บทที่ 2
“หุบก็หุบ...เชอะ” เอ่ยจบมีนาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที เก่งได้แต่ส่ายหน้าให้กุ้งนาง ใจหนึ่งก็อยากจะเลิกให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็นึกสงสาร
“เอาไปสิ”
“ขอบใจจ้ะ” มีนาเอ่ยขึ้นหลังจากยื่นมือไปรับกล่องไม้นั้นมาจากเก่ง
“ส่วนของที่อยู่ข้างใน เอ็งจะเก็บไว้หรือทิ้งก็ตามใจเอ็ง”
“จ้ะ”
“พี่ก็เป็นแค่โจร ไม่มีของขวัญวันเกิดดีๆ ให้เอ็งหรอก” เก่งเอ่ยขึ้น ใจจริงก็อยากซื้อของแพงๆ ให้มีนาเหมือนกัน แต่ยังไม่มีเงินมากขนาดนั้น เพราะเงินที่ได้มาจากปล้นแต่ละทีก็ต้องเอามาเลี้ยงลูกน้อง ที่ตอนนี้มีอยู่ห้าหกคน จะทิ้งพวกมันไปเสวยสุขคนเดียวก็ทำไม่ลงอีก เพราะอยู่กันมานานหลายปี
เงินที่นายใหญ่ให้มาใช้แต่ละก้อนก็เจียดมาเป็นค่าใช้จ่ายนั่นนี่อีกหลายรายการ การเป็นเสาหลักของครอบครัวมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
“แค่นี้ก็พอแล้วจ้ะ”
“เอ็งคิดผิดคิดถูกกันที่จะมาอยู่กับพี่...หืม”
“อืม...เหมือนจะคิดผิด” คำตอบของมีนาทำเอาคนฟัง เหวอ
“อ้าว! นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องร่วมสาบาน พี่เตะเอ็งปลิวไปนู่นแล้วนะ” เก่งไม่ได้พูดอะไรเกินจริง นั่นเพราะตั้งแต่มีนาช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งนั้น ทั้งสองคนก็สาบานเป็นพี่น้องกัน
“ฉันล้อเล่นน่ะพี่เก่ง”
“แล้วไป”
“พี่เก่ง ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่ามา” เก่งนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อรอฟัง
“ทำไมพักหลังๆ พี่ถึงเน้นปล้นแต่บ้านตำรวจ”
“พี่ว่าแล้วว่าเอ็งต้องสงสัย” นั่นเพราะเก่งรู้ว่ามีนาเป็นคนฉลาด แต่มักจะไม่โอ้อวด
“ก็มันน่าสงสัยนี่” มีนาสงสัยเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ยังไม่มีจังหวะได้ถามเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่นี่คือความเสี่ยงที่อาจทำให้ตำรวจสาวมาถึงตัวในเร็ววัน เพราะเหมือนไปเหยียบจมูกถึงที่แบบนั้น
“คำสั่งนายใหญ่นะ” คำว่านายใหญ่ทำให้มีนานึกถึงอดีตนายทหารคนนั้น คนที่ภายนอกดูขาวสะอาดแต่ทว่าเบื้องหลังกลับดำสนิท เธอเคยพบนายใหญ่แค่ครั้งเดียวหลังจากนั้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบอีก
“แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมนายใหญ่ต้องสั่งให้พี่ปล้นบ้านตำรวจแบบนี้ด้วย” แม้จะเข้าใจว่านี่คือคำสั่งของนายใหญ่ ซึ่งก็คือคนที่คุ้มครองเก่งอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นมีนาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
“สร้างสถานการณ์”
“สร้างสถานการณ์ สร้างไปทำไมกันจ๊ะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่การที่เราทำงานได้ดี ก็ได้รับคำชมมานะ โดยเฉพาะเอ็งมีน”
“ฉันเหรอ” มีนาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“ใช่...นายใหญ่ฝากชมเอ็งมาว่าทำงานได้รอบคอบดี จบงานจะตบรางวัลให้”
“อ๋อจ้ะ” เอ่ยจบก็ส่งยิ้มแห้งๆ ให้เก่ง คำว่าตบรางวัลทำให้เธอรู้สึกขนลุกบอกไม่ถูก นั่นเพราะนายใหญ่ของเก่งดูไม่น่าเข้าใกล้อย่างถึงที่สุด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“แล้วนายใหญ่จะให้เราปล้นบ้านตำรวจอีกกี่หลังหรือว่าพอแล้ว”
“อีกสองสามหลัง”
“อีกตั้งสองสามหลังเชียวเหรอ” มีนาอุทานออกมา เพราะไม่คิดว่าต้องไปปล้นบ้านตำรวจอีก
“ทำไม...หรือเอ็งกลัว”
“ฉันก็ยอมรับว่ากลัว เพราะเราไม่ได้ปล้นบ้านคนธรรมดาแต่กลับไปปล้นบ้านตำรวจ ถูกหมายหัวแน่ๆ”
“ไม่หรอก อย่าลืมสิว่านายใหญ่ที่หนุนหลังเราอยู่เป็นใคร” เก่งยิ้มอย่างมั่นใจ เพราะต่อให้อนาคตจะถูกจับได้ขึ้นมา ก็คงไม่ต้องติดคุกติดตะรางหรือเสียประวัติ นายใหญ่ต้องยื่นมือมาช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน
“แต่ฉันว่า...” ยังไม่ทันที่มีนาจะได้เอ่ยอะไร เก่งก็ชิงพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
“แล้วนี่เอ็งสอบเสร็จหรือยัง”
“ใกล้แล้วจ้ะ”
“เอ็งเรียนปีสุดท้ายแล้วสินะ” แววตาของเก่งสื่อความหมายว่าภูมิใจในตัวมีนามาก ถึงแม้จะไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่เก่งก็รักมีนาเหมือนน้องสาวแท้ๆ มีนาเองก็รักเก่งเหมือนพี่ชาย เพราะรักจึงหวังดีอยากเปลี่ยนทางเดินของเก่งให้ดีขึ้นจากที่เป็นอยู่
นั่นเพราะสิ่งที่เก่งทำอยู่ตอนนี้มันเสี่ยงมาก การมีนายใหญ่คอยหนุนหลังอาจเป็นเรื่องดี แต่ถ้าวันหนึ่งเก่งหมดประโยชน์ขึ้นมา คิดแล้วมีนาก็ได้แต่กังวล
“จ้ะ”
“สอบเสร็จก็ไปพักสมองบ้าง” เก่งเอ่ยปรามเพราะก่อนหน้านี้มีนามักจะทำงานหาเงินตลอดเวลา ไหนจะงานที่ร้านกาแฟที่เป็นของตัวเอง ไหนจะงานพิเศษที่ทำร่วมกับเขาและชาวแก๊งอีก บอกให้หยุดเพื่อตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็ไม่เคยทำตามเขาเลยสักครั้ง
“แล้วใครจะดูร้านล่ะจ๊ะ" ร้านที่มีนาเอ่ยถึงคือร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ถัดไปจากอู่ซ่อมรถของเก่งไม่ไกลนัก เป็นมินิมอลล์เล็กๆ แต่ทว่าก็สร้างรายได้ให้มีนาได้พอสมควร
"พี่ไง...แต่อย่าเลย เดี๋ยวไปไล่ลูกค้าเอ็งเสียเปล่าๆ" เอ่ยจบก็ส่งยิ้มแห้งๆ ให้มีนา นั่นเพราะทุกครั้งที่เก่งเข้าไปช่วยงานที่ร้านกาแฟ บรรดาลูกค้าเด็กๆ ต่างกลัวจนแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“มีน...พี่นะอยากให้เอ็งเรียนสูงๆ เพราะพี่ไม่มีโอกาสได้เรียน พี่อยากเห็นเอ็งสวมชุดครุยรับปริญญา”
“พี่เก่งก็รักษาตัวเองให้ดี ต้องไปงานรับปริญญาของฉันนะ”
“พี่ยังไม่รีบตายหรอกนา จะอยู่กับเอ็งจนหัวหงอกกันไปข้าง พี่ง่วงแล้ว ขอไปนอนพักสักงีบ พรุ่งนี้มีนัดส่งรถลูกค้าอีก” เอ่ยจบเก่งก็ส่งยิ้มให้มีนาจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องนอนตัวเองไป มีนาได้แต่นั่งถอนหายใจออกมาเฮือกๆ ก่อนจะเดินถือกล่องไม้ที่ได้รับจากเก่งกลับห้องของตัวเองเช่นกัน
เธอหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง แล้วเปิดกล่องไม้ในมือออกดู รูปถ่ายเด็กทารกวัยแบเบาะกับเด็กชายที่อายุราวๆ แปดขวบไม่ได้ดึงความสนใจของเธอได้มากเท่ากับสร้อยคอพร้อมจี้ ที่วางอยู่มุมหนึ่งของกล่องไม้
“ทำไมถึงเหมือนกับของเราเลย” มีนาดึงสร้อยคอที่สวมติดตัวอยู่ตลอดเวลาออกมาเปรียบเทียบ มองมุมไหนสร้อยทั้งสองเส้นก็เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน แถมด้านหลังจี้ยังสลักตัวอักษรตัวเอ็มเป็นภาษาอังกฤษไว้อีก ซึ่งเธอรู้และเข้าใจมาตลอดว่านี่คืออักษรย่อชื่อของเธอ
“แค่ความบังเอิญมั้ง สร้อยแบบนี้คงมีขายออกถมเถไป” นี่คือคำตอบที่มีนาให้กับตัวเอง ก่อนจะเก็บของใส่กล่องไม้ไว้อย่างเดิม และไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก
