ปล้นรัก(ว่าที่)คุณสามี

60.0K · จบแล้ว
วรนิษฐา
40
บท
1.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เธอคือ....นางโจร ส่วนเขาคือนายตำรวจ...มือหนึ่ง แต่พรหมลิขิตกลับชักพาให้นางโจรอย่างเธอปล้นความรักไปจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่าง...เขา +++++ “ผมบอกไปหรือยังว่าผมรักคุณ” “ยังค่ะ” มีนาเอ่ยตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อคืนเหมือนเธอจะได้ยินเมฆาบอกรัก แต่มันก็แผ่วเบาเสียจนคิดว่าเธอคงฝันหรือไม่ก็เพ้อไปเองคนเดียว “โอเค...ผมรักคุณ” เมฆาบอกรักคนในอ้อมกอด มันคือคำว่ารักที่แสนเรียบง่ายแต่ทว่ากลับตราตรึงอยู่ในความรู้สึก ทั้งจากคนพูดและคนที่ได้ยิน เพราะหากไม่แน่ใจว่ารักเมฆาหรือจะพูดคำนี้ออกมา “ผู้ชายเขาบอกรักกันง่ายๆ แบบนี้เหรอคะ” “ใครบอกว่าง่าย เมื่อคืนกว่าผมจะบอกรักคุณมีนด้วยภาษากายได้ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเชียวนะ” “ทะลึ่ง” มีนามองค้อนมาให้ นั่นเพราะรู้ความหมายที่เมฆาเอ่ยว่าคืออะไร “ผมพูดเรื่องจริง” “แต่ฉันเป็นโจรที่เคยยกเค้าบ้านคุณนะคะ ถูกแจ้งจับอีก แบบนี้คุณยังจะรักฉันอย่างนั้นเหรอ” “มีกฎหมายข้อไหน ห้ามไม่ให้ตำรวจรักกับโจรบ้าง” “ก็...” คนฟังแย้งไม่ออก “ผมว่าความรักมันไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว รักก็คือรัก” “แต่เราต่างกันเกินไป ฉันคิดว่า...” “โลกนี้ไม่มีคำว่าต่าง ต่อให้มีเราก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันก็ได้นี่ครับ ผมขอแค่โอกาส” “ฉัน...” “ผมรักคุณมีน ต่อให้จะนอนคิดนั่งคิดหรือตีลังกาคิดก็ยังรัก” เมฆาเอ่ยคำว่ารักให้คนในอ้อมกอดได้ยินและได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอีกครั้ง “แล้วถ้าฉันปฏิเสธละคะ คุณจะว่ายังไง” “ผมคงเสียใจหนักมากแน่” เมฆาเสียใจจริงๆ แต่เขาคงไม่ถอดในจากเธอด้วยเรื่องแค่นี้แน่ แต่ทว่าคำพูดหลังจากนั้นของมีนากลับทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมา “แต่ฉันไม่อยากเห็นคุณเสียใจ” “งั้นก็รับรักผม ได้ไหม” “เฮ้อ! ไหนๆ ฉันก็ได้คุณแล้วก็คงต้องแมนๆ รับผิดชอบ ฉันรับรักคุณก็ได้อะ คุณจะได้ไม่ร้องไห้เสียใจเพราะฉัน” มีนาพูดติดตลก นั่นเพราะไม่อยากให้บรรยากาศตอนนี้อึดอัด คำพูดของเธอทำให้เมฆาถึงกับหัวเราะ ก่อนจะรั้งผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมโปงทั้งเธอและเขา แล้วเริ่มปฏิบัติการยืนยันว่าแท้จริงแล้วใครได้ใครกันแน่ และใครต้องรับผิดชอบใคร

นิยายรักโรแมนติกประธานตำรวจรักแรกพบพระเอกเก่งมาเฟียเศรษฐีเลือดร้อนรักหวานๆ

บทที่ 1

“ผู้กองครับผู้กอง”

เสียงตะโกนเรียกที่ดังมาตั้งแต่หน้าสถานีตำรวจ ทำให้คนถูกเรียกที่เวลานี้ยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้องชะเง้อมองออกไป กระทั่งเห็นลูกน้องวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา สีหน้าดูตกใจไม่น้อย

“มีอะไรจ่า วิ่งหน้าตั้งมายังกับถูกโจรปล้นบ้าน” ร้อยตำรวจเอกเมฆาเอ่ยถามออกไปพร้อมรอฟัง ก่อนจะก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ซึ่งตอนนี้เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว

“โจรปล้นบ้านจริงๆ ครับผู้กอง” จ่าสิบตำรวจมนตรีรีบบอก พร้อมจ้องมองหน้าเจ้านายเขม็ง สีหน้าดูกระอักกระอ่วนที่จะรายงานต่อ

“บ้านจ่าเหรอ มีใครเป็นอะไรไหม” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง นั่นเพราะเวลานี้เข้าใจว่าบ้านลูกน้องถูกปล้น

“ไม่ใช่บ้านผมครับ”

“อ้าว! ไม่ใช่บ้านจ่าแล้วบ้านใคร”

“บ้านผู้กองครับ”

“บ้านผมเหรอ!” เมฆาอุทานออกมาอย่างตกใจ

“ครับ...เมื่อครู่สายตรวจวิทยุมาบอก ว่าบ้านผู้กองถูกโจรยกเค้า”

“เวรแล้วไหมละ” สบถเสร็จ เมฆาก็รีบรุดออกไปจากห้องทำงาน โดยเป้าหมายของนายตำรวจหนุ่มคือบ้านพักที่อยู่ไกลจากสถานีตำรวจอันเป็นสถานที่ทำงานพอสมควร

เขาไม่เคยถูกโจรยกเค้าบ้านมาก่อน เพราะทุกคนในละแวกนั้นต่างรู้ว่านั่นคือบ้านของตำรวจ จึงไม่มีโจรที่ไหนกล้าลองดี แถมยังติดกล้องวงจรปิดไว้รอบๆ บ้านอีกหลายตัว แต่สุดท้ายก็ไม่วายถูกลองของเข้าจนได้

“โจรที่ไหนมันกล้าล้วงคอตำรวจแบบนี้วะ ไม่กลัวตายหรือไง ผู้กองๆ รอผมด้วย” จ่ามนตรีรีบตะโกนตามหลังเจ้านาย จากนั้นก็วิ่งหน้าตั้งตามมาสมทบ แต่ทว่ากลับไม่ทันเพราะเมฆาขี่รถออกไปแล้ว จึงหันหลังกลับไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่ง ก่อนจะบิดคันเร่งตามหลังไป

เมฆามาถึงก็เห็นตำรวจสายตรวจสองนายยืนรอรายงานอยู่หน้าบ้าน เมื่อฟังรายงานจบนายตำรวจหนุ่มจึงเข้าไปตรวจดูความเสียหาย ทุกอย่างภายในบ้านถูกรื้อค้นจนกระจุยกระจายราวกับพายุเข้า สิ่งของที่พอจะขายได้ก็ถูกยกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ไมโครเวฟ

“กล้องวงจรปิดในบ้านถูกตัดสายหมดเลยครับผู้กอง ตัวไหนที่ตัดสายไม่ได้ก็ถูกบิดหน้ากล้องจนเสียหายหมด” จ่ามนตรีรายงานเรื่องนี้ให้เจ้านายทราบอีกครั้ง นายตำรวจหนุ่มถึงกับยืนกัดฟันกรอดๆ อย่างหัวเสีย

“จะหยามกันเกินไปหน่อยแล้วมั้ง” เมฆาหัวเสียนิดๆ ก่อนจะรีบรุดขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ซึ่งสภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากชั้นล่างแม้แต่นิดเดียว เขาก้าวเท้าข้ามข้าวของบนพื้นแล้วตรงไปยังลิ้นชักตรงหัวเตียงอย่างเร็ว ก่อนจะพบว่ากล่องไม้มันได้หายไปเช่นกัน

“ฉิบหายแล้วไอ้เมฆ” เมฆาอุทานออกมา นั่นเพราะกล่องไม้ที่ว่าคือของที่ผู้เป็นแม่ได้ฝากไว้ ขืนรู้ว่าถูกโจรขโมยไปแบบนี้ เขาตาย ตายอย่างเดียว

“เก็บไว้ให้ดีๆ นะเมฆ ห้ามทำหายแม้แต่อย่างเดียว ไม่งั้นแม่ตัดแกออกจากกองมรดกแน่”

เสียงของผู้เป็นแม่แว่วเข้ามาในหัว ทำให้เมฆาถึงกับหน้าถอดสี ทางเดียวที่จะรอดคือต้องตามกล่องไม้รวมถึงของในนั้นกลับมาให้ครบทุกชิ้น และต้องทำให้ได้ภายในหนึ่งเดือนก่อนที่แม่จะกลับจากต่างประเทศด้วย

“จ่า...จ่าตรี” เมฆาตะโกนเรียกลูกน้อง

“ครับผู้กอง”

“ขึ้นมาหาผมบนนี้หน่อย”

“ครับ”

“ไปขอภาพจากกล้องวงจรปิดละแวกนี้มาให้หมด ผมต้องรู้ให้ได้ว่าใครมันกล้ายกเค้าบ้านผมแบบนี้” นายตำรวจหนุ่มออกคำสั่ง

ในเมื่อกล้องวงจรปิดภายในบ้านเขาถูกตัดสายหมดแบบนี้ ทางเดียวที่จะมีหลักฐานตามจับคนร้ายคือต้องขอจากเพื่อนบ้าน

“ได้ครับได้”

“ผมต้องการด่วนที่สุด เข้าใจไหมจ่า”

“ครับผู้กอง” จ่ามนตรีตะเบ๊ะท่ารับทราบอย่างแข็งขัน ก่อนจะรีบรุดลงไปสั่งการต่อที่ข้างล่าง ส่วนเมฆานั้นได้แต่ยืนเท้าสะเอวมองความเสียหายตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วคาดโทษไปยังโจร...เหล่านั้น

“เราได้เจอกันเร็วๆ นี้แน่”

“พวกเอ็งแยกกันเอาของพวกนี้ไปขาย แล้วค่อยเอาเงินมาแบ่งกัน” เสียงของเก่งดังขึ้น เพราะต้องการเปลี่ยนจากสิ่งของเป็นเงินให้เร็วที่สุด

บ้านของเก่งคืออู่ซ่อมรถ ที่เปิดบังหน้างานอีกอย่างที่มักจะทำเพื่อหารายได้เสริม เมื่อก่อนดูเหมือนว่าอาชีพเสริมนี้จะเป็นอาชีพหลักของเก่งก็ว่าได้ ก่อนจะผันตัวมาเปิดอู่

“จ้ะพี่เก่ง” บรรดาลูกน้องของเก่ง ที่ส่วนใหญ่เป็นคนไร้บ้านหรือไม่มีครอบครัวขานรับอย่างพร้อมเพรียง เก่งนั้นถูกนับถือเป็นหัวหน้าแก๊ง ซึ่งระยะหลังๆ ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป้าหมายนิดหน่อย เพราะเน้นยกเค้าบ้านของตำรวจเป็นหลัก

“กล่องนี้พี่ให้เอ็ง เห็นว่ามันสวยดี เอาไปสิ” เอ่ยจบเก่งก็ยื่นกล้องไม้ที่พึ่งปล้นมาได้ให้มีนา เด็กสาวที่อยู่กับเก่งมาได้หลายปี ซึ่งครั้งแรกที่เก่งพบมีนาคือตอนที่เขาถูกแก๊งอันธพาล รุมกระทืบจนเกือบตาย

ตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนว่า ‘ตำรววจมา’ ดังขึ้น จนทำให้แก๊งอันธพาลถึงกับวงแตกไปคนละทิศคนละทาง และเมื่อไม่มีใครมีนาก็โผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ พร้อมส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขา แล้วเฉลยว่าเธอเป็นคนพูดประโยคเมื่อครู่เอง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขากับมีนาได้รู้จักกัน

ถามไถ่กันอยู่นาน เก่งถึงได้รู้ว่ามีนาหนีออกจากบ้าน เพราะถูกพ่อเลี้ยงหมายจะข่มเหงและคงไม่กลับไปที่นั่นอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เก่งสงสารจึงชวนมาอยู่ด้วยกัน ไปๆ มาๆ ก็นับถือเป็นพี่น้องมาจนถึงทุกวันนี้ นับเวลาจากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าปีที่สาม

“ไม่เป็นไรจ้ะพี่เก่ง ฉัน...”

“ถ้ามีนมันไม่เอา พี่ให้ฉันก็ได้นะพี่” กุ้งนางเอ่ยขัดขึ้น นั่นเพราะอยากได้กล่องไม้นั่นเช่นกัน แม้จะไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้างก็ตาม

“กูให้มีนมัน เกี่ยวอะไรกับเอ็ง” เก่งหันมาเอ็ดกุ้งนางที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียตัวเอง แต่กลับไม่เคยออกไปช่วยงานอะไรสักอย่าง วันๆ ได้แต่แต่งหน้าทำผม สวยไปวันๆ

“แล้วถ้าเกิดในนั้นมีทองหรือเงินสด มีนก็ได้เยอะกว่าพวกเรานะสิ” กุ้งนางพูดราวกับตาเห็น ทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่ได้ไปช่วยงานอะไร

“ถ้ามีอย่างที่เอ็งพูด มีนมันสมควรได้ เพราะมันเข้าไปในบ้านหลังนั้นเป็นคนแรก ถ้าไม่ได้มันเข้าไปตัดสายกล้องวงจรปิด ป่านนี้ตำรวจคงได้แห่กันมาที่นี่แล้ว” แต่เก่งก็ตัดรำคาญ ด้วยการเปิดกล่องไม้ออกให้กุ้งนางได้เห็น ซึ่งข้างในมีแค่รูปถ่ายกับสร้อยคอเงินพร้อมจี้ธรรมดาๆ แค่เส้นเดียวเท่านั้น

“เห็นหรือยังว่าข้างในมันมีอะไร” น้ำเสียงห้วนๆ ของเก่งเอ่ยถามขึ้น

“เห็นแล้ว” กุ้งนางเอ่ยรับด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะมองมายังมีนาที่มักจะได้อะไรๆ มากกว่าเธอเสมอ ถือว่าเป็นน้องรักของเก่งหรือยังไง สักวันเถอะเธอจะเฉดหัวมีนาออกไปให้พ้นๆ

“เห็นแล้วก็หุบปากไปซะ”