บทที่ 18 ดวงวิญญาณ
“ไม่ต้อง ฉันไม่อยากรู้” หล่อนยังหน้าบึ้งเพราะรอยยิ้มยั่วโมโหของเขา
ศัมภุกลับไปนานแล้วแต่ไพรำยังนั่งคิดว้าวุ่นอยู่กับเรื่องที่เขานำมาเล่าให้ฟัง เขาเห็นตอนขากลับแต่ไม่เห็นตอนที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังธีรเมธ เป็นไปได้อย่างไรกัน
ไพรำออกจากร้านก่อน 2 ทุ่ม หล่อนขับรถกลับบ้านด้วยสมองที่คิดวนไปวนมาเรื่องผู้หญิงชุดแดง
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หล่อนไปทำบุญกับแม่ที่วัดนอกเมือง พ่อของหล่อนไปด้วย หลังจากถวายสังฆทานแล้ว หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดมองหล่อนแล้วท้วงขึ้นมา
“สีกา อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ยี่สิบห้าค่ะ”
“เบญจเพสสินะ ทำบุญไว้นะ แล้วก็จะมีคนเขามาขอให้ช่วย ช่วยเขาแล้วสีกาจะพ้นอันตราย”
“ใครเหรอคะหลวงพ่อ” ไพจิตรถามเจ้าอาวาสวัดทันที ลูกสาวของหล่อนจะมีเคราะห์ร้ายอย่างนั้นหรือและใครคือคนที่จะมาขอความช่วยเหลือจากลูกสาวของหล่อน
“อาตมาบอกไม่ได้แต่ถ้าเขามาก็ช่วยเขาแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น”
ไพรำเก็บเอาคำเตือนของหลวงตามาคิดเพียงวันเดียวก็ลืม แต่พ่อกับแม่เตือนให้หล่อนทำบุญอีกหลายวัดซึ่งหล่อนก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใดเพราะใจของหล่อนอยากทำเช่นนี้มานานแล้ว
หลังจากวันนั้นเข้าสู่อาทิตย์ที่สอง พ่อของหล่อนก็ให้ไปพบศัมภุกับธีรเมธแทนท่านและที่ร้านอาหารนั่นเองที่หล่อนเห็นหญิงสาวชุดแดง หล่อนโวยวายใส่ศัมภุกับธีรเมธว่ามองไม่เห็นหญิงแปลกหน้าผู้นั้นแต่ไม่กี่ชั่วโมงศัมภุก็มาพบหล่อนและบอกว่าเขาเห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอไม่ใช่คน
หญิงสาวทบทวนคำพูดของหลวงตารวมทั้งผู้หญิงที่ปรากฏตัวให้หล่อนกับศัมภุเห็น หรือผู้หญิงชุดแดงจะมาขอความช่วยเหลือจากหล่อน
“แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ ไม่เข้าใจ เฮ้อ.” หล่อนพ่นลมหายใจออกทางปาก เท้าเหยียบคันเร่งรถพุ่งไปข้างหน้า ความคิดวกวนหยุดลง คืนนี้หล่อนต้องเตรียมกระเป๋าเดินทางไปกับเอมิกา ไปเที่ยวกลับมาค่อยคิดอีกทีว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการให้หล่อนช่วยยังไง
ศัมภุมีอาการไม่ต่างจากไพรำเท่าไรนัก เขากลับเข้าบ้านพร้อมสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักเขาไม่สนใจศุภางค์ผู้เป็นแม่และชลธิศผู้เป็นพ่อที่มองเขาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน เขาเดินผ่านพ่อกับแม่ไปที่บันไดขึ้นสู่ชั้นบน
“จะไม่ทักทายพ่อกับแม่หน่อยเหรอลูก” ชลธิศท้วงลูกชายก่อนที่ลูกจะก้าวขึ้นบันได
“คุณพ่อ คุณแม่ ดูหนังเหรอครับ” ลูกชายคนเดียวเหลียวกลับมามอง เขาลืมพ่อกับแม่ได้ยังไง
“กินข้าวมั้งลูก” ศุภางค์ประชดกรายๆ
“ทำงานหนักจนลืมคิดถึงพ่อกับแม่ซะแล้ว มันน่าน้อยใจมั้ยพ่อ” สาวใหญ่เอ่ยกับสามีแล้วค้อนให้ลูกชาย หนุ่มร่างสูงเดินเข้ามานั่งชิดแม่แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มนุ่มๆ อย่างเอาใจ
“ใครจะลืมคนสวยคนนี้ได้ลงละครับ ใช่มั้ยครับคุณพ่อ”
“ปากหวานยังงี้แม่หลงตายเลย” ศุภางค์จับคางลูกชายบีบเบาๆ
“เป็นอะไรรึเปล่าภุ สีหน้าไม่ดีเลยนี่” ชลธิศเข้าเรื่องเพราะท่าทางของศัมภุไม่ดีจริงๆ รอยยิ้มที่เคยยิ้มให้พ่อกับแม่ทุกครั้งหลังจากกลับจากทำงานหายไป ใบหน้าเคร่งขรึมกว่าทุกวัน
“ไม่เป็นไรครับ เหนื่อยมากไปหน่อย ผมขอตัวอาบน้ำแป๊บเดียวนะครับเดี๋ยวลงมาคุยด้วย อ้อ.พรุ่งนี้ผมจะไปเที่ยวกับเจ้าชาญสักสองวันนะครับ”
“ไปไหน”
“สตูลครับ ผมจะไปดำน้ำดูปลาใต้ทะเล” เขายิ้มกับแม่แล้วลุกขึ้นยืน
“คุณพ่อคุณแม่ไปกับผมมั้ยครับ” เขามองพ่อรอยยิ้มไม่จางไปจากใบหน้า
“พ่อดำน้ำไม่ไหวแล้วละแกไปเถอะ พักผ่อนบ้างก็ดีลูก อย่าเครียดกับงานให้มากนักเดี๋ยวไม่สบายไปจะยุ่ง”
“ครับ ขอตัวก่อนนะครับ” เขาเดินผละออกมา สิ่งที่เขากำลังเครียดอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวชุดแดงที่เขาเห็นในรถธีรเมธและไพรำเห็นในร้านอาหาร เขาต้องหาคำตอบโดยเร็วที่สุด
ธีรเมธเท่านั้นที่จะตอบคำถามของเขาได้ชัดเจน ถ้าธีรเมธมีคู่ควงคนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่ที่เขาหวั่นใจคือผู้หญิงคนนั้นไม่มีตัวตน หล่อนอาจเป็นดวงวิญญาณที่มากับของเก่าชิ้นใดชิ้นหนึ่งซึ่งธีรเมธรับซื้อมาก็ได้
“ฉันต้องไปหาแกที่บ้านแล้วละเมธ”
