chapter 4
“ท่านแม่มายืนใกล้ ๆ ข้านะขอรับ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าสามารถมาพาท่านหนีได้ทันที” ถึงจะกล่าวออกไปเช่นนั้น หากเก้าเทียนรุ่ยก็มิมั่นใจเลยสักนิด ด้วยพลังและความสามารถของรองแม่ทัพผู้นั้น...คิดว่าอย่างไรก็คงจะต้องเก่งมิน้อย ฝีมือเล็กน้อยของเขาคงจะหนีรอดได้ยาก
“ข้าทราบมาว่าคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มีฝีมือด้านรักษาผู้คน”
น้ำเสียงเยือกเย็นและเต็มไปด้วยอำนาจ ทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา “ไม่...ไม่ใช่หรอกขอรับ ข้าคิดว่าท่านคงจะเข้าใจอันใดผิดไปเสียแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ปลูกผักปลูกหญ้าไปขาย คนที่ได้กินก็รู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองแข็งแรงขึ้นเท่านั้นเอง” เขาเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับฉีกยิ้มแหย ๆ
“คุณชายช่างถ่อมตนยิ่งนัก แต่หากข้ามิมั่นใจ ก็คงจะมิมารบกวนคุณชายหรอกนะ”
“ข้ามิได้ถ่อมตัวนะขอรับ แต่ท่านเข้าใจผิดไปไกลแล้ว เพราะพวกเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่ปรุงจากพืชสด ๆ ที่ข้านำไปขายให้ ก็เลยทำให้มีสุขภาพดีขึ้นเท่านั้นเอง”
“จะต้องให้ข้านำผู้ที่ได้รับการรักษาจากท่านมายืนยันหรือไม่เล่าคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”
จริงแหละ...มากันเช่นนี้ ถามหาคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์อย่างมิติดขัดเช่นนี้ เป็นไปมิได้เลยที่จะมิรู้มาก่อน แล้วตัวเขาที่พยายามคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่ก็ไร้ผล ดูเหมือนทุกอย่างมันจะมืดมนไปเสียหมดจนมิรู้ว่าจะโต้ตอบออกไปเช่นไร
“ถ้าเช่นนั้น ท่าน...ท่านต้องการให้ข้าช่วยปรุงอาหารให้ใครหรือขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยถามอย่างอ่อนอกอ่อนใจที่มิอาจหาทางหลีกเลี่ยงได้
“ท่านจะเรียกเช่นนั้นก็ตามใจ ข้าเพียงแค่ต้องนำท่านไปรักษาคนผู้หนึ่ง”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองที่สุด วาจาเหมือนจะมิมีอันใด หากดูเหมือนความหมายจากที่กล่าวมาคือ...ต้องไปและต้องหายเท่านั้น!
“ถ้า...ถ้าเช่นนั้น ขอท่านโปรดนำผู้ที่จะให้ข้าปรุงอาหารให้และดูแลเข้าไปในเรือนก่อนเถอะขอรับ ข้ากับท่านแม่จะได้รีบจัดเตรียมทำอาหารให้...โดยเร็วไว” จะได้รีบกลับกันไปเสียที แม้จะรู้ว่ามิได้มาด้วยเรื่องของเก้าเทียนรุ่ยแล้วก็ตาม หากการมีทหารอยู่ในสายตา มันก็ทำให้เขากับท่านแม่รู้สึกใจคอมิดีอยู่นั่นแหละ
“ข้าว่า ท่านเข้าใจผิดนะคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์...ข้ามารับท่านไปดูแลคนผู้นั้น”
มิเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความกดดันจนยากที่จะหายใจได้สะดวกแล้วน้ำเสียงก็ยังจะเยียบเย็นจนเก้าเทียนรุ่ยหนาวไปทั้งแผ่นหลังอีก
“เอ่อ...ท่านมิได้พาเขามาให้ข้าดูแลที่นี่หรือขอรับ”
“ในที่สุด ท่านก็รู้จักที่จะฉลาดเสียที”
คนฉลาดย่อมจะมิโอ้อวดตนเอง เขาจะต้องโง่เยอะ ๆ ถึงจะทำให้ตนเองและท่านแม่มีชีวิตรอดไปอีกนาน “แต่เอ่อ...”
“ท่านมีปัญหาอันใดหรือคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”
อย่ากดดันกันเช่นนี้สิ เขากล่าวมิอะไรมิถูกแล้วนะ
“ก็...เอ่อ...คือ...” ก็ว่าเขาโง่ เขาก็ควรต้องโง่ให้มาก ๆ สินะ “คือเวลาข้าช่วยทำให้ผู้ที่ป่วยอยู่หายจากอาการป่วย ข้าก็จะเป็นคนปรุงอาหารให้พวกเขาทานจากผักที่ข้าปลูก หากข้าไปกับท่าน...”
“มิต้องห่วง ผักของท่าน พวกข้าจะนำไปให้”
“มิได้ขอรับ...มิได้” เขารีบกล่าวออกไปเสียงสั่น “ผักเหล่านี้จะต้องเป็นข้าที่เก็บมันเอง...ข้ามิรู้ว่าผู้ที่ท่านให้ข้าไปปรุงอาหารให้ทานป่วยหนักเพียงใดและป่วยมานานหรือยัง”
ดูจากการตามมาหาคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์ที่มิรู้ว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ถึงหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จนเจอ อีกทั้งยังมิรู้ว่าชื่อเสียงที่เล่าลือไปนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ของเขา รองแม่ทัพผู้นี้คงจะคาดหวังกับการรักษาในครั้งนี้มิน้อย หากเขาทำมิได้ รักษาคนผู้นั้นมิหาย...หัวกับตัวของเก้าเทียนรุ่ยผู้นี้กับท่านแม่จะยังคงอยู่ที่เดิมหรือเปล่าเนี่ย น่ากลัวจริง!
“ท่านต้องบอกข้านะขอรับ ข้าจะได้เตรียมผักไปให้เพียงพอ หากมิเพียงพอ ท่านจะมากล่าวหาว่าข้าปรุงอาหารให้คนผู้นั้นมิเพียงพอมิได้นะขอรับ...ข้ามิยอมรับความผิดที่มิได้กระทำแน่” ถึงจะเป็นมด หากเขาก็มิยอมให้ถูกขยี้โดยมิโต้ตอบหรอกนะ
“หนัก...นาน”
สั้น ๆ ได้ใจความดีจริง ๆ เก้าเทียนรุ่ยได้แต่ปาดเหงื่อบนขมับที่มันก็มิได้มีหรอก หากเขาคิดว่ามีไปแล้ว
“แล้ว...แล้วคนผู้นั้น อยู่ห่างไกลจากบ้านของข้ามากหรือไม่ขอรับ”
“แคว้นฮั่นหยาง เมืองฟูหลิง”
เก้าเทียนรุ่ยรีบหันไปหาท่านแม่ ถึงจะมาอยู่ที่นี่นับได้ก็หลายเดือนแล้ว หากสถานที่ซึ่งเขารู้จักก็มีเพียงแค่บ้านหลังนี้กับตลาดเท่านั้น เลยมิรู้ว่าเมืองฟูหลิงนี้อยู่ไกลไหมและที่สำคัญ...มันใกล้กับบ้านเก่าของท่านแม่หรือเปล่า
“ไกลอยู่...มิไกลจากที่นั่นด้วย”
ท่านแม่กล่าวเสียงสั่น ใบหน้าก็ซีดเผือดและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลยิ่งนัก มันทำให้เขาคิดไปว่า...ผู้ใดกันที่โยนเผือกร้อนมาให้ จะปัดออกยังไงมันถึงจะมิลวกมือ หากตอนนี้ทำได้ก็เพียงแค่พยายามคิดหาทางออกไปก่อนเท่านั้น
“ถ้า...ถ้าเช่นนั้นรบกวนท่านรอข้าสักครู่...ข้ากับท่านแม่ต้องช่วยกันเก็บของก่อน ท่านจะกล่าวว่ามิจำเป็นมิได้ขอรับ ข้าจำเป็นต้องนำผักไปปรุงอาหารให้คนที่ท่านกล่าวถึงได้กินอย่างเพียงพอ” ถ้าเลือกได้ เก้าเทียนรุ่ยอยากจะส่งผักสดมอบให้บุรุษตรงหน้าไปจัดการเองนะ แต่...
“อย่าช้า”
อยากทำให้ช้าที่สุดนะ แต่เจอสายตาที่เหมือนจะรู้เท่าทัน เก้าเทียนรุ่ยเลยพยักหน้ารับอย่างจำใจ ขณะจับมือท่านแม่พาเดินเข้าไปในเรือนที่พัก
“ท่านแม่ไปเก็บข้าวของทั้งของข้าและของท่านนะขอรับ เอาเท่าที่จำเป็นพอ ที่เหลือเราค่อยไปหาเอาดาบหน้า”
“เอ้อร์เอ๋อร์”
เก้าเทียนรุ่ยคลี่ยิ้มอย่างที่คิดว่าจะทำให้ท่านแม่กังวลใจน้อยที่สุด เขาวางมือบนมือเล็กและตบเบา ๆ ทั้งที่ตนเองนั้นก็หวาดกลัวและกังวลใจอย่างที่สุด
“มันจำเป็นขอรับ เราขัดคนพวกนั้นไม่ได้ เอาไว้เราค่อยคิดว่าหลังจากนี้จะทำยังไงต่อไป”
สองแม่ลูกมองสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการในส่วนของตนเอง เก้าเทียนรุ่ยเดินออกไปด้านหลังเรือนที่ปลูกผักไว้หลายชนิด
อืม...ให้เก็บเองขนเองทั้งหมดที่เห็น เหนื่อยไม่น้อยเชียวล่ะ ถ้าเช่นนั้น...เก้าเทียนรุ่ยเดินย้อนกลับไปยังจุดที่รองแม่ทัพผู้นั้นอยู่
“ท่านช่วยข้าหน่อย” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยโดยมิเอ่ยนาม ก็เขา...มิรู้จักคนตรงหน้าเลยนี่น่า นายทหารผู้ติดตามได้แต่หันไปมองรองแม่ทัพที่ยังคงนั่งอยู่บนม้าสีดำเหมือนนิล
