ตอนที่ 5จะไม่กลับไปโง่อีก
ตอนที่ 5จะไม่กลับไปโง่อีก
"อ่ะ!!..นี่ไงเกือบไปแล้วไหมล่ะยัยขิงเอ๊ย" ภิญญาพัชญ์ก้มลงหยิบกระเป๋าเงินที่ตัวเองลืมไว้ที่เก้าอี้ขึ้นมา ใบหน้าหวานยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ ธนบัตรในกระเป๋ามีไม่ถึงสามพันหากจะหายไปก็คงจะได้แค่เสียดาย แต่ของในกระเป๋าบัตรเอทีเอ็ม บัตรประชาชน บัตรโรงพยาบาล และยังมีบัตรบริจาคร่างกายอีกเล่า เธอทำบัตรใบนี้ไว้เพื่อแสดงเจตจำนงค์ว่าหากเมื่อสิ้นไร้ลมหายใจเมื่อไร เธอก็พร้อมจะส่งมอบร่างกายในส่วนที่สมบูรณ์ของเธอนั้นต่อชีวิตให้กับผู้อื่นต่อไปในภายภาคหน้าต่อไป หนึ่งชีวิตต่อลมหายใจให้กับอีกหลายคนเธอว่ามันคุ้มค่าแล้ว
"อ่ะ...โอ๊ย ขอโทษค่ะ ๆ " ในช่วงที่ภิญญาพัชญ์หมุนตัวจะกลับออกไปหาฟ้าระดาที่กำลังรออยู่ด้านนอกนั้น ใบหน้าสวยก็ชนเข้ากับหน้าอกแกร่งของใครบางคน
เธอรีบยกมือขึ้นไหว้อย่างทันที กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยโชยเข้าจมูก ภิญญาพัชญ์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ ทำไมเขามาอยู่ตรงนี้ได้!
"ทรอย..." เสียงแผ่วเบาเอ่ยชื่อชายหนุ่มออกไป น้ำตาคลอเคล้าไปทั้งดวงตาเมื่อเห็นใครบางคนที่อยู่ตรงหน้า
"ใช่!!..ฉันเอง ย้อนกลับเข้ามาทำไม" น้ำเสียงที่เขาใช้ถามเธอไม่ได้มีแววของความเป็นห่วง เพราะมันทั้งห้วนและมีท่าทางดูถูกอยู่ในนั้น ภิญญาพัชญ์ก้มหน้าลง
"ขิงลืมกระเป๋าตังค์น่ะ ทรอยล่ะเข้ามาทำไมอีก ทำไมยังไม่กลับไปพักผ่อนอีก ทั้งร้องทั้งเต้นไหนจะเล่นเกมอีกทรอยน่าจะเหนื่อยมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ"
"หึ!!..ห่วงเหรอ..มาเป็นห่วงฉันในตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยเหรอ ฟังไว้นะ..ไม่ว่าเธอกำลังจะคิดอะไรเกี่ยวกับตัวฉัน ฉันขอให้เธอหยุดคิดซะ คนอย่างฉันไม่กลับไปโง่เป็นครั้งที่สองแน่" ยิ่งได้ฟังคำพูดที่เหมือนดูห่วงใยของหญิงสาวตรงหน้า อติวิชญ์ก็โกรธขึ้นมา ก่อนหน้านั่นไม่เห็นจะห่วงกัน ตอนนี้จะมาห่วงใยมันไม่สายไปหน่อยเหรอ
"ขิง..ขิง..เอ่อ.." เธอรู้ตัวดีว่าคงจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว แต่เมื่อได้ยินเขาตอกหน้าเธอตรง ๆ เช่นนี้เธอเองก็ยากจะทำใจเช่นกัน
"ยัยขิงเจอไหมกระเป๋าน่ะ" ภิญญาพัชญ์ไม่ทันได้ตอบอะไรออกไป เสียงฟ้าระดาก็ดังเข้ามาก่อน หญิงสาวรีบยกมือเช็ดน้ำตาออกไป ก่อนจะเดินเลี่ยงชายหนุ่มออกไปอย่างทันที
ร่างบางก้าวขาเดินเบี่ยงหลบตัวของชายหนุ่มออกไป ช่วงที่กำลังสวนทางกันนั้นนิ้วก้อยของทั้งคู่ก็สัมผัสกันอย่างไม่ตั้งใจ ภิญญาพัชญ์หยุดชะงักอีกครั้ง เหมือนมีกระแสไฟที่ไหลผ่านนิ้วมือของเธอขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าอติวิชญ์กระชากมือกลับออกไปอย่างแรง เธอจึงได้ก้มหน้าและรีบวิ่งออกไป
"เจอแล้ว ๆ โทษทีปล่อยให้เธอรอตั้งนาน ไปกันเถอะเดี๋ยวแวะไปหาพี่แตงที่โรงพยาบาลก่อนไหม"
"ไม่ต้องหรอก ฉันโทรไปหาพี่แตงแล้ว เห็นว่าไม่เป็นอะไรแล้วพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ เราแวะกินข้าวกันก่อนดีไหม หิวโคตร" ภิญญาพัชญ์พยักหน้าตอบตกลง จะไม่ให้หิวได้อย่างไรก็เพื่อนสาวของเธอเล่นทั้งร้องทั้งเต้นยิ่งกว่าแดนเซอร์บนเวทีเสียอีก
เสียงหญิงสาวทั้งสองคนไกลห่างออกไปจนกระทั่งเสียงนั้นเงียบลง อติวิชญ์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสยผมก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงยังตำแหน่งที่อดีตแฟนสาวนั่งลงเมื่อสักครู่ ความเย็นชาที่แสดงออกเมื่อสักครู่หดหายลง มีแต่ความอ่อนแอเข้ามาแทนที่ เขายอมรับว่าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอเธอที่นี่ ก่อนหน้านั้นเมื่อสองปีที่แล้วเขาก็มามิตติ้งที่ประเทศไทย ตามคำเรียกร้องของแฟนคลับไปหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนั้นเขาไม่เห็นเธอ เธอไม่ได้มาดูเขา อติวิชญ์ไม่เข้าใจว่าครั้งนี้เธอมาทำไม ชายหนุ่มสังเกตดูว่าหญิงสาวไม่ได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม เครื่องประดับไม่ได้หรูหรา ก็ไหนว่าทิ้งเขาไปหาอชิรวัชนายแบบหนุ่มสุดฮอตที่ร่ำรวยกว่ากว่าเขาอย่างไรเล่า ทำไมถึงได้ดูโลโซเช่นนั้น หรือเพราะโดนผู้ชายคนนั้นทิ้งไป
"หึ!!..ไอ้เวรนั่นมันเบื่อเธอแล้วล่ะสิขิง ถ้าวันนั้นเธอไม่โง่ทิ้งฉันไปอย่างนั้น วันนี้เธอก็จะมีทุกอย่างที่เธออยากจะมี สมน้ำหน้าแล้วล่ะ"
อติวิชญ์เหยียดยิ้มออกมา ในเมื่อเธอเลือกทิ้งเขาไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องใส่ใจอีก ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเดินกลับเข้าไปหลังเวที เขาและเธอจะไม่มีวันกลับมาเจอกันได้อีก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เหมือนดังเส้นขนานอาจจะผ่านมาพบเจอ แต่ไม่มีทางได้บรรจบกัน
"ทรอยเป็นยังไงบ้างลูกเหนื่อยไหม" มาติกา นิธิธราสกุลส่งน้ำแร่ให้กับบุตรชาย และนำผ้าเย็นมาเช็ดตามใบหน้าและลำคอให้กับลูกชาย
"ไม่เหนื่อยครับแม่ สบายมากเลยล่ะระดับทรอยแล้ว แค่นี้จิ๊บ ๆ " มาติกายิ้มออกมาอย่างเอ็นดู อติวิชญ์เป็นลูกชายที่เธอภาคภูมิใจมาก กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่ง่าย ๆ เลย เธอจึงเอาใจใส่ลูกชายเธอเป็นพิเศษให้สมกับความเหน็ดเหนื่อยที่เขาได้เจอมาตลอดในช่วงหลายปี
"จ้า ๆ พี่ทรอยของแม่เก่งที่สุด เอ๋!!..ว่าแต่ทรอยต้องทำอะไรอีกไหมลูก" มาติกาหันไปถามผู้จัดการส่วนตัวของบุตรชายตนเอง
"ไม่มีอะไรแล้วนะครับ กลับก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการต่อเอง ทรอยกับคุณแม่ไปพักเถอะพรุ่งนี้อีกวันสู้ ๆ นะ " ซี ชินซอง ผู้จัดการส่วนตัวที่ตามมาดูแลไอดอลจากเกาหลีบอกออกไปอย่างเข้าใจ หมดมิตติ้งสองวันนี้อติวิชญ์ก็จะมีเวลาพักผ่อนกับที่บ้านเพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้น ก่อนจะบินกลับไปประเทศเกาหลีอีกครั้ง
"โอเคพี่ ถ้าอย่างนั้นทรอยไปก่อนนะ" อติวิชญ์ยกมือไว้ผู้จัดการที่อายุมากกว่า ก่อนจะหันไปไหว้เหล่าทีมงานที่ร่วมเหน็ดเหนื่อยด้วยกันมาทั้งวัน
การกระทำของชายหนุ่มวันนี้สร้างความรู้สึกดีให้กับเหล่าทีมงานเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าศิลปินที่ดังที่สุดในเอเชียจะเป็นกันเอง ยกมือไหว้แม้กระทั่งเด็กยกไฟแบบนั้น
อติวิชญ์นั่งบนรถเก๋งราคาแพงโดยมีมารดาเป็นผู้ขับรถให้ ชายหนุ่มหันออกไปมองกระจกข้างรถ มาติกาถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นว่าบุตรชายอยู่ในอาการเหม่อลอยเช่นนี้
"ทรอยผู้หญิงคนนั้นมาดูทรอยด้วยใช่ไหม แม่ไม่ว่าอะไรเลยนะถ้าทรอยจะกลับไปหาเธอ ถ้าทรอยลืมสิ่งที่เธอทำได้ ก็กลับไปเถอะลูก แต่ถ้าถามแม่ว่าชอบใจไหม แม่ก็คงไม่ชอบใจนักหรอก ผู้หญิงเห็นแก่เงินแบบนั้น เขาทิ้งทรอยไปหาคนอื่นได้ วันข้างเขาจะไม่ทิ้งทรอยอีกเหรอ" อติวิชญ์หันหน้ากลับมาก็เห็นกับสายตาที่ดูห่วงใยของมารดาตนเอง เขาก้มหน้าลงและหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะลืมตามองฝ่ามือตนเองที่ประสานกันอยู่หน้าตัก
"ทรอยจะไม่กลับไปโง่อีกแล้วแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ก่อนหน้านั้นทรอยจะเป็นจะตายเขายังไม่มาสนใจเลย ความจริงแล้ว เธอก็อาจจะแค่มาดูทรอยเฉย ๆ ก็ได้ เราอย่าไปสนใจผู้หญิงแบบนั้นเลย"
มาติกาพยักหน้าพอใจก่อนจะขับรถออกไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสีอีกครั้ง เธอเห็นทุกอย่างบนเวที และเธอก็หวังว่าลูกชายเธอจะทำได้อย่างที่พูดออกมา เพราะถ้าเขาทำไม่ได้ เธอเองนี่แหละที่จะทำให้
