะ? ”
