บทที่ 2 ปกปิด
อาการของคนป่วยก็เริ่มทรุดลงเรื่อยๆ จากที่เป็นตัวเต็งของนักกีฬาระดับชาติ ก็ต้องถูกลดบทบาทลง ซึ่งนิราเองก็ไม่รู้เรื่องนี้
“ช่วงนี้พี่ออกกำลังกายหนักไปรึเปล่าคะ ดูพี่ไม่ค่อยดีเลยนะคะ? ” แน่นอนว่านิราถามเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะช่วงนี้คัดเลือกกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ซึ่งเขาอาจจะซ้อมหนักจนลืมดูแลตัวเองก็ได้
“พี่อย่าหักโหมเกินไปนะคะ ไปค่ะวันนี้เราไปหาอะไรกินกัน จากนั้นนิราจะพาพี่ไปถ่ายรูปสติกเกอร์ด้วย” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยความดีใจ
“ก็เนื่องในโอกาส ต้อนรับนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งไงคะ ต้องขอบคุณติวเตอร์กิตติมศักดิ์ผู้ใจดี ผู้ที่มีชื่อว่า ขุนเขา นทีธร สุริยะพงศ์ ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ”
แน่นอนว่าถึงเขาจะยิ้มให้เธอด้วยความภาคภูมิใจ แต่ใครจะหารู้ไม่ว่าแววตาที่แสดงออกนั้นมันกลับมีแต่ความโศกเศร้า แม้ปากจะยิ้ม แต่นัยน์ตาของเขาช่างเศร้าอย่างประหลาด!!
คนทั้งคู่ที่มาทานอาหารร้านธรรมดาๆ หน้ามหาลัย ทุกวันเมนูที่จะขาดไม่ได้คือข้าวขาหมูพิเศษผักคะน้า มันเป็นเมนูที่ขุนเขาชอบมาก
จากนั้นคนทั้งคู่ก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปยังห้างหรูที่ไม่ไกลมหาลัยเท่าไหร่นัก ตอนนี้มีตู้สติ๊กเกอร์ที่พึ่งมาลงใหม่ และคนต่างก็เห่อกันมาถ่ายจนเต็มทั้งห้าตู้ พวกเขารอคิวอยู่สักพัก ก่อนที่คนทั้งคู่จะถึงคิวของตัวเอง
“พี่ขุนเขากอดคอน้องหน่อย”
แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา เขา
สุภาพและให้เกียรติหญิงสาวมาก เขาไม่เคยทำอะไรเกินเลยผู้หญิงตรงหน้าแม้สักครั้ง จะมีบ้างที่คนตัวดื้อจะจับมือเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร
การได้โอบเธอแบบนี้มันก็ดีนะ เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอาการที่ว่าจะดีขึ้นไหม หรือว่าต้องป่วยไปถึงเมื่อไหร่ คนตัวสูงถึง 192 ก้มย่อตัวเพื่อให้ตัวเองอยู่ในเฟรมของกรอบรูป เมื่อพนักงานนับ หนึ่ง สอง สาม เพื่อจะถ่าย จู่ๆ เจ้าคนตัวแสบก็หันมาหอมแก้มเขาหนึ่งฟอด ทำให้ภาพสติ๊กเกอร์ที่ออกมา มีภาพน่ารักๆ นั้นด้วย
คนทั้งคู่ถ่ายรูปไปหนึ่งโหล ซึ่งแบ่งกันคนละหกภาพ ตอนนั้นราคามันแพงมาก พวกเขาจึงถ่ายแค่หนึ่งโหลเพียงเท่านั้น
แม้ว่าตอนนี้คนทั้งสองจะไม่ได้ขอเป็นแฟน และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานะของกันและกันมันเรียกว่าอะไร แต่ทั้งสองต่างไม่ได้ร้องขอ เพราะเธอเองก็กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีหนึ่ง ส่วนเขาก็อยู่ชั้นปีสี่ แต่สำหรับเขาแล้วการได้ใกล้ชิดเธอมันก็เป็นความสุขที่สุดในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งแล้ว
บ้าน สุริยะพงศ์
“ลูกคิดจะปกปิดหนูนิราไปถึงเมื่อไหร่? ”
เมื่อจู่ๆ เสียงของมารดาก็เอ่ยถามลูกชายขึ้น เพราะวรนุชเห็นว่าไอ้เจ้าลูกชายยังไม่มีทีท่าว่าจะบอกหญิงสาว คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างเธอย่อมรู้ดีว่าคนทั้งคู่ต่างรู้สึกต่อกันเช่นไร
“นิรากำลังเรียนปีหนึ่ง ผมไม่อยากให้น้องคิดมาก”
“แล้วเรื่องไปรักษาตัว ลูกตกลงได้รึยัง จะปล่อยเวลาทิ้งเอาไว้นานแบบนี้มันไม่ดี รู้มั้ย? ”
“ผมขอเวลาอีกสักพักนะครับ อาทิตย์หน้าก็กะว่าจะเข้าไปพบอาจารย์หมอครับ”
แน่นอนว่าการรักษาของเขามันต้องใช้เวลา และกินระยะเวลาอีกนาน ซึ่งตอนนี้เขาก็อยากจะใช้เวลาที่เหลือเพียงหนึ่งอาทิตย์ไปกับหญิงสาวที่เขารัก ก่อนจะตัดสินใจไปรักษา เพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่า เขาจะหายดีไหม แล้วจะได้กลับมาเมื่อไหร่
มันเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ขุนเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์ดีๆ ให้นิราอยู่ตลอด พวกเขามักจะนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินจากยอดตึก
ของมหาลัยด้วยกันแทบจะทุกวัน
“พี่ขุนเขาคะ ทำไมพี่ดูอิดโรยจังเลย นอนน้อยหรอคะ เดี๋ยวนิราจะไปแจ้งอาจารย์ว่าใช้งานพี่หนัก”
เธอพูดทีเล่นทีจริง ซึ่งเขาก็หันมามองหน้าหญิงสาวด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
“เป็นอะไรไปคะ มองนิราแปลกๆ หรือว่าหน้าของนิรามีอะไรติดอยู่งั้นหรอคะ? ”
ว่าพลางหญิงสาวก็ทำมือลูบหน้าไปมาพลาง
“เปล่าหรอกครับ พี่แค่อยากจะจดจำใบหน้าของนิราเอาไว้” เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ก่อนที่พี่จะไปเก็บตัวฝึกซ้อมโอลิมปิก” แน่นอนว่าเขาโกหก
“ถ้าว่าง พี่ก็โทรหานิราได้ตลอดเลย เข้าใจมั้ยคะ? ”
เขายิ้มพร้อมพยักหน้าให้เธอ ยอมรับว่าอยากจูบเธอเป็นบ้า แต่เขาก็ไม่กล้าพอ คนตัวสูงเอานิ้วหัวแม่มือลูบไล้ริมฝีปากบางไปมาอย่างแผ่วเบา เขาจับจ้องมองดูริมฝีปากของเธออยู่ครู่ใหญ่ แต่แล้วคนตัวเล็กเหมือนจะรู้ว่าเขาอยากจะทำอะไร แต่ก็คงไม่กล้า
เธอเอามือเรียวเล็กเกาะไหล่เขา ก่อนจะดึงโน้มตัวเขาลงมา จากนั้นคนร่างบางก็จุ๊บเข้าที่ริมฝีปากหยักหนาของเขาอย่างแผ่วเบา แต่ทว่า … คนตัวโตกลับจับใบหน้าสวยไว้ ก่อนที่เขาจะจูบเธออย่างคนทำตามใจ และหยุดตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ริมฝีปากอุ่นนิ่มที่ประกบลงมาทาบทับยังริมฝีปากเรียวบาง มันช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างบอกไม่ถูก
เธอเผยออ้าปากรับเอาความหอมหวานจากริมฝีปากของเขาโดยเต็มใจและไม่รังเกียจ แม้จะเป็นจูบแรกของกันและกัน แต่มันช่างลงตัวอย่างบอกไม่ถูก เขาจูบเธอนานนับนาทีได้ ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะถอนออกจากริมฝีปากของเธอ เขายิ้มให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเห่อร้อน แถมแดงก่ำ ก่อนที่ร่างสูงจะดึงเธอเข้ามากอดอย่างแผ่วเบา
ถ้าไม่ได้พูดตอนนี้ ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้พูดอีกไหมนะ ‘เขารักเธอ’ แน่นอนว่ามันเป็นคำเดียวที่เขาอยากจะบอกเธอมาก แต่เอาเป็นว่า ถ้าเขาหายดี เขาจะกลับมาบอกเธอด้วยตัวเองดีกว่า เพราะถ้าหากว่าเขาไม่หายดีล่ะ คำๆ นี้ มันจะกลายเป็นพันธนาการรัดตัวเธอตลอดไปใช่หรือเปล่า เขาเองก็ไม่แน่ใจ
“พรุ่งนี้พี่ก็เดินทางแล้ว อย่าลืมตั้งใจเรียนล่ะ ติวเตอร์คนนี้จะรอดูความสำเร็จของหนูอยู่นะครับ”
คำพูดของเขามันทำให้ใจเจ้ากรรมของเธอรู้สึกแปลบๆ ก็คงเป็นเพราะเขาต้องเก็บตัวนานด้วยล่ะมั้ง ฝึกซ้อมเป็นปีๆ อาจจะไม่ได้เจอกัน แต่เราก็ยังโทรคุยกันได้
“พรุ่งนี้นิราจะไปส่งพี่ขึ้นรถนะคะ”
“พรุ่งนี้หนูมีเรียนนิ่ เดี๋ยวถึงที่พัก พี่จะโทรหานิราเป็นอันดับแรกก่อนเลย โอเคมั้ยครับ ไม่ต้องไปส่งพี่ หนูตั้งใจเรียนก่อน วิชาช่วงแรกๆ สำคัญนะ ถึงเพื่อนจะจดเลคเชอร์ให้ แต่มันก็ไม่เหมือนเรานั่งฟังด้วยตนเอง”
แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้เธอขาดเรียนในช่วงแรก
“ก็ได้ค่ะ”
เมื่อถึงที่พักที่เขาเดินทางมาราวๆ เจ็ดชั่วโมงด้วยรถ
โดยสาร ที่เดินทางเข้ากรุงเทพ คนอีกคนเข้าใจว่าเขามาเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อโอลิมปิก แต่ขณะที่อีกคนหลบมาเพื่อรักษาตัว โรคลิ่มเลือดในหัวใจสมัยนี้ทางการแพทย์ก็ถือว่าเริ่มมีเครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่ แต่ยังหาหมอเก่งๆ ได้ยาก อีกทั้งคิวยาว และค่าผ่าตัดแพง ดังนั้นด้วยฐานะของทางบ้านของเขาจึงทำได้เพียงรักษากับทางโรงพยาบาลของรัฐเพียงเท่านั้น
และความล่าช้าในครั้งนี้ก็อาจทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปหมด
ทันทีที่คนตัวเล็กรับสาย ก็ดีใจมากที่ได้ยินเสียงของเขา
“ถึงแล้วหรอคะ นั่งรถเหนื่อยมั้ยคะ? ”
คำถามดีใจกึ่งตื่นเต้นเอ่ยถามเขา
“ไม่เหนื่อยครับ ได้ยินเสียงนิราพี่ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย”
ทั้งคู่คุยกันไม่นานนัก เพราะค่าโทรศัพท์ที่แพงหูฉี่ เขาบอกเธอว่าช่วงแรกๆ อาจซ้อมหนัก พักไม่เป็นเวลา และอาจไม่มีเวลาโทรหาเธอเท่าไหร่นัก เขาบอกให้เธอตั้งใจเรียนและสานฝันให้สำเร็จ เป็นแพทย์หญิงให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่เธอกลับหารู้ไม่ว่านี่มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเสียงจากเขา
ไม่นานนักคนทั้งคู่ก็วางสายไป …. ปล่อยให้หญิงสาวต่างรู้สึกใจหายและใจโหวงหวิวอยู่แปลกๆ
